23 ตุลาคม 2555

บันทึกการเดินทางอิสราเอล(4)


รูปปั้นเอลียาห์ ที่ภูเขาคารเมล
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางในดินแดนศักดิ์สิทธิ์(Holy land) ประเทศอิสราเอล ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4แล้ว มีหลายสิ่งที่น่าประทับใจจึงได้บันทึกไว้เพื่อให้อ่านกัน
(สามารถติดตามอ่านในคั้งที่ 1-3 ได้ตาม link นี้นะครับ บันทึกการเดินทางอิสราเอล(1,2,3)
ในวันเสาร์ที่ 1 ก.ย.12 คณะของเราได้เดินทางจากที่พักเพื่อมาร่วมนมัสการพระเจ้าที่ O Ha Carmel Congregation ตั้งอยู่บนภูเขาคารเมล สถานที่นมัสการนี้ออกแบบเป็นรูปแท่นบูชา และเพดานจะเป็นกระจกใสเพื่อให้แสงแดดส่องลงมา มองแล้วทำให้จินตนาการภาพเหมือนตอนที่เอลียาห์อธิษฐานขอไฟจากสวรรค์ลงมาเผาเครื่องบูชาบนแท่น ซึ่งเป็นการต่อสู้กับผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล (1พกษ.18)
ณ สถานนมัสการแห่งนี้ คณะของเราได้พบกับอ.Peter Tsukahira ท่านได้แบ่งปันภาระใจในการประกาศข่าวประเสริฐกับคนอิสราเอล แม้ว่าท่านเป็นคนญี่ป่น -อเมริกัน แต่ท่านมีหัวใจเพื่อให้คนอิวราเอลกลับใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสสิยาห์ คณะของเราได้ร่วมกันถวายเพื่อพันธกิจนี้โดยอ.นิมิต เป็นผู้มอบเงินถวายนี้ให้กับอ.Peter Tsukahira 
ร่วมนมัสการที่
O Ha Carmel Congregation
หลังจากนั้นคณะของเราได้เดินทางไปชมบนยอดเขาคารเมล มองเห็นทิวทัศน์รอบๆเมืองอย่างชัดเจน และจุดสำคัญคือ ป่าวประกาศชัยชนะของพระเจ้าแห่งอิสราเอล ณ สถานที่นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ได้พนันขันต่อกับพระบาอัล 450 คน เพื่อสำแดงแก่ชาวอิสราเอลในเวลานั้นซึ่งทิ้งพระเจ้าให้รู้ว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ไม่ใช่พระบาอัล (1พกษ18:16-39)

ผมลองจิตนาภาพไปถึงในสมัยนั้น ที่ภูเขาคารเมล คงจะมีประชาสัมพันธ์ไปทั่วเมืองถึงการต่อสู้กันระหว่างผู้เผยพระวจนะเอลียาห์กับกับพระบาอัล 450 คน  หากว่าในสมัยนั้นมีการถ่ายทอดสดคงจะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เรทติ้งดีและมีโฆษณาติดต่อมาเป็นสปอนเซอร์ในการถ่ายทอดสดศึก Big match ในครั้งนี้
ลองคิดดูเถอะครับว่าท่านเอลียาห์มีความกล้าหาญขนาดไหน ท่านได้สั่งไฟจากฟ้าสวรรค์ลงมาเพื่อเผาเครื่องบูชาที่แท่นบูชา พระยาเวห์ทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากกว่าพระเทียมเท็จใดๆทั้งสิ้น 
หุบเขายิสเรเอล
(Jezreel Valley)
เมื่องมองดูจากภูเขาคารเมลเราสามารถมองเห็นความเขียวขจีของหุบเขายิสเรเอล(Jezreel Valley) บริเวณนี้เป็นเส้นทางการค้าโบราณจากชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เนียนสู่เมืองดามาสกัส ทำให้มีการสู้รบเพื่อยึดครองบริเวณนี้ตลอดมา ทำให้เราสามารถเข้าใจคำทำนายในพระธรรมวิวรณ์ซึ่งกล่าวถึงสงครามสุดท้าย สงครามอามาเกดโดน(Armageddon) ที่เมืองเมคกิโด(Megidon)ได้อย่างแจ่มชัด (วว.16:16)
ในวาระสุดท้ายของโลกจะมีการต่อสู้กันในสงครามครั้งสุดท้าย ณ สถานที่นี้
ผมสัมผัสได้ถึงการเตรียมชีวิตเข้าสู่สงครามในครั้งสุดท้าย  คริสตจักรจึงต้องเป็นกองทัพของพระเจ้าที่พร้อมประจัญบานเสมอ เมื่อมีการเป่าแตรแห่งการรบ  เราจึงต้องดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท และตระหนักเสมอว่าเราต้องต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญาณ

จากคำสอนของอ.นิมิต พานิช เรื่อง "วิญญาณเยเซเบล” คำว่า “เยเซเบล”เป็นชื่อของภรรยาของกษัตริย์อาหับ มีความชั่วร้ายมาก “เยเซเบล” นั้นมีความหมายว่า "ไม่มีผู้ร่วมอาศัยด้วย"  ดังนั้นเยเซเบลหรือวิญญาณของเยเซเบลนั้นจึงเป็นวิญญาณหรือท่าทีที่ ปฏิเสธที่จะอาศัยด้วยกันหรืออยู่ร่วมกันกับคนอื่น วิญญาณเยเซเบลจะไม่อยู่กับใครเว้นแต่นางจะควบคุมและครอบงำความสัมพันธ์นั้นได้
ซึ่งมีผู้ที่มีใจขมขื่นมักจะควบคุมและบังคับคนอื่น เพราะความรู้สึกไม่มั่นคง

วิญญาณนี้จะหาทางแทรกซึมเข้ามาในตำแหน่งของผู้นำ เพื่อจะใช้สิทธิอำนาจบาตรใหญ่ในการควบคุม พระวจนะของพระเจ้าใน วว.2:20-21 ได้กล่าวถึงว่า
20 แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือ พวกเจ้าทนฟังผู้หญิงชื่อเยเซเบล ที่ยกตัวขึ้นเป็นผู้เผยพระวจนะ หญิงนั้นสอน และล่อลวงผู้รับใช้ของเรา ให้ล่วงประเวณี และให้กินของที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว
21 เราให้โอกาสหญิงนั้นกลับใจ แต่นางก็ไม่ได้กลับใจจากการประพฤติชั่วเลย
ดังนั้นเราจึงต้องตระหนักถึงวิญญาณเหล่านี้ที่เข้ามาครอบครองหรือควบคุมอยู่ในชีวิตของเรา ควบคุมอยู่ในครอบครัวของเรา ควบคุมอยู่ในคนรอบข้างของเรา หรือแม้แต่ควบคุมในชีวิตของตัวเราเอง

หลังจากที่เราใช้เวลานานพอสมควร ณ สถานที่นี้  เราจึงเดินทางต่อไปเพื่อจะไปรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองนาซาเร็ธ (Nazareth)ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเป็นเมืองที่พระเยซูใช้ชีวิตในวัยเด็กจนเติบโตและผ่านหมู่บ้านคานา(Cana) ที่ซึ่งพระเยซูทรงแสดงอัศจรรย์ครั้งแรกโดยทรงทำน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นในงานแต่งงาน แต่เนื่องจากเวลาจำกัดเราจึงได้แค่นั่งรถผ่านเพื่อชมทิวทัศน์รอบเมืองเท่านั้น

เมืองเมืองนาซาเร็ธ (Nazareth)เป็นเมืองเล็กๆ ค่อนข้างจะบ้านนอก หรือ เรียกว่า "เซาะกราว" และไม่ค่อยมีคนให้ความสำคัญแม้แต่ในพระคัมภีร์ (ยน.1:45-51)ยังได้บันทึกไว้ว่า ฟิลิปและนาธานาเอล ได้รับคำเล่าลือถึงเรื่องพระเยซูชาวเมืองนาซาเร็ธ แม้แต่นาธานาเอลยังดูหมิ่นเลยว่า "สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ"
แต่สิ่งที่ดีของเมืองนี้คือ พระเยซูคริสต์ พระองค์สำแดงทำให้ทั้งฟิลิปและนาธานาเอล มาติดตามเป็นสาวกของพระองค์ และพวกเขาได้เห็นสิ่งอัศจรรรย์ตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์คือ พวกเขาได้เห็นการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูคริสต์
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์"(ยน.1:51)
นี่คือสิ่งที่ดีจากเมืองเล็กๆที่ชื่อว่า "นาซาเร็ธ"
น่าเสียดายที่ชาวเมืองนาซาเร็ธ พวกเขาไม่เห็นสิ่งอัศจรรย์ได้มากมาย เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะดูหมิ่นว่าพระองค์เป็นลูกช่างไม้ เป็นชาวนาซาเร็ธ

ริมทะเลสาบกาลิลี
ในชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน อาจจะไม่ได้มาจากเมืองที่มีชื่อเสียง หรือไม่ได้มีการศึกษาสูง หรือ ประสบความสำเร็จมาก่อน แต่สิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราคือ การได้พบกับสิ่งที่ดี คือพระเยซูคริสต์
พระองค์ทำการอัศจรรย์เปลี่ยนแปลงน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่นที่หมู่บ้านคานา วันนี้สิ่งอัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของเรา คือ "การเปลี่ยนแปลงชีวิตในชีวิตของเรา"

บางคนพระเยซูคริสต์เปลี่ยนเหล้าให้กลายเป็นเงิน เพราะเขาสามารถเลิกดื่มเหล้าทำให้มีเงินมากมายช่วยเหลือครอบครัว

วันนี้ถ้าเราเชื่อเราจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์

ในเย็นวันนั้นเราได้ไปที่ริมทะเลสาปกาลิลีอีกครั้ง ไปซื้อของฝากและชมสถานที่รอบๆทะเลสาป ก่อนที่จะเดินทางไปสู่ที่พักที่ Hukuk Kibbutz
ในครั้งต่อไปจะแบ่งปันถึงเรื่องประสบการณ์การล่องเรือบนทะเลสาบกาลิลีเพื่อนมัสการพระเจ้า โปรดติดตามอ่านในครั้งหน้านะครับ

15 ตุลาคม 2555

คริสเตียนกับเทศกาลกินเจ

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน หากเราเดินทางไปไหนมาไหนช่วงนี้ ตามร้านค้าขายอาหาร เราจะเห็นธงสีเหลืองเต็มไปหมด ธงสีเหลืองนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจ เปรียบเหมือนกับอาหารของชาวมุสลิมจะมีเครื่องหมาย "ฮาลาล(Halal)" สำหรับชาวอิสราเอลที่เคร่งครัดจะมีเครื่องหมาย"โคเชอร์ (Kosher)"รับรองว่าอาหารนั้นถูกต้องตามหลักการโทราห์ของยิว 

ทศกาลกินเจเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่ เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

การนับวันของเทศกาลกินเจ เขานับกันดังนี้คือ เทศกาลกินเจจะตรงกับเดือน 9 ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำถึง 9 ค่ำ ตามปฏิทินจันทรคติแบบจีน หรือในราวปลายเดือนตุลาคมของทุกปี นาน 9 วัน (ปี 2012 จะตรงกับวันที่ 15 ต.ค.-23 ต.ค.)

