สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน มีหลายคนตั้งคำถามว่าเมื่อเรามาเป็นคริสเตียนแล้ว เราสามารถไปดูดวงจากหมอดูได้ไหม เราสามารถถือตามโชคชะตาราศีได้ไหม? คำตอบที่อยู่ในใจของผม คือ ไม่จำเป็นที่เราต้องทำแบบนั้น เพราะเรารู้ว่าแผนการของพระเจ้าที่มีให้กับเราในฐานะลูกของพระเจ้าแล้ว คือสวัสดิภาพเพื่ออนาคตที่ดีสำหรับเรา
เยเรมีย์ 29:11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า
เราจะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงมีวาระสำหรับทุกสิ่ง เพียงแต่เราต้องรู้วาระเวลาของพระเจ้า หากเรารู้เวลาเราจะเคลื่อนไปตามวาระของพระเจ้าไปสู่แผนงานสวัสดิภาพของพระองค์
ผู้ที่จะเข้าใจวาระเวลาของพระเจ้าได้ดีที่สุด ก็น่าจะเป็นชนชาติของพระเจ้า คือ "อิสราเอล" ในพระคัมภีร์ยังกล่าวถึงเผ่าของอิสราเอลที่รู้วาระเวลาคือ "เผ่าอิสสาคาร์" พวกเขาเป็นแนวหน้าในการถูกจัดทัพของอิสราเอล
1 พศด.12:32 จากเผ่าอิสสาคาร์ มีผู้รู้กาละ ทราบว่าอิสราเอลควรทำประการใด มีหัวหน้าสองร้อยคน และญาติของเขาทั้งสิ้นอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
ดังนั้นหากเราสังเกตสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้าง และเรียนรู้ที่จะฟังเสียงพระเจ้า ทำให้เรารู้วาระเวลาเช่นเดียวกับเผ่าอิสสาคาร์
สดด.19:1-2
1 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์
2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
ในครั้งนี้ผมได้สรุปเรียบเรียงเนื้อหาบทความนี้จากคำสอนดร.ชัค เพียซ(Dr.Chuck D. Pierce)และดร.โรเบิร์ต ไฮด์เลอร์ (Dr.Rpbert Heidler) ในหัวข้อ "เข้าใจเดือนฮีบรูในเชิงเผยพระวจนะ" ซึ่งเป็นการทำให้เราเข้าใจว่า
"ทำไมเราต้องมีการฉลองในวันต้นเดือน
(Rosh Chodesh) ทำไมต้องมีการถวายผลแรก ทำไมต้องมีการเชื่อถือเรื่องดูดวงจันทร์หรือดวงดาวต่างๆตามแบบปฏิทินฮีบรู?"
ขอหนุนใจไว้ดังนี้ว่า เราไม่ได้เลียนแบบความเป็นยิว หรือพยายามเป็นคนยิว
เพราะเราไม่สามารถเป็นแบบคนยิวได้ เราไม่จำเป็นต้องไปทำตามพิธีของชาวยิว แต่เราต้องปรับเวลาของเราเข้าสู่เวลาของพระเจ้า
ในปัจจุบันเราอาจจะใช้ปฏิทินสากลคือแบบโรมัน
เป็นปฏิทินแบบสุริยคติ เพื่อรู้เวลาของโลก แต่ในชีวิตในฝ่ายวิญญาณเราต้องปรับเวลาของเราเข้าสู้วาระเวลาของพระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงกำหนดวาระเวลาต่างๆ โดยให้เราเห็นได้จากหมายสำคัญต่างๆ บอกให้รู้ว่า
ถึงวาระ ฤดู ที่จะต้องทำสิ่งใด
ปฐก.1:14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี)
คนยิวในสมัยก่อน ดูหมายสำคัญ(sign)
เรื่องเวลาของพระเจ้า ทำความเข้าใจกับการเคลื่อนของดวงสว่างบนฟ้า
แต่อำนาจมืดได้ทำให้คนหลงไป ด้วยการครอบงำ บิดเบือนให้กลายเป็นเรื่องโหราศาสตร์
แบบจักรราศี(Horoscope)และเมื่อพูดถึงเรื่องดวงดาว คริสเตียนกลับรีบปฏิเสธ
เพราะความกลัวว่าจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น แม้แต่ในสมัยที่พระเยซูคริสต์ประสูติ
พวกโหราจารย์ยังดูการเคลื่อนดวงดาว จนได้มาพบกับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย
(มธ.2)
เราต้องทำการศึกษาเรื่องหมายสำคัญต่างๆเช่น
