เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2017 เมื่อเวลาประมาณ10.40 น. ได้เกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทรงกลด(Sun Halo) เหนือท้องฟ้าในหลายพื้นที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้พบเห็นจนหลายคนได้นำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ พร้อมทั้งนำไปโพสต์และแชร์ต่อๆ กันโลกออนไลน์กันจำนวนมาก
สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือการไม่มองที่แสงของดวงอาทิตย์โดยตรงด้วยตาเปล่า เพราะอาจจะทำให้ตาบอด
สาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทรงกลด(Sun Halo) เกิดขึ้นจากบรรยากาศของโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere)ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นล่างสุดและเป็นที่อยู่ของกลุ่มเมฆจำนวนมากมีอากาศเย็นจัดตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น จนทำให้ละอองน้ำในอากาศณเวลานั้นๆ แข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็งอนุภาคเล็กๆจำนวนมหาศาลลอยอยู่บนท้องฟ้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและส่องแสงทำมุมกับเกล็ดน้ำแข็งได้อย่างเหมาะสมจะเกิดการหักเหและการสะท้อนของแสงทำให้เกิดเป็นแถบสีรุ้ง (sprectrum) คล้ายการเกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตกขึ้น
อนึ่ง ดวงอาทิตย์ทรงกลดที่เราเห็นในแต่ละครั้งอาจมีแสงสีต่างกันซึ่งแสงสีที่ตาเราสัมผัสได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการทำมุมของแสดงอาทิตย์และเกล็ดน้ำแข็งแต่โดยทั่วไปเราจะเห็นเป็นแสงสีเหลืองอ่อน ๆ มากที่สุด และอาจเห็นเป็นสีเขียวสีแดง สีน้ำเงินปนแดงได้บ้างตามการสะท้อนของแสงในเวลานั้นและบางครั้งเกล็ดน้ำแข็งนี้จะไปหักเหทางเดินของแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดภาพขยายขึ้นเหมือนกับที่เรามองเลนส์นูนนั่นเอง
(ข้อมูลจาก ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์(LESA) )
สำหรับความเชื่อด้านจิตวิญญาณที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดของคนไทย
สำหรับความเชื่อด้านจิตวิญญาณที่เกี่ยวเนื่องกับการเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดของคนไทย
คนไทยนับถือดวงอาทิตย์เป็นเทวดาเบื้องบนองค์หนึ่ง สังเกตจากการเรียกนำหน้าว่า “พระ”ส่วนกลดก็ถือเป็นของสูงสำหรับพระเช่น กลดของพระธุดงค์ปรากฏการณ์นี้จึงเปรียบได้กับกลดของพระที่กำลังถูกล้อมรอบไว้ด้วยแสงของดวงอาทิตย์ไว้นั่นเองจึงถือเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เป็น มหิธานุภาพของดวงอาทิตย์มีความหมายในทางที่ดี มีมงคลแก่ทุกคนบนโลก
สำหรับคริสตชน เมื่อเราศึกษาจากรากศัพท์ภาษากรีก คำว่า ฮาโล (Halo หรือ Halos - ἅλως ) ให้ความหมายว่า รัศมี (nimbus, aureole, glory)
สำหรับคริสตชน เมื่อเราศึกษาจากรากศัพท์ภาษากรีก คำว่า ฮาโล (Halo หรือ Halos - ἅλως ) ให้ความหมายว่า รัศมี (nimbus, aureole, glory)
อีกคำที่น่าสนใจ คือ คำว่า อิริส(iris-ἶρις) ให้ความหมายว่าสายรุ้ง (rainbow) พูดง่ายๆ คือ ดวงอาทิตย์มีรัศมีสีรุ้งล้อมอยู่รอบๆ ตัว
เมื่อศึกษาในพระคัมภีร์ การเกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทรงกลดมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์หรือไม่
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้โดยตรง เท่าที่ศึกษาแต่มีเหตุการณ์คล้ายๆปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทรงกลด ดังนี้
ตอนที่อัครทูตเปาโล (เดิมชื่อว่าเซาโล)เดินทางเข้าเมืองดามัสกัส
กิจการฯ 9:3-9
3 ขณะที่เซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัสทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมรอบตัวท่าน
8 เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้น เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็นพวกเขาจึงจูงมือท่านเข้าไปในเมืองดามัสกัส
9 ตาของท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย
อัครทูตเปาโลเล่าประสบการณ์นี้ตอนเป็นพยานต่ออากริปปา
กิจการฯ 26:13 ข้าแต่กษัตริย์ในเวลาเที่ยงวันขณะกำลังเดินทางไปข้าพระบาทก็ได้เห็นแสงสว่างกล้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ส่องลงมาจากท้องฟ้าล้อมรอบข้าพระบาทกับคนทั้งหลายที่ไปกับข้าพระบาท
ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล เห็นแสงสีรุ้งจากฟ้าและท่านได้เห็นพระสิริของพระเจ้าที่เป็นลักษณะทรวดทรง
เอเสเคียล 1:28 ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบนั้นเหมือนกับสัณฐานรุ้งที่ปรากฏในเมฆเมื่อฝนตก ลักษณะทรวดทรงแห่งพระสิริของพระเจ้าเป็นดังนี้แหละและเมื่อข้าพเจ้าเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินและข้าพเจ้าได้ยินเสียงท่านผู้หนึ่งตรัส
ไม่แปลกใจเลยว่า ในพระคัมภีร์พันธสัญญาได้บันทึกไว้ว่า ผู้ใดได้เห็นพระเจ้าและจะต้องตายเนื่องจากความบริสุทธ์ของพระเจ้า มีเพียงผู้ที่พระเจ้าอนุญาตเท่านั้นเช่นโมเสสพบพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย
แค่การมองแสงของดวงอาทิตย์โดยตรงด้วยตาเปล่า อาจจะทำให้ตาบอด และหากพบแสงแห่งพระสิริของพระเจ้า จะเป็นอย่างไร?