คำว่า “เจ” เป็นภาษาจีนมาจากคำว่า “ไจ” ซึ่งมีอักษรจีนตัวสีแดงบนพื้นสีเหลืองและแปลว่า “ไม่มีการทำลายชีวิต ไม่มีของคาว” ความหมายค่อนข้างไปในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
คำดั้งเดิมของ “เจ” หมายถึง “อุโบสถ หรือ การรักษาศีล 8” คือคนกินเจมักจะถือศีลร่วมด้วย การไม่กินอาหารพวกเนื้อสัตว์ จึงมักเรียกติดปากว่า “ถือศีลกินเจ” ผู้ปฏิบัติธรรมที่รักษาศีลความเป็นมนุษย์ จะต้องเจริญเมตตาและกรุณา จึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์

คำว่า "กินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

กลุ่มชาวจีนมีประเพณีเทศกาลกินเจซึ่งเรียกว่า “เก้าอ๊วงเจ” เป็นการประกอบพิธีกรรมสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรวมทั้งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะเจ้าแม่กวนอิม จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
(ข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com/view/76601)

1.กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ

2.กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้ 
 
3.กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

เมื่อเราในฐานะคริสตชน เราต้องทำเข้าใจในหลักการเบื้องหลังของเทศกาลต่างๆ จุดยืนที่สำคัญคือท่าทีในใจมากกว่าการกระทำ ท่าทีที่ถูกต้องก็จะนำมาซึ่งการกระทำที่ถูกต้อง ดังนั้น "การกินเจ อยู่ที่ใจ ไม่ใช่ตามกระแส" เพราะการกินอาหารที่ถูกหลักอนามัยก็ทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย
บางครั้งการกินเจ แม้จะเป็นอาหารที่ทำจากพืชผัก แต่บางครั้งทำเลียนแบบเนื้อสัว์เหมือนของจริงมาก  แม้กินไม่ได้แต่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าได้กินสิ่งนั้น  เรียกว่า "ไม่ได้กินจริง ขอกินทางใจแล้วกัน"

สำหรับผมแล้ว ผมรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ได้งดเว้นสิ่งใด และการทำแบบนี้ทุกเทศกาล ไม่ได้ทำเป็นเทศกาล เพียงแต่เลือกรับประทานให้เหมาะสมและออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ

บางท่านถามว่าเรากินเจได้ไหม ผมคิดว่ากินได้แต่ต้องพิจารณาจากจุดประสงค์กินเพื่ออะไร บางสิ่งที่เป็นอาหารเจ ยกตัวอย่างเช่น จับฉ่าย ในสมัยก่อนจุดประสงค์แรกคือเป็นการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย เพราะมีผักออกมามาก รับประทานไม่หมด เลยเอาผักต่างๆที่ใกล้จะเสีย มาทำเป็นจับฉ่าย คือ รวมมิตรผักทุกชนิด หลังจากนั้นมีสูตรการทำจับฉ่ายเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่ใส่ผักอะไรก็ได้ สำหรับผมคงไม่ต้องกินจับฉ่าย เพราะรับประทานผักหมด ไม่มีเหลือ เรียกว่า "จับเจี๊ยะ" แทน "จับฉ่าย"

เรื่องแบบนี้เป็นประเด็นร่วมสมัยที่คริสเตียนต้องมีการแสดงจุดยืน แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่เป็นเหตุให้ผู้ใดสะดุดและเป็นอุปสรรคในการได้รับความรอด

ในกิจการฯบทที่ 15:1-29 มีบทเรียนสอนใจคริสตชน กล่าวคือ เมื่อมีคนต่างชาติเชื่อมากขึ้น คนยิวก็เกิดคำถามว่าคนต่างชาติจะต้องทำตามคนยิวหรือไม่ เขาจะเป็นคริสเตียนโดยไม่ต้องทำสุหนัตได้หรือไม่ เขาจะเป็นคริสเตียนแท้ไหมถ้าเขาไม่ทำแบบยิว เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าแม้เราไม่เข้าสุหนัตเราก็เป็นคริสเตียนแท้ได้ แต่สมัยเริ่มต้นคริสตจักรไม่ใช่คิดได้ง่ายๆ เขาเกิดความสับสนอย่างมาก จนต้องมีการประชุมคณะอัครทูตเป็นครั้งแรก ที่ประชุมซึ่งมีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และอัครทูตสรุปว่า คนต่างชาติไม่ต้องเข้าสุหนัต แต่อัครทูตขอร้องอย่าทำตามคนต่างชาติ 4 ข้อ คือ
(1)งดรับประทานสิ่งของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพ
(2)งดการรับประทานเลือด
(3)งดรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย
(4)งดการล่วงประเวณี

ประเด็นการรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องพิจารณา นั่นคือการไม่รับประทานอาหารที่บูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือดและเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งมลทินและไม่เกิดอนามัยต่อร่างกาย เช่นเลือดเป็นสิ่งที่คริสเตียนควรจะหลีกเลียงการรับประทาน เพราะเลือดเป็นแหล่งแห่งชีวิต บางทีมีเชื้อโรคบางชนิดอยู่ในเลือดแม้ว่าจะมีการใช้ความร้อนสูงในการปรุง บางทีก็ยังไม่สะอาดรับประทานเข้าไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย  

หากเราศึกษาพระคัมภีร์จะเห็นในสมัยปฐมกาล พระเจ้าให้มนุษย์รับประทานพืชผักและผลไม้(ปฐก.2:15-16)พระ​เจ้า​จึง​ทรง​ให้​มนุษย์​นั้น​อยู่​ใน​สวน​เอเดน ให้​ทำ​และ​รักษา​สวน​ พระ​เจ้า​จึง​ทรง​บัญชา​แก่​มนุษย์​นั้น​ว่า “บรรดา​ผลไม้​ทุก​อย่าง​ใน​สวน​นี้ เจ้า​กิน​ได้​ทั้งหมด​" แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก(ปฐก.9)ต้นไม้ต่างๆถูกน้ำท่วมตายไป พระเจ้าจึงอนุญาตให้มนุษย์รับประทานสัตว์ได้แต่กำหนดข้อยกเว้นไว้บางประการเช่น "อย่ากินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมันคือเลือดของมัน" 
ปฐก.9:3-6
3"ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมา จะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกต้นผักเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว"
4"แต่อย่ากินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมันคือเลือดของมัน"
5 "โลหิตที่เป็นชีวิตของเจ้านั้นเราจะทวง เราจะทวงจากสัตว์ทั้งปวง และเราจะทวงจากมนุษย์ด้วย เราจะทวงชีวิตมนุษย์จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
6 "ผู้ใดฆ่ามนุษย์ให้โลหิตไหล มนุษย์จะฆ่าผู้นั้นให้โลหิตไหลเหมือนกัน เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ตามพระฉายาของพระองค์"

ดังนั้นการรับประทานอาหารจึงเป็นสิ่งที่เราควรเอาใจใส่ เรารับประทานอาหารอะไรจะส่งผลต่อร่างกายของเรา เรียกว่า "You are what you eat" บางครั้งเรารับประทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่งผลต่อเราทำให้เจ็บป่วยและไม่สบาย เช่น กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ทำให้เป็นโรคอ้วน หรือโรคอื่นๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ พระเยซูคริสต์สอนเราให้เราเข้าใจ สิ่งที่สำคัญคือ การรับประทานอาหารเข้าไปไม่ได้เป็นมลทินแต่สิ่งที่ออกมาจากเราเป็นสิ่งมลทิน
มธ.15:10-20 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านทั้งหลาย ยังไม่เข้าใจด้วยหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่า สิ่งใด ๆ ซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน"


พระเยซูคริสต์ได้สอนให้เกิดความสมดุลในการดำเนินชีวิต บางครั้งพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ทำตัวเป็นนักการศาสนา มาคอยจับผิดผู้อื่น ว่ารับประทานสิ่งนั้นเป็นมลทิน หรือ การไม่ทำตามธรรมเนียมยิวโบราณคือการล้างมือก่อนรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่เป็นมลทิน

สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่ออกมาจากภายในต่างหากสำคัญมากกว่าสิ่งใดเข้าไปข้างใน

ฉะนั้นการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หลักการคือ

1.พระเจ้าดูท่าทีในใจ เราจะกินเจหรือไม่อยู่ที่ใจ หากเรากินเพื่อสุขภาพอนามัย เราก็สามารถรับประทานได้ แต่ไม่ได้มาจากการถือศีลตามเทศกาล

2.อย่าทำแล้วเป็นเหตุให้ผู้ใดสะดุด ทำให้เกิดความสับสนในความเชื่อคริสตชน มีจุดยืนที่ชัดเจนคือการไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นการไหว้รูปเคารพ แม้ว่าทุกสิ่งที่เป็นอาหารนั้นพระเจ้าทรงสร้างให้เรารับประทาน เพียงแต่มีคนนำไปเพื่อไหว้รูปเคารพ เราสามารถรับประทานได้ แต่หากหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดี



การรับประทานผักและผลไม้เป็นประโยชน์ต่อเรา หากเรารับประทานได้จะเป็นการดีสำหรับสุขภาพของเรา ตัวอย่างในพระคัมภีร์เช่น ดาเนียลและเพื่อนของท่าน งดรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารสูงจากพระราชา ท่านรับประทานแต่ผักผลไม้ หน้าตาผิวพรรณของท่านดูดีมากกว่าผู้อื่นด้วยซ้ำไป 
(ดนล.1:8-16แต่​ดาเนียล​ตั้งใจ​ไว้​ว่า​จะ​ไม่​กระทำ​ตัว​ให้​เป็น​มลทิน​ด้วย​อาหาร​สูง​ของ​พระ​ราชา หรือ​ด้วย​เหล้า​องุ่น​ซึ่ง​พระ​องค์​ดื่ม เพราะ​ฉะนั้น​เขา​จึง​ขอ​หัวหน้า​ขันที​ให้​ยอม​เขา​ที่​ไม่​กระทำ​ตัว​ให้​เป็น​มลทิน...​ เมื่อ​ครบ​สิบ​วัน​แล้ว​จึง​เห็น​ว่า​บรรดา​คน​เหล่า​นั้น​รูปร่าง​หน้าตา​ดีกว่า และ​เนื้อ​หนัง​เต่ง​ตั่ง​กว่า​บรรดา​อนุชน​ที่​รับประทาน​อาหาร​สูง​ของ​พระ​ราชา​)

การกินผักผลไม้เป็นการทำดีท็กซ์ Detox ย่อมาจาก คำว่า Detoxification หมายถึง กระบวนการในการล้างสารพิษ (Toxin)ออกจากร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ  นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า การสะสมพิษ เช่น อุจจาระตกค้าง ที่ลำไส้ใหญ่ หรือ อาการท้องผูก เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเราอ่อนแอและเกิดโรคต่าง ๆ  การรับประทานอาหารจากพืชผักก็เป็นการช่วยในการขับถ่าย

ในช่วงเทศกาลกินเจ เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เรากลับมาสนใจในเรื่องการรับประทานอาหารมากขึ้น แม้แต่เทศกาลต่างๆในโลกนี้ยังมีจุดประสงค์ที่ดี ทำให้เป็นช่วงเวลากลับมาสนใจเรื่องต่างๆในชีวิต ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เทศกาลในฝ่ายวิญญาณที่เป็นช่วงนัดพบกับพระเจ้า เราต้องกลับมาสนใจในเรื่องต่างๆที่พระเจ้าทรงกำหนดช่วงเวลาไว้ เทศกาลกินเจ ก่อนจะกินสิ่งใด สนใจในพระวจนะที่เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่กินใจและหนุนใจ ทำให้เรามีกำลังในการเผชิญสถานการณ์ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
ขอพระเจ้าอวยพรครับ

13 ตุลาคม 2555

คำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนเชสวาน (CHESHVAN)

เชสวาน - เดือนที่ 8 ตามปฏิทินฮีบรู - 16 ตุลาคม ถึง 15 พฤศจิกายน 2012
สาส์นนี้คือคู่มือการอธิษฐานสำหรับเดือนเชสวาน - เดือนที่ 8 ตามปฏิทินฮีบรู
โดย รอน ซอว์คะ(Ron Sawka)
เชสวาน - เดือนที่ 8 ตามปฏิทินฮีบรู - 16 ตุลาคม ถึง 15 พฤศจิกายน 2012

1.เดือนแห่งเผ่ามนัสเสห์ (ลืม,กระโดดหนี) ดังความหมายของชื่อเผ่ามนัสเสห์ (ปฐก 41.51) พระเจ้าทรงอวยพรเรา ดังนั้นเราสามารถที่จะลืมความยากลำบากและความทุกข์ยาก เราต้องระมัดระวังในเดือนนี้ กิจกรรมที่ดำเนินไปคุณต้องถามพระเจ้าว่าจะจัดการให้ผ่านไปได้อย่างไร จงระลึกถึงพระเยซูผู้ที่อดทนต่อกางเขนเพื่อความรื่นเริงยินที่ที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ (ฮบ 12.2)

2.เดือนแห่งน้ำท่วมของโนอาห์ (1 ปี กับ 10 วัน) เราจะเห็นน้ำท่วมเคลื่อนรอบข้างเรา จนกว่าบางสิ่งจะรับการจัดการ ให้เราแน่ใจที่จะจัดการกับประเด็นต่าง ๆ

3.เดือนที่ถูกสงวนไว้สำหรับการเจิม มันอาจจะทำให้ง่ายหรือยากก็ได้ การเจิมจะหักแอก (อสย 10.27) แต่น้ำมันก็จะต้องถูกบีบออกมา ดังนั้น จงชื่นชมแม้ว่าสถานการณ์รอบข้างอาจจะบีบเราอย่างหนัก

4.เดือนที่จะต้องจัดการกับความยากลำบาก และการทดลอง ด้วยการรับการเจิม จงให้ความเจ็บปวดของคุณเปลี่ยนคุณให้อยู่ในแผนการของพระเจ้า เราไม่ได้รับการยกเว้นที่จะไม่ต้องอยู่ในเวลาที่เลวร้าย แต่เราสามารถถูกเปลี่ยนโดยรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจโดยไม่เกี่ยวกับว่าเราเจออะไรมาบ้าง (รม 12.2) ถ้าเราเป็นของโลก ทั้งหมดที่เราสามมารถทำได้ก็คือไปตามอย่างโลก (เหมือนบุตรของเบลีอัล - 2คร 6.15, ฉธบ 13.13) เรามีฤทธิ์และโลหิตของพระเยซูไหลผ่านเรา ฉะนั้นเราเปลี่ยนแปลงได้

5.ดังนั้นจงขอพระเจ้าให้ทรงล้างวิญญาณแห่งความอิจฉา ขมขื่น การบ่น การมุ่งหาประโยชน์สำหรับตน (ยก 3.13-16) สิ่งเหล่านี้เข้ามาได้ง่าย ๆ และจะกลายเป็นป้อมปราการที่ขวางเราไว้จากการเลียนแบบอย่างพระเยซูคริสต์ จงทบทวนดูชีวิตของโมเสสจนกว่าคุณจะเข้าใจว่าทำไมความโกรธจะยั้งคุณไว้ไม่ให้ดำเนินก้าวหน้าไป (โมเสสถือกำเนิดในเดือนนี้)

6.เดือนที่จะต้องจัดการกับเรื่องที่เป็นราก อีกนัยหนึ่งคือ นี่เป็นเวลาแห่งการปลดปล่อย

7.เดือนของกลิ่น ในเดือนนี้นั้น วิญญาณจะตอบสนองในทางที่ไม่ปกติ กลิ่นจะมีผลต่อวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกาย กลิ่นหอมของพระเจ้าสามารถแทรกซึมเข้ามาในธรรมชาติฝ่ายวิญญาณได้ (2คร 2.14-16) และเปลี่ยนทั้งเราและคนรอบตัวเรา

8.เดือนแห่งต้นเมอหรือเมอเทิล(“myrrh”or“myrtle”)(ดอกเมอเทิลหรือไมร์เทิล มีความหมายว่าความรัก-แสดงสัญลักษณ์ของการแต่งงานของฮิบรู)

9.เดือนที่จะสัมผัสกลิ่นของความยำเกรงพระเจ้า (อสย 11.13) จงขอจากพระเจ้า คือกลิ่นหอมแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะฟุ้งออกจากชีวิตของเรา

10.เดือนที่คุณจะเริ่มเห็นสีสัน เดือนนี้คือสีม่วง ซึ่งมักจะหมายถึง "ความปรารถนาอันแรงกล้าของพระเจ้า"
11.ความปรารถนาอันแรงกล้าจะช่วยให้เราได้รับการเปิดเผยสำแดง ซึ่งจะส่งเสริมให้เราเคลื่อนเข้าไปสู่ภาวะเหนือธรรมชาติ

12.เดือนแห่งราศีพิจิก หรืออสรพิษ(งู)แห่งเอเดน ศัตรูต้องการวางยุทธศาสตร์ล้อมตัวคุณเพื่อขัดขวางคุณ ดังนั้นนี่อาจเป็นเวลาแห่งอึดอัดลำบาก แต่จงจำไว้ว่าพระเยซูทรงกระทืบหัวงู และเราสามารถทำและจะต้องทำอย่างเดียวกับพระองค์ (รม 16.20)

13.เดือนของตัวอักษรฮีบรู NUN ตัวอักษรนี้ดูคล้ายกับเขตแดนและอ้างอิงถึงแสงสว่าง ซึ่งแม้ว้าเราจะถูกจำกัดด้วยขอบเขตของธรรมชาติ แต่เราก็จะเจาะทะลุสิ่งต่าง ๆ ออกไปได้เพื่อจะสร้างเสียงใหม่แห่งการเริ่มต้น หากปราศจากการเจิมใหม่ในเดือนนี้ ซาตานจะได้เปรียบ

14.นี่คือเดือนที่จะขึ้นไปเหยียบแผนของศัตรู คุณต้องร้องขอการเจิม คุณจะสามารถมีชัยชนะเหนืออุบายทั้งสิ้นของผีร้ายได้ด้วยการให้อภัย (2คร 2.10-11)

15.เดือนแห่งลำไส้ นี่เป็นเดือนที่การย่อยสมบูรณ์ มีความสามารถในการแยกแยะและซึมซับสิ่งต่าง ๆ