แต่ในพันธสัญญาใหม่นี้ พระเจ้าทรงทำให้เราได้รับสิทธิพิเศษในการเป็นที่ประทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์พระสิริของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของผู้เชื่อ (Abiding in the Glory)
สิ่งที่สำคัญมากกว่า ปรากฏการณ์ของแสงแห่งพระสิริ นั่นคือการประทับอยู่ของพระเจ้า(Presence of God)
สิ่งต่างๆที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นเพียงป้ายบอกทาง ชี้ไปทางองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงประทับอยู่บนสวรรค์
พระคัมภีร์ได้บรรยายไว้ถึงการประกาศพระสิริของพระเจ้าผ่านปรากฏการณ์ธรรมชาติดังนี้
สดุดี 19:1-6
1 ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้า และพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วันและคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
3 ถ้อยคำไม่มี วาจาก็ไม่มีและไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า
4 ถึงกระนั้น เสียงของมันก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลกและถ้อยคำก็ออกไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงตะวันณ ที่นั้น
5 ซึ่งออกมาอย่างเจ้าบ่าวออกมาจากห้องโถงของเขาและวิ่งไปตามวิถีด้วยความปีติยินดีอย่างชายฉกรรจ์
6 ดวงตะวันขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าข้างหนึ่ง และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่งไม่มีสิ่งใดซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้
รุ้งเป็นสัญลักษณ์ที่เล็งถึงพันธสัญญาของพระเจ้า ที่ทรงทำไว้กับมนุษย์ตั้งแต่สมัยโนอาห์
ปฐมกาล 9:16-17
16 เมื่อมีรุ้งที่เมฆ เราจะดูรุ้งนั้น เพื่อระลึกถึงพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างพระเจ้ากับสิ่งมีชีวิตและสัตว์ทั้งปวงซึ่งอยู่บนแผ่นดิน”
17 พระเจ้าตรัสแก่โนอาห์ว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาที่เราได้ตั้งไว้ระหว่างเรากับสัตว์ทั้งปวงซึ่งอยู่บนแผ่นดิน”
อิสยาห์ 54:9-10
9 “สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้ก็เหมือนสมัยของโนอาห์เราได้ปฏิญาณว่า น้ำสมัยโนอาห์ จะไม่ท่วมแผ่นดินโลกอีกอย่างไรเราก็ปฏิญาณว่า เราจะไม่โกรธเจ้า และจะไม่ดุด่าเจ้าอีกอย่างนั้น
10 เพราะภูเขาทั้งหลายอาจถูกเคลื่อนย้ายไปและบรรดาเนินเขาอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่เคลื่อนย้ายไปจากเจ้าและพันธสัญญาแห่งสวัสดิภาพของเราจะไม่คลอนแคลน” พระยาห์เวห์ผู้ทรงสงสารเจ้าตรัสดังนี้
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสำแดงภาพของฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทำให้เราได้ตื่นตระหนักว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งและในทุกพระสัญญาของพระองค์เป็นจริงเสมอ
2 โครินธ์ 1:20 เพราะว่าพระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้าล้วนแต่เป็นจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าอาเมนโดยพระองค์ ซึ่งเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ผมเชื่อว่าปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ทรงกลดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดีทำให้เตือนใจให้เรามั่นใจถึงพันธสัญญาของพระเจ้า และสิ่งเหล่านี้เป็นข้อเตือนใจว่า วาระสุดท้ายสิ้นยุคใกล้เข้ามาแล้ว
เราต้องดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังและมีความหวังใจเสมอในพันธสัญญาของพระเจ้า
ถ้าเราเชื่อเราจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า อาเมน