16.เดือนที่คุณต้องทำสงครามกับถ้อยคำ นี่ควรเป็นเดือนที่คุณจะร้องว่า "ฉันรู้สึกพอใจแล้ว" อันเป็นการผลักไสถ้อยคำที่นำความไม่พอใจมาออกไป ถ้อยคำที่พูดออกมาอย่างไม่ถูกต้องจะลงไปลึกถึงห้วงในสุดของความเป็นคุณได้ บางทีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องท้องอาจเกิดขึ้นเพราะคุณรับเอาถ้อยคำที่ไม่ถูกต้อง

(ข้อมูลจาก http://www.arise5.com/#/hebrew-months)
(ขอขอบคุณผู้แปลโดย เอกจิต จรุงพรสวัสดิ์)

10 ตุลาคม 2555

บันทึกการเดินทางอิสราเอล(3)

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งในบันทึกการเดินทางอิสราเอลซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3แล้ว สำหรับการเล่าสู่กันฟังถึงประสบการณ์การเดินทางไปประเทศอิสราเอล
(สามารถอ่านบันทึกการเดินทางอิสราเอล ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ได้ตามที่ link ไว้นะครับ)

สิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังคือการเดินทางไปอิสราเอลครั้งนี้ คืออยู่ในช่วงวันศุกร์ที่ 31 ส.ค.12 คณะของผมได้ไปต้อนรับคณะจากกรุงเทพฯที่เดินทางมาถึงสนามบิน ถึงสนามบินเบนกูเรียล(Ben Gurion)กรุงเทลอาวีฟ (Tel Aviv) เราได้ต้อนรับผู้ที่จะบรรยายพิเศษเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ของคณะเรา คือ Dr.Susan Watson(ดร.ซูซาน วัตสัน) หลังจากรวมตัวกันเสร็จแล้ว เราได้เดินทางโดยรถทัวร์ของบริษัท Sar-el ไปสถานที่เรียกว่า "โบราณสถานของเผ่าดาน" (Tel Dan-เทลดาน) ที่ซึ่งเราได้เห็นซากเมืองเก่า และซากแท่นบูชา สถานที่นี้มีความสำคัญที่พระคัมภีร์บันทึกไว้คือ เป็นพื้นที่ของเผ่าดานที่ครอบครองโดยยึดเมืองเลเชม(ยชว.19:47)เมื่อดินแดนคนเผ่าดานหลุดมือเขาไป คนเผ่าดานก็ขึ้นไปสู้รบกับเมืองเลเชม เมื่อยึดได้ก็ประหารเสียด้วยดาบ จึงยึดครองที่ดินและตั้งอยู่ที่นั่น เรียกเมืองเลเชมว่า ดาน ตามชื่อของดานบรรพบุรุษของตน

คำว่า "ดาน"ในภาษาฮีบรูหมายถึง การพิพากษา ผูัวินิจฉัย("judgement" หรือ "he judged") เป็นชื่อเผ่าหนึ่งของคนอิสราเอล ดานเป็นบุตรของยาโคบกับสาวใช้ของนางราเชล คือ บิลฮาห์
ปฐก. 30:4-6 
4 นางจึงยกบิลฮาห์สาวใช้ของตนให้เป็นภรรยาของยาโคบ ยาโคบก็เข้าไปหานาง
5 บิลฮาห์ก็ตั้งครรภ์กับยาโคบและมีบุตรชาย
6 นางราเชลว่า "พระเจ้าผู้ทรงตัดสินเรื่องข้าพเจ้า ได้ทรงสดับฟังเสียงข้าพเจ้าทูลจึงประทานบุตรชายแก่ข้าพเจ้า" เหตุฉะนี้นางจึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าดาน {แปลว่า เขาพิพากษาแล้ว}

แท่นบูชาที่เทลดาน
เผ่าดานเป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงในการช่างเพราะเป็นผู้ที่มีส่วนสร้างพลับพลาในสมัยโมเสส คือ "โอโฮลีอับ"(อพย.31:6)งานช่างที่ใช้ฝีมือละเอียดปราณีต เผ่าดานมีความสามารถทำได้ เรียกว่า "เผ่า Dan Can do"
การไปชม"โบราณสถานของเผ่าดาน" ครั้งนี้ เราได้รับฟังข้อคิดเตือนใจเรา ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ 1พกษ.12 เป็นเหตุการณ์ที่อิสราเอลแตกเป็น 2 อาณาจักรคืออิสราเอล(สะมาเรีย)และยูดาห์ ในสมัยของกษัตริย์เรโหโบอัม โอรสของกษัตริย์ซาโลมอน กษัตริย์เยโรโบอัมนำคนอิสราเอลให้ไหว้รูปเคารพเพราะต้องการที่จะเอาใจประชาชนไม่ต้องการให้เดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะเกรงว่าประชาชนจะหันใจไปหาราชวงศ์ยูดาห์ของกษัตริย์ดาวิด(1พกษ.12:27-30) 27ถ้าชนชาติเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชาในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วจิตใจของชนชาติเหล่านี้จะหันกลับไปยังเจ้านายของเขาทั้งหลาย คือหันไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ และเขาทั้งหลายจะฆ่าเราเสีย และกลับไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์”  28 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงปรึกษา และได้ทรงสร้างลูกวัวสองตัวด้วยทองคำ และพระองค์ตรัสแก่ประชาชนว่า “ที่ท่านทั้งหลายขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มนานพออยู่แล้ว โอ อิสราเอลเอ๋ย จงดูพระของท่าน ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์” 29 และพระองค์ก็ประดิษฐานไว้ที่เบธเอลรูปหนึ่ง และอีกรูปหนึ่งทรงประดิษฐานไว้ในเมืองดาน  30 และสิ่งนี้กลายเป็นความบาป เพราะว่าประชาชนได้ไปนมัสการรูปหนึ่ง คือที่เมืองดาน

และสิ่งนี้เอง ทำให้เผ่าดานจึงไม่ถูกกล่าวถึงในพระธรรมวิวรณ์และถูกนับรวมกับเผ่าอิสราเอล 12 เผ่า เพราะพวกเขาได้ทำบาปต่อพระเจ้า

ข้อคิดเตือนใจ คือ เมื่อผู้นำทำผิด คิดที่จะเอาใจคน แทนที่จะเลือกทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะนำคนเดินทางผิด หลงทางจากพระเจ้า  ผลเสียจึงตกมาสู่แผ่นดินและชนชาติ
มาถึงที่ดาน มีบทกลอนท่องจำดังนี้ "มาถึง Dan(ดาน) ให้ทิ้ง Dan หากเลือก Dan ก็จะอยู่ดัก Dan"

สถานที่เทลดานนั้นไม่ได้มีแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่ยังมีสิ่งที่ดีให้จดจำ นั่นคือ ที่ดานนี้เป็นแหล่งแห่งต้นสายของแม่น้ำจอร์แดน(Jordan)เป็นแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงคนอิสราเอล ทั้งประเทศ สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ อุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ 14'C ตลอดทั้งปี

ผมประทับใจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอิสราเอล แม้ว่าพวกเขามีความจำกัดในเรื่องน้ำ แต่พวกเขาต้องบริหารจัดการอย่างดี เพื่อจะให้มีน้ำดื่ม น้ำใช้อย่างเพียงพอ หรือไม่ท่วมล้นจนเกินไป เรียกว่า "เอาอยู่" 
ทรัพยากรน้ำ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนอิสราเอลจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะสุดเหยียดของมนุษย์ คือ ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่อวยพร  ดังนั้นคนยิวจึงมีความถ่อมใจเพราะการช่วยเหลือของพระเจ้า

ที่ราบสูงโกลาน (Golan Height)
หลังจากเสร็จภารกิจที่เทลดาน เราเดินทางต่อไปที่ราบสูงโกลาน (Golan Height)เป็นที่ตั้งของฐานทัพที่อิสราเอลใช้ในการต่อสู้กับประเทศอาหรับ เช่น เลบานอน ซีเรีย และจอร์แดน  เป็นจุดเหนือสุดของประเทศอิสราเอล ณ จุดนี้เราจะสามารถเห็นภูเขาเฮอร์โมน(Hermon)ที่กล่าวถึงในสดด.133และเห็นเขตแดนติดต่อประเทศเลบานอนและประเทศซีเรีย
เป็นที่ตั้งของหุบเขาบาคา(สดด.84:6) หุบเขาแห่งน้ำตา (Valley of Tear) ทำไมถึงมีชื่อว่า "หุบเขาแห่งน้ำตา (Valley of Tear)" ทั้งนี้เพราะว่าในเดือน ต.ค.ปีค.ศ.1973 เกิดสงครามที่เรียกว่า "สงครามยมคิปปูร์"(Yom Kippur -เทศกาลลบมลทินบาป -เป็นช่วงเวลาอดอาหารอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า)กับประเทศซีเรีย ในเหตุการณ์นั้นกองทัพซีเรียบุกมาด้วยรถถัง 500 คัน ขณะที่อิสราเอลมีรถถังเพียง 50 คันและน้ำมันเกิดหมดต้องกลับไปเติมน้ำมัน ระหว่างนั้นเมื่อกองทัพซีเรียมาประชิดชายแดน ทหารอิสราเอลที่มีกำลังน้อยกว่าหลายเท่า จึงตัดสินใจบุกเข้าไปโจมตีทั้งที่ไม่มีรถถังต่อสู้ กองทัพซีเรียก็ไม่สามารถยิงปืนใหญ่จากรถถังได้เพราะระยะใกล้มาก จนวิถีของกระสุนเลยกองทัพอิสราเอลไป ผลสุดท้ายพระเจ้าจอมพลโยธา(Yaweh Sabaoth)เป็นผู้ประทานชัยชนะให้กับชนชาติอิสราเอลของพระองค์

นมัสการและอธิษฐานที่โกลาน
ที่ราบสูงโกลาน อาจารย์ซูซานได้นำพวกเราอธิษฐานอวยพรชนชาติซีเรียและนมัสการพระเจ้าที่นี่
แม้ว่าพวกเขาจะมาต่อสู้กับชนชาติของพระเจ้า แต่น้ำพระทัยของพระเจ้าก็รักคนซีเรีย และปรารถนาให้คนซีเรียกลับใจมาหาพระเจ้า

Month of Beatitudes
หลังจากนั้นเราได้เดินทางไปรับประทานอาหารเที่ยง และเดินทางต่อไปที่เมืองทิเบเรียส(Tiberias)เพื่อไปชมภูเขา(Month of Beatitudes) สถานที่ที่พระเยซูคริสต์เทศนาครั้งแรกเรื่องผู้เป็นสุข(มธ.5:1-12)สถานที่นี้มีโบสถ์รูปทรง 8 เหลี่ยม ซึ่งสร้างเพื่อระลึกถึงคำเทศนาเรื่องผู้เป็นสุขทั้ง 8 ผมชอบสถานที่นี่เพราะได้เดินไปตามริมทะเลสาปกาลิลี สถานที่ที่พระเยซูคริสต์เคยสั่งสอนสาวกที่นี่ และการอัศจรรย์มากมายเกิด ณ สถานที่นี้  คณะของเราได้ใช้เวลาพักสงบและอธิษฐานส่วนตัวตามจุดต่างๆ ผมสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า และคำสอนของพระองค์ที่อยู่ในพระคัมภีร์ดังก้องเข้ามาในห้วงความคิดของผม สิ่งนี้เองที่ทำให้สาวกได้ทิ้งอาชีพของตนเองคือ ชาวประมงและติดตามพระเยซูคริสต์ วันนั้นพระองค์ได้ย้ำให้ผมนึกถึงสิ่งที่พระองค์พูดเชิญสาวกของพระองค์ว่า "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา"(มธ.4:19)
ผมพร้อมจะวางทุกสิ่งที่เป็นอาชีพของผมและติดตามพระองค์ตลอดไปครับ

แม้ว่าอยากจะใช้เวลานานๆ ณ สถานที่นี้ แต่ก็หมดเวลาเพราะสวนสาธารณะจะปิด ทำให้เราต้องออกเดินทางต่อไปยังที่พักซึ่งชื่อว่า "ฮักกุก คิบบุตซ์"(Hukuk Kibbutz-คิบบุตซ์ คือ ชุมชนที่พักของคนยิว)
 
สำหรับ คิบบุตซ์ ผมนึกถึงชุมชนอยู่พอเพียงบ้านเราเลย เพราะในคิบบุตซ์ มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ปลูกพืชผักเพื่อรับประทานเอง
ขอบอกตามตรงว่า "ชอบมากกว่าพักที่โรงแรมเสียอีก เพราะได้ชมวัฒนธรรมของคนยิวอย่างใกล้ชิด พวกเขาจะใช้เวลากับครอบครัวในการอ่านพระคัมภีร์โทราห์ และรับประทานอาหารร่วมกันในวันสะบาโต"(ตามธรรมเนียมยิวจะเริ่มต้นเมื่อดวงอาทิตย์ตกดินในวันศุกร์จนถึงดวงอาทิตย์ตกดินในวันเสาร์)
Hukuk Kibbutz
ในเย็นวันนั้นเป็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นเวลาแห่งการพักสงบหรือที่เรียกว่า "สะบาโต" (Sabbath)หรือบางคนเรียกว่า วัน "สบายตัว" พวกคนยิวจะให้ความสำคัญในวันสะบาโตอย่างมาก เป็นวันหยุดพัก โดยมีการถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แม้แต่เครื่องใช้บางอย่างที่ใช้ไฟฟ้าเช่น ลิฟท์ก็ไม่ใช้ ต้องเดินขึ้นลงบันได หรือแม้แต่เครื่องชงกาแฟสดที่เราไปพัก เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ใช้ เป็นต้น
แต่พวกเขาต้อนรับคณะของเราด้วยไวน์องุ่นอย่างดี และมีการอธิษฐานก่อนรับประทานอาหารแบบธรรมเนียมยิว
ดื่มไวน์องุ่นฉลองวันสะบาโต
ในค่ำวันนั้นจึงเป็นค่ำคืนแห่งการพักสงบและฉลองวันสะบาโต จะมีการอวยพรกันและกันว่า "ชาบัท ชาโลม(Shabbat shalom (שַׁבָּת שָׁלוֹם))"หมายถึง "สันติสุขอยู่ท่ามกลางเราในวันสะบาโต" 
ในช่วงเวลาที่เราไปพักที่นี่ มีกิจกรรมสำหรับนักศึกษาจาก USA ที่มีเชื้อสายยิวได้เดินทางมาเข้าค่าย เพื่อได้มาเยี่ยมญาติพี่น้อง นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทั้งหลายจะต้องอธิษฐานนั่นคือ การให้คนยิวกลับสู่บ้าน สู่อ้อมอกของพระบิดาในดินแดนพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับอับราฮัม
ค่าคืนวันนั้น เราแยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะเนื่องจากพี่น้องหลายท่านเพิ่งเดินทางมาถึงประเทศอิสราเอลในช่วงเช้า ในวันรุ่งขึ้น เรายังมีภารกิจที่จะต้องเดินทางกันต่อไป
สถานที่เราจะไปในวันเสาร์ที่ 1 ก.ย.12 คือ ไปร่วมนมัสการพระเจ้าในวันสะบาโตที่ O Ha Carmel Congregation –ภูเขาคาร์เมล - เมืองนาซาเร็ธ(บ้านเมืองที่พระเยซูคริสต์อาศัยในวัยเยาว์)

ครั้งต่อไปจะนำเรื่องราวในสถานที่ต่างๆเหล่านี้มา เล่าสู่กันฟัง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

05 ตุลาคม 2555

จุดยืนเรื่องการเยียวยารักษาโรค

จากกรณีน้องเอมี่ โมทนา สถาปนาวิสุทธิ์ อายุ 22 ปี บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสียชีวิตจากการรักษาโรคแบบการนวดแผนโบราณจากคุณประกาย ศิริวงค์ (นางลลิตา วองท์ )ซึ่งตกเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ซึ่งผมเชื่อว่าผู้อ่านคงพอจะได้ฟังหรือได้อ่านผ่านตากันบ้าง โดยรายละเอียดของคดีความ ผมขออนุญาตไม่วิพากษ์วิจารณ์ ขอให้เป็นการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรม
(ติดตามรายงานข่าวซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ของคุณพ่อกับผู้สื่อข่าว อันนี้มาจากการเรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 
(http://hilight.kapook.com/view/76509)

จากการวิเคราะห์ข่าว ผมมีความคิดเห็นดังต่อไปนี้

กรณีนี้มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเยียวรักษาจากพระเจ้า ดังนี้

1.การเยียวยารักษาจากพระเจ้าต้องไม่เป็นวิธีการที่ตายตัว 

พระเจ้าไม่ได้มีวิธีการที่เหมือนๆ กันเสมอไป  การเยียวยารักษาของพระเจ้าไม่ได้มีวิธีการหรือรูปแบบที่เจาะจง  บางคนคิดว่าพระเจ้ามีวิธีการที่ตายตัวในการเยียวยารักษา แต่การเยียวยารักษาจากพระเจ้าสามารถมาในวิธีการที่หลากหลาย
ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเยซูทรงรักษาชายตาบอดแต่ละคน พระองค์รักษาเขาด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน
พระเยซูทรงสัมผัสที่ตาของชายตาบอดสองคน(มธ.20:29-34)
พระเยซูทรงถ่มน้ำลายบนตาของชายตาบอดและสัมผัสตาเขา(มก.8:22-25)
พระเยซูทรงป้ายโคลนที่ตาของชายตาบอดและให้เขาไปล้างที่สระสิโลอัม(ยน.9:6-11)
เมื่อพระเยซูทรงรักษาประชาชน พระองค์ทรงกระทำในวิธีการที่หลากหลายและไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรจำกัดวิธีการของพระเจ้าในการรับการเยียวยารักษาของพระองค์
ในกรณี้ใช้การเยียวยารักษาโรคแบบการนวดแผนโบราณโดยวิธีการจากกัมพูชา มีท่าที่ใช้ในการนวดหลายท่าที่เป็นอันตราย เช่น การเหยียบทิ้งน้ำหนักไปที่ร่างกายโดยตรง

2.ฤทธิ์อำนาจในการรักษาของพระเจ้าถูกส่งผ่านวัตถุที่จับต้องได้ แต่ไม่ใช่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์

ผู้รักษาโรคด้วยความเชื่อจำนวนมากใช้วัตถุสิ่งของทำการอัศจรรย์ในการรักษา
หินหรือคริสตัลเป็นสิ่งที่ผู้รักษาโรคในความเชื่อแบบนิวเอจ (New Age) นำมาใช้อยู่บ่อยครั้ง บางคนที่กล่าวว่าตนมีความเชื่อแบบคริสเตียนก็ใช้ผ้าหรือแก้วน้ำที่ผ่านการอธิษฐานมาแล้ว ในการเยียวยารักษา พวกเขาใช้ข้อพระคัมภีร์บางข้อสนับสนุนการใช้วัตถุสิ่งของเป็นอุปกรณ์ในการรักษาโรค เช่น
โมเสสใช้งูทองแดงเพื่อรักษาประชาชนที่ถูกงูกัด(กดว.21:8-9)
ครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงใช้โคลนในการรักษาคนตาบอด(ยน.9:6-7)
บางคนได้รับการรักษาเพราะสัมผัสชายเสื้อคลุมของพระเยซู เช่นผู้หญิงโลหิตตก(มธ.9:20-22)

ประชาชนได้รับการรักษาผ่านผ้าเช็ดหน้าที่อัครทูตส่งไปให้(กจ.19:11-12)
11 พระเจ้าได้ทรงกระทำอิทธิฤทธิ์อันพิสดารด้วยมือของเปาโล
12 จนเขานำเอาผ้าเช็ดหน้ากับผ้ากันเปื้อนจากตัวเปาโลไปวางที่ตัวคนป่วยไข้ โรคนั้นก็หายและผีร้ายก็ออกจากคน

หากเราสำรวจตลอดพระคัมภีร์ เราสามารถสรุปได้ว่า เมื่อคนของพระเจ้ากระทำพันธกิจแห่งการเยียวยารักษา จะไม่มีรูปแบบที่ตายตัวหรือพฤติกรรมลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้นประจำ

แม้แต่การอธิษฐานวางมือเผื่อคนเป็นการกระทำที่มักจะทำมากกว่าวิธีอื่น แต่ยังคงมีข้อยกเว้นอีกมากมาย (แปลว่าแม้ไม่วางมือ ก็สามารถหายโรคได้)

วัตถุที่จับต้องได้ไม่มีฤทธิ์อำนาจพิเศษภายในตัวมันเอง ยิ่งไปกว่านั้น พระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวเลยว่ามีวัตถุใดที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อประกอบการอัศจรรย์มีฤทธิ์อำนาจพิเศษในตัวของมันเอง
ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไหลผ่านสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่ได้เข้าไปอาศัยหรืออยู่ในสิ่งเหล่านั้น 
วัตถุสิ่งของที่ถูกใช้ในพระคัมภีร์ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจในตัวเอง ต่างก็เป็นเครื่องมือธรรมดาๆ ที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเป็นช่องทางส่งผ่านฤทธิ์เดชของพระองค์

ความเชื่อว่ามีฤทธิ์อำนาจพิเศษอยู่ในวัตถุสิ่งของนั้นมีที่มาจากความเชื่อในอำนาจมืด ไม่ใช่ความเชื่อคริสเตียน เป็นเรื่องความเชื่อในอำนาจลึกลับไม่ใช่ความเชื่อในสิ่งที่เกินธรรมชาติ

วัตถุที่จับต้องได้ถูกใช้ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า
เหตุการณ์ต่างๆที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ วัตถุสิ่งของต่างๆ ที่ใช้ในการอัศจรรย์ต่างก็อยู่ในการควบคุมของพระเจ้า
พระเจ้าไม่เพียงแต่กำหนดการใช้วัตถุสิ่งของต่างๆ สำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ แต่พระองค์ยังเป็นผู้ตัดสินว่าจะใช้สิ่งเหล่านั้นเมื่อใด

พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าการอัศจรรย์ต่างๆ เกิดขึ้นตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น

1คร.12:9-11
9 และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน
10 และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆและให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆและให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆและให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้
11 สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์

ฮบ.2:4 ทั้งนี้พระเจ้าก็ทรงเป็นพยานด้วย โดยทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และโดยการอิทธิฤทธิ์ต่างๆและโดยของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งทรงประทานตามน้ำพระทัยของพระองค์

ดังนั้น ฤทธิ์อำนาจในการเยียวยารักษาจะถูกมอบไว้หรือนำออกไปก็โดยพระหัตถ์พระเจ้า พระองค์เป็นผู้เดียวที่ทรงควบคุม
ไม่มีฤทธิ์เดชใดๆ อยู่ในวัตถุสิ่งของหรือคนใดคนหนึ่งอย่างเจาะจง แต่ฤทธิ์เดชนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามพระประสงค์ของพระองค์

ดังนั้นคริสเตียนจึงไม่ควรนับว่าสิ่งที่ใช้เป็นวัสดุการรักษาโรคเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์นำมาใช้ในการรักษาโรค

การเยียวยารักษาจะเกิดขึ้นได้ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสัมผัสของบุคคล

การรักษาไม่ได้มาผ่านการสัมผัสเสมอไป เราเห็นในพระคัมภีร์ว่าแม้คนหนึ่งอธิษฐานวางมือและมักจะมีการหายโรคเสมอๆ แต่ไม่ใช่ไม่ได้สัมผัสเลยก็จะไม่หาย
เราเห็นจากตัวอย่างว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เขาก็หาย หรือตัวอย่างบ่าวของนายร้อย เขาก็หาย
ในพระคัมภีร์ เราเห็นว่าการเยียวยารักษาในหลายๆ กรณีเกิดขึ้นเมื่อคนของพระเจ้ารวมทั้งพระเยซูคริสต์สัมผัสแตะต้องผู้ป่วย(มก.16:17-18)
พวกอัครทูตในคริสตจักรสมัยแรกวางมือบนผู้ที่พระเจ้าทรงรักษาโดยการอัศจรรย์(กจ.28:8)
ผู้เชื่อบางคนเชื่อว่า การรักษาโรคโดยความเชื่อขึ้นอยู่กับการวางมือหรือการสัมผัสแตะต้องหรือการมีอิทธิพลส่วนบุคคล

ในพระคัมภีร์ เราจะเห็นว่ามีหลายคนที่แม้พระเยซูไม่ได้สัมผัสเขาเลย แต่เขาก็ได้รับการรักษาให้หายโรค
การเยียวยารักษาจากพระเจ้าไม่ได้โดยวิธีการที่เหนือธรรมชาติเท่านั้น
พระเจ้าสามารถรักษาเราด้วยวิธีการที่ไม่จำเป็นต้องเกินธรรมชาติเสมอไป
พระคัมภีร์ได้บอกเราหลายตอนเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ 
อัครทูตเปาโลเองได้เตือนทิโมธีว่าไม่ควรดื่มแต่น้ำ ควรดื่มเหล่าองุ่นบ้างในที่นี้ คือ “บ้าง” ไม่ใช่ดื่มอย่างมากมายจนเมาเสียสติหรือเป็นผลเสียต่อสุขภาพ

คนบางกลุ่มสอนว่า การแสวงหาการรักษาทางการแพทย์เป็นการแสดงออกถึงการขาดความเชื่อในพระเจ้า พระองค์ปรารถนาที่จะรักษาเราโดยวิธีการที่เหนือธรรมชาติหรือโดยการอัศจรรย์เท่านั้น
ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเพื่อจะรับการเยียวยารักษาจากพระเจ้า นอกจากรอคอยและคาดหวังการรักษาอย่างอัศจรรย์จากพระองค์

ความพยายามในฝ่ายธรรมชาติใดๆ ก็ตามเพื่อจะได้รับการเยียวยารักษา ตัวอย่างเช่น การไปพบแพทย์เป็นสัญญาณของความไม่เชื่อและการมีความเชื่อน้อยของเรา

การแสวงหาการรักษาทางการแพทย์เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งถึงความเชื่อที่ตั้งอยู่บนน้ำพระทัยพระเจ้าในการเยียวยารักษา

1ทธ.5:23 อย่าดื่มแต่น้ำอีกต่อไป แต่จงใช้เหล้าองุ่นบ้างเล็กน้อย เพื่อประโยชน์แก่กระเพาะอาหารของท่าน และโรคที่บังเกิดแก่ท่านเนืองๆ

คำสอนที่ไม่ถูกต้องทำให้ชีวิตของคนจำนวนมากพลาดสิ่งที่จำเป็นหรือควรจะได้รับ

เพราะฉะนั้น เราต้องรับผิดชอบต่อคำสอนทุกๆ อย่างและมีความสมดุลในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ความคิดที่สมดุลเกี่ยวกับการเยียวยาการรักษาจากพระเจ้า

คนมากมายรวมทั้งผู้เชื่อมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเยียวยารักษาจากพระเจ้า  พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าการรักษาจะเกิดขึ้นกับโรคภัยไข้เจ็บทุกๆ กรณี หรือต้องเกิดขึ้นในรูปแบบที่เกินธรรมชาติเท่านั้น

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเยียวยารักษาจากพระเจ้าส่งผลให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตอย่างมาก เนื่องจากความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายเป็นความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจริงและสามารถนำไปสู่ความตายได้หากคนไม่ได้รับการรักษา

ความสมดุลในการเยียวยารักษาโรค
1.การเยียวยารักษาจากพระเจ้ากับการรักษาทางการแพทย์
น้ำพระทัยอันดีเลิศของพระเจ้านั้นคือให้สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมีความเป็นอยู่ที่ดี ดังนั้นพระองค์จึงปรารถนาให้เรามีความยินดีในสุขภาพที่ดี
ความเจ็บป่วยเข้ามาในโลกนี้ผ่านความบาป แต่ขณะที่มนุษย์ได้รับการไถ่แล้วโดยทางนิตินัยให้หลุดพ้นจากความเจ็บป่วยทั้งสิ้นทันทีที่ได้มารู้จักพระเจ้า เราก็ยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยความเชื่อในทางพฤตินัย
อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับเราคือการให้เรามีสุขภาพที่ดีและมีความสมบูรณ์  เราจึงควรคาดหวังการเยียวยารักษาจากพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ในการเยียวยารักษาคนได้สำแดงออกผ่านหลายวิธี

โดยเหตุที่พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์จึงสามารถใช้สิ่งใดหรือวิธีการใดก็ได้ในการรักษาคนของพระองค์

วิธีทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงรักษามนุษย์ คือโดยผ่านการค้นพบในธรรมชาติซึ่งมนุษย์มีความรู้ในเรื่องเหล่านั้น

การเยียวยารักษาที่เป็นผลของวิทยาศาสตร์และการแพทย์ การแพทย์จึงเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการเยียวยารักษาโรค
เราควรตระหนักว่า ความรู้และเทคโนโลยีด้านการแพทย์มาจากการทรงสร้าง การค้นพบตัวยาที่ใช้ทางการแพทย์หลายอย่าง เป็นการค้นพบในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้แล้วเท่านั้น โดยเหตุที่พระเจ้าได้ทรงสร้างธรรมชาติ เมื่อมนุษย์ค้นพบรายละเอียดของการทรงสร้างของพระองค์ และค้นความรู้ที่ถูกต้อง พระเจ้าก็สามารถรักษาคนผ่านความรู้นั้นได้
แพทย์สามารถค้นพบหรือคิดวิธีการรักษา แต่การตอบสนองของร่างกายต่อการรักษานั้นๆ อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเรารับการรักษาโดยทางการแพทย์ เราควรอธิษฐานพึ่งพาพระเจ้าถึงผลของการรักษาทุกครั้งด้วย

เปิดใจรับการรักษาโดยวิธีทางการแพทย์

พระเจ้าสามารถใช้ทุกสิ่งเป็นเครื่องมือเพื่อจะรักษาคนของพระองค์
เราไม่ควรเข้าใจผิดว่าการพึ่งพาการช่วยเหลือจากแพทย์เป็นเรื่องที่ขัดกับน้ำพระทัยพระเจ้า
แพทย์สามารถเป็นอุปกรณ์ที่พระเจ้าใช้เพื่อจะรักษาคนได้

ยรม.8:22 ไม่มีพิมเสนในกิเลอาดหรือ ไม่มีแพทย์ที่นั่นหรือ ทำไมอนามัยแห่งบุตรีประชากรของข้าพเจ้า จึงไม่กลับสู่สภาพเดิมได้

มธ.9:12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ
หนึ่งในบรรดาสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่รับใช้พระเจ้าและเขียนพระกิตติคุณเล่มหนึ่งขึ้นมาคือ นายแพทย์ลูกา

คส.4:14 ลูกาแพทย์ที่รัก กับเดมาส ฝากความคิดถึงมายังพวกท่าน

ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ขัดกับน้ำพระทัยพระเจ้าหากเราจะแสวงหาการช่วยเหลือจากแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษา การควบคุมของพระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่ง ดังนั้นพระองค์จึงสามารถนำทิศทางหรือให้สติปัญญาแก่แพทย์เพื่อที่จะรักษาโรคของเราได้ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะให้แพทย์มาตรวจดูร่างกายเพื่อจะวินิจฉัยว่าเราได้รับการรักษาแล้วหรือยัง

การดูแลสุขภาพเป็นความรับผิดชอบเบื้องตนของแต่ละคน

บางคนคิดว่าเมื่อเขาเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจะดูแลเอาใจใส่ทุกสิ่งในชีวิตของตนอย่างเกินธรรมชาติ รวมถึงเรื่องสุขภาพด้วย  พวกเขาอาจคิดว่าการดูแลเอาใจใส่เรื่องของตนเองเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเพราะพระเจ้าจะรับผิดชอบหน้าที่นี้
ความเข้าใจผิดนี้ทำให้คนละทิ้งหน้าที่ไว้ให้พระเจ้าเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตน
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าต้องการให้เราเป็นผู้อารักขาที่ดีในการดูแลเอาใจใส่สุขภาพของเราเอง เพื่อที่เราจะสามารถมีกำลังในการทำสิ่งดีเพื่อแผ่นดินของพระองค์
ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงควรดูแลเอาใจใส่ตัวเองอย่างดี

1คร.3:16-17
16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น

การดูแลสุขภาพส่วนตัวตามพระประสงค์ของพระเจ้า

การมีสุขภาพที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรพระเจ้ามากกว่าการมีสุขภาพที่ไม่ดี ดังนั้นเราจึงควรดูแลเอาใจใส่สุขภาพของเรา เพื่อที่เราจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างดี
หากเป็นน้ำพระทัยและแผนการของพระเจ้าที่ให้เราต้องทนทุกข์ผ่านความเจ็บป่วย เราควรยอมรับมันโดยปราศจากความขมขื่น

โดยสรุปกรณีนี้ปฏิเสธการรักษาโรคจากแผนปัจจุบัน โดยไม่ให้รับการรักษา รับประทานยาจากแพทย์ โดยใช้วิธีการรักษาแบบเดียวคือ การนวดโดยอ้างว่าพระเจ้าบอกให้ทำ
การเสียชีวิตมาจากผลของการไม่รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์และสภาพร่างกายที่อ่อนแอ

เป้าประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรคือ ให้เราเชื่อในเรื่องของการดูแลสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ และเรามีความเชื่อเรื่องการทรงนำและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการเยียวยาและรักษาโรค
ในวันนี้เราต้องออกไปทำพันธกิจแห่งการเยียวยา รักษาโรคและการปลดปล่อยผู้คนจากพันธนาการ แต่เราต้องรักษาความสมดุลให้ถูกต้อง
มก.16:15-18
15 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน
16 ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ
17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ
18 เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"

02 ตุลาคม 2555

บันทึกการเดินทางอิสราเอล(2)

ทหารอิสราเอลมารายงานตัวเพื่อกล่าวปฏิญาณ
สวัสดีครับสำหรับเพื่อนๆผู้อ่านทุกท่าน ครั้งนี้ผมขอแบ่งปันในเรื่องบันทึกการเดินทางอิสราเอล เป็นตอนที่ 2 ครับ
(สามารถอ่านตอนที่ 1ได้นะครับที่ บันทึกการเดินทางอิสราเอล(1))
ครั้งที่ผ่านมา เป็นการเดินทางตามการทรงสถิตของพระเจ้า (Divine presence) จากชิโลห์ ไปเบธเอล มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เราได้เดินทางมาถึงเยรูซาเล็มในวันที่ 29ส.ค.โดยมาพักที่โรงแรม  Leonardo Inn Hotel คำว่า Leonardo ในที่นี้คือ Leonardo da Vinci จิตกรชื่อดังชาวอิตาลี ไม่ใช่ Leonardo Dicaprio พระเอกชื่อดังจากเรื่อง "ชู้รักเรือล่ม"(Titanic) แค่สัญลักษณ์โรงแรมก็เป็นภาพกายวิภาค Vitruvian man นอนแผ่สองสลึงเป็นเครื่องหมายการค้าของ Leonardo da Vinci
เราได้พักที่นี่ 2 คืน ก่อนที่จะย้ายไปพักที่ Hukuk Kibbutz(คิบบุท ชุมชนที่อยู่ของคนยิว)เมืองทิเบเรียส ในคืนวันที่ 31ส.ค.ร่วมกับคณะที่เดินทางตามมาสมทบ
รถรางในกรุงเยรูซาเล็ม
ดังนั้นในช่วง 2 วันที่กรุงเยรูซาเล็ม เราจึงได้เดินทางไปชมรอบๆ เมือง เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งรถรางชมเมือง ไปตลาดนัดซื้อของ  ได้เห็นวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนยิว 
กรุงเยรูซาเล็ม(Jerusalem)יְרוּשָׁלַיִם‎‎ ในภาษาฮีบรู อ่านว่า "ยะรูซาลาอิม" หมายถึง "นครแห่งสันติภาพ" ดังคำอธิษฐานที่เราต้องอธิษฐานให้เกิดสันติภาพ ความสงบสุขในกรุงเยรูซาเล็ม
สดุดี 122:6 จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็ม ว่า "ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ"
ภารกิจของเราในกรุงเยรูซาเล็ม คือการไปเพื่อรายงานตัวต่อพระเจ้าในฐานะคนเลวี ผู้รับใช้ของพระเจ้า
นครของดาวิด
ก่อนที่เราจะไปที่นั่น เราได้ไปที่นครของดาวิด (City of David)  นครดาวิด (City of David) เดิมเป็นเนินเขาเล็ก ๆ ที่กษัตริย์ดาวิดได้ตั้งเป็นเมืองหลวงโดย ยึดครองมาได้จากชาวเยบุสเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว โดยส่งทหารกล้าคือ โยอาบ เข้าไปทางอุโมงค์ซึ่งเป็นทางน้ำพุกิโฮน เพื่อโจมตีคนเยบุสและยึดตั้งเป็นนครของดาวิด
1พศด.11:5-6
5ชาวเมืองเยบุสทูลดาวิดว่า "พระองค์จะเสด็จเข้ามาที่นี่ไม่ได้" อย่างไรก็ดี ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งคือศิโยนไว้ คือนครของดาวิด
6 ดาวิดรับสั่งว่า "ผู้ที่โจมตีคนเยบุสได้ก่อนจะได้เป็นหัวหน้าและผู้บังคับบัญชา" และโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ได้ยกขึ้นไปก่อน ท่านจึงได้เป็นหัวหน้า 
หากศึกษาทางประวัติศาสตร์ตามพระคัมภีร์สถานี่ที่กษัตริย์โซโลมอนได้รับการเจิม(1พกษ.1:38–39)นอกจากนี้อุโมงค์นี้เป็นอุโมค์ส่งน้ำที่สร้างในสมัยกษัตริย์เฮเซคียาห์ที่นำน้ำจากนอกกำแพงมาไว้ที่สระสิโลอัม(2พศ​ด.32:30)
ความอัศจรรย์คือ ผู้ที่ขุดอุโมงค์จากปลายทางและต้นทางสามารถขุดมาบรรจบกันโดยการทรงนำของพระเจ้า เพราะในช่วงเวลานั้นไม่มีการสื่อสารเหมือนดังยุคปัจจุบัน ในการไปวันแรกที่อุโมงค์นี้ เรายังไม่ได้เข้าไปเพราะเราจะร่วมสมทบกับคณะที่เดินทางตามมาและจะเข้าในอุโมงค์นี้ด้วยกัน เราจึงได้แต่เดินชมบริเวณรอบนอก
นครของดาวิดนี้เป็นเมืองที่มีความสวยงาม มองจากมุมสูงจะมองเห็นทิวทัศน์รอบๆกรุงเยรูซาเล็ม แต่มีมุมหนึ่งที่ในสมัยโบราณเป็นวังของเหล่ามเหสีของกษัตริย์ซาโลมอน

ร่วมนมัสการที่นิเวศอธิษฐาน

สิ่งที่เป็นข้อคิดเตือนใจคือ ในสมัยกษัตริย์ซาโลมอน ซาโลมอนได้สร้างที่พักให้กับเหล่าๆมเหสีทั้งเจ็ดร้อย และนางห้ามสามร้อยของท่าน(1พกษ.11)และสถานที่นี้เอง พวกนางได้ทำการนมัสการพระเทียมเท็จของเธอ ลองจินตนาการว่าในสมัยนั้นบนเนินเขาเป็นที่ตั้งของพระวิหารที่นมัสการพระเจ้า แต่ที่ราบเชิงเขามีการนมัสการพระเทียมเท็จ และพวกนางเหล่านี้เองที่ทำให้กษัตริย์ซาโลมอนหันเสียจากทางของพระเจ้า

เมื่อเราเดินทางจากนครดาวิด เราได้มีโอกาสไปที่นิเวศอธิษฐาน (House of prayer)ของอ.John และ Una Gere แต่ท่านทั้งสองไม่อยู่เพราะเดินทางไปต่างประเทศ เราจึงได้พบกับอ.Winny และอ.KIm จึงได้ร่วมนมัสการและท่านได้อธิษฐานปลดปล่อยถ้อยคำการเผยพระวจนะให้กับพวกเราทุกคนที่ไป และนี่เองที่ทำให้เรารู้ว่า นิเวศอธิษฐานเป็นสิ่งที่สำคัญในช่วงยุคสุดท้ายที่เราจะต้องมีการอธิษฐานเผื่ออิสราเอลและประชาชาติ
อสย.56:7 คนเหล่านี้เราจะนำมายังภูเขาบริสุทธิ์ของเราและกระทำให้เขาชื่นบานอยู่ในนิเวศอธิษฐานของเราเครื่องเผาบูชาของเขาและเครื่องสักการบูชาของเขาจะเป็นที่โปรดปรานบนแท่นบูชาของเรา เพราะนิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน สำหรับบรรดาชนชาติทั้งหลาย

หลังจากเสร็จภารกิจที่นิเวศอธิษฐาน เราได้เดินทางไปที่จุดศูนย์กลางของเยรูซาเล็ม นั่นคือ ที่ภูเขาพระวิหาร (Temple Mount)หรือยอดเขาโมริยาห์ ที่อับราฮัมถวายอิสอัค. (ปฐก22.2)ซึ่งต่อมากษัตริย์โซโลมอนได้สร้างพระวิหารหลังแรกบนยอดเขาโมริยาห์

แต่หลังจากนั้นพระวิหารถูกทำลายโดยพวกบาบิโลนในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ต่อมาเมื่อกษัตริย์ไซปรัสอนุญาตให้เอสราและเนหะมีย์ นำคนยิวกลับมาสร้างพระวิหารและซ่อมแซมกำแพงเยรูซาเล็ม โดยมีเศรุบาเบลเป็นผู้มอบถวายพระวิหารหลังที่สองใน ปี 515 ก่อนคริสตกาล  ต่อมาในปี ค.ศ 37 เฮโรดได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ยูดาห์ได้ทำการ
ซ่อมแซมและขยายบริเวณพระวิหารอย่างอลังการใช้เวลาสร้างถึง 46 ปี ) แต่ต่อมาในปี ค.ศ 70 ก็ถูกทหารโรมันทำลายพระวิหารทั้งสิ้น ตามคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์(ยน2.20) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสุเหร่าทองคำ(Dome of the Rock)สร้างโดยสุลตาน คาลิโอมาร์ ในปี ค.ศ.624 ดังนั้นสถานที่นี้มีความสำคัญเป็นศูนย์รวมของ 3 ศาสนาคือ ยูดาย,อิสลามและคริสต์
ซากกำแพงที่เหลือนี้เองจึงเป็นเหตุที่ทำไมชาวยิวจึงเรียกกำแพงกรุงเยรูซาเล็มด้านฝั่งตะวันตกนี้ว่า "กำแพงร้องไห้ (wailing wall)" เพราะนี่คือกำแพงด้านตะวันตกของพระวิหารหลังที่สองที่เหลืออยู่ มันเป็นเพียงแค่ 1ส่วนใน 8 ส่วนของพระวิหารที่พวกเขารัก

ชาวยิวทั่วโลกถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและโดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาจะมีชาวยิวมากมายเดินทางมาอธิษฐานร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้าอย่างเนืองแน่น เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้พระวิหารเดิมที่สุด
ในวันที่เราไปนั้นเป็นวันที่เหล่าทหารกองกำลังพิทักษ์อิสราเอล(IDF- Israel Defense Forces)เดินทางมารายงานตัวเพื่อกล่าวปฏิญาณตนต่อหน้ากำแพงร้องไห้ เพื่อแสดงถึงการเป็นทหารที่อยู่ภายใต้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาที่พระองค์ทรงเป็น "พระยาห์เวห์ สะบาโอธ"(Yahweh Sabaoth)จอมพลโยธาที่ปกป้องดินแดนของพวกเขา
ในวินาทีนั้นผมสัมผัสได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า และท่านอาจารย์นิมิตได้ให้เราได้อธิษฐานและรายงานตัวต่อพระองค์ที่นี่  ในใจผมกล่าวว่า "พระเจ้าครับ ผมขอเป็นทหารของพระองค์ที่มายืนอยู่ในกองประจำการของพระองค์ ผมพร้อมแล้วที่จะอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณและมีชัยชนะร่วมกับพระองค์"
ในเย็นวันนี้เราได้เข้าไปในอุโมค์ใต้กำแพง (Western Wall Tunnel)ซึ่งทางรัฐบาลอิสราเอลได้ขุดเพื่อที่จะเข้าไปยังจุดที่ใกล้กับห้องอภิสุทธิ์สถานซึ่งเป็นที่เก็บหีบพันธสัญญาของพระเจ้าที่นั่น

สัมผัสการทรงสถิตในอุโมค์กำแพง
(Western Wall Tunnel)


วันนี้การเดินทางตามการทรงสถิตของพระเจ้า (Divine presence)นั่นคือหีบพันธสัญญา จากชิโลห์ ไปเบธเอล มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เรากำลังจะเข้าไปในอุโมค์ใต้กำแพงเพื่อสัมผัสการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด สรรเสริญพระเจ้า!
ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้า เราได้ผู้ที่บรรยายท่านเป็นรับบี(ผู้สอนศาสนายิว)ชื่อว่า "ดาวิด"
(กษัตริย์ดาวิดคือผู้ที่นำหีบพันธสัญญากลับมาสู่กรุงเยรูซาเล็ม) ท่านรับบีได้อธิบายความหมายต่างๆภายในอุโมงค์ได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เราทุกคนมีความเข้าใจกระจ่างชัด 
จุดสำคัญที่สุดของอุโมงค์ คือ จุดที่ใกล้ชิดกับห้องอภิสุทธิ์สถานซึ่งเป็นที่เก็บหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ที่ตรงนั้นเราได้วางมือบนก้อนหินซึ่งมีขนาดใหญ่โตมากต้องใช้คนประมาณ 13 คนกางแขนโอบ เราจึงสัมผัสที่จุดนั้นและอธิษฐาน ไม่ต้องแปลกใจเลยน้ำตาจากตาของเราทุกคนไหลออกมาอย่างพรั่งพรูด้วยความตื้นตันใจในพระทัยของพระบิดาที่เราได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ในวันนี้
แม้ว่าเวลาจะนานผ่านไปกว่า 2,000 ปีแต่การทรงสถิตของพระเจ้ายังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย เหมือนเมื่อเราฉีดสเปรย์น้ำหอมในห้อง กลิ่นหอมยังคงติดจมูกของเรา แม้เวลาจะผ่านไปเป็นชั่วโมง แต่นี่คือกลิ่นหอมแห่งพระคุณและความโปรดปรานที่ลูกของพระองค์ได้รับจากหัวใจความเป็นพระบิดาของพระองค์ที่มอบความรอดให้กับเราทั้งหลาย ไม่ใช่เพราะเราดีเพียงพอและสมควร แต่พระคุณที่มีอย่างพอเพียงของพระองค์
2คร.2:14-15
14 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราเสมอมาโดยพระคริสต์ด้วยความมีชัย และทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง
15 เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวาน ที่พระคริสต์ถวายพระเจ้าในหมู่คนที่กำลังจะรอด และคนที่กำลังประสบความพินาศ

เราได้เดินทางต่อภายในอุโมงค์กำแพง ได้ชมวีดีทัศน์การสร้างพระวิหาร เราสัมผัสถึงหัวใจของกษัตริย์ของดาวิดที่มีใจปรารถนาที่จะสร้างที่ประทับให้กับพระเจ้า แม้ว่าท่านจะไม่สามารถสร้างได้ด้วยตัวของท่านเองเพราะท่านเป็นนักรบที่มือเปื้อนเลือด( 1พศด.28:3)ท่านได้จัดเตรียมทุกสิ่งที่จะทำได้ และส่งต่อให้กับพระโอรสของท่านคือซาโลมอนในการสานงานต่อ
งานการก่อสร้างพระวิหารเป็นงานที่ปราณีตและละเอียดละออมาก พวกคนอิสราเอลต้องใช้ความพยายามมากในการเคลื่อนก้อนหินที่ใหญ่มากๆ นำมาสกัด ตกแต่งลายและนำมาสร้างพระวิหาร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสมัยก่อนที่ไม่มีเครื่องมือก่อสร้างที่ทันสมัยเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน


ปัจจุบันนี้ชาวอิสราเอลมีความตั้งใจที่จะสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ขึ้น เพื่อรอรับการเสด็จมาของพระมาซีฮาในวาระสุดท้ายของโลก ในทุกวันนี้พวกเขาได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆในฝ่ายกายภาพอย่างเต็มที่ การสร้างพระวิหารจึงเป็นหมายสำคัญของโลก นั่นหมายถึงการเตรียมเข้าสู่สงครามยุคสุดท้ายและการพิพากษาโลกนี้

แต่สิ่งที่สำคัญคือการสร้างพระวิหารในฝ่ายวิญญาณ นั่นคือเราทั้งหลายเป็นศิลาแต่ละก้อนที่ถูกจัดเตรียมไว้ และพระเจ้ากำลังสร้างชีวิตของเรา เพื่อเป็นพระวิหารของพระองค์ที่มีสง่าราศีเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์

1 ปต. 2:5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
พวกเรายังอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในเมืองนี้ ที่ผมจะเล่าให้ฟังครั้งนี้ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ติดตามอ่านในครั้งต่อไปครับ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