ดวงจันทร์และดวงดาวแบบ"โหราศาสตร์" (Astrology) ไม่ใช่แบบ "จักรราศี" (Horoscope) ไม่ใช่เพื่อการดูดวงชะตาแบบหมอดู
คำว่า "จักรราศี" (Zodiac- มาจากภาษากรีก คือ ζῳδιακός หมายถึง "สัตว์") เป็นแถบสมมติบนท้องฟ้าที่มีขอบเขตประมาณ 8 องศา ค่อนไปทางเหนือและใต้ของแนวเส้นทางที่ดวงอาทิตย์ปรากฏเคลื่อนผ่านระบบสุริยะ ซึ่งครอบคลุมแนวเส้นทางปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลอีก 7 ดวง
คำว่า
"โหราศาสตร์" หรือ "ดาราศาสตร์" ตรงกับภาษากรีกว่า Astrology เป็นคำศัพท์เฉพาะมาจากคำว่า
Astro ซึ่งแปลว่า ดวงดาว กับอีกคำหนึ่งว่า Logic ซึ่งแปลว่า ตรรกศาสตร์ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น Astrology แปลว่า "ศาสตร์ที่ว่าด้วยดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์"
สำหรับคริสเตียนเราไม่มีโชคชะตาราศี ไม่ต้องถือฤกษ์ยาม
อัครทูตเปาโลได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ในพระธรรม โคโลสี 2:15-18
15
พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น
16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่ม ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันสะบาโต
17 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์
18 อย่าให้ผู้ใดตัดสิทธิ์ของท่าน ด้วยเขาทำทีถ่อมตัวลง กราบไหว้ทูตสวรรค์ ใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนัง
ฉะนั้นในวันนี้เรามีการประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม
และไม่ใช่จุดยืนในความเชื่อที่จะต้องมากถกเถียงกัน สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นเงาที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์
และเราต้องเข้าใจในเรื่องวาระเวลาและเทศกาลต่างๆเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำหนดให้ไว้เพื่อให้คนของพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ตรัสเรื่องโหราศาสตร์ไว้ว่า
ลก.21:25 "จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์ เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น
หากเราศึกษาในพระคัมภีร์จะพบว่ามีการอ้างอิงถึงเรื่องโหราศาตร์ เพราะเป็นที่ยอมรับกันในสมัยพระคัมภีร์
แต่ในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงเรื่องโหราศาสตร์ กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องของศาสตร์ลึกลับ แต่เรื่องโหราศาตร์แบบพระคัมภีร์เป็นเรื่องจริงแท้ในจิตวิญญาณ(Real spirit) ไม่ใช่ริว จิตสัมผัส
เมื่อเราศึกษาเรื่องโหราศาตร์ จะเห็นได้ว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อโลกอย่างมาก
ในภาคปฏิบัติเราสามารถทราบถึงการเริ่มต้นเดือนใหม่ โดยสังเกตจากดวงจันทร์แบบคนยิว การขึ้นต้นเดือนใหม่จะเห็นดวงจันทร์ปรากฎบนท้องฟ้าเรียกว่า "New Moon" คนยิวจะมีการฉลองวันต้นเดือน(Rosh Chodesh)
การอธิษฐานในวันต้นเดือน(Rosh Chodesh) เป็นการอธิษฐานป่าวประกาศเพื่อให้พระเจ้านำการปลดปล่อยพระพรในเดือนนั้น นอกจากนี้เรายังมีการถวายผลแรก มีทั้งถวายผลแรกของเวลา เป็นการชำระชีวิตก่อนในต้นเดือนเพื่อให้พระเจ้าอวยพระพรตลอดทั้งเดือน และถวายสิ่งที่เป็นรายได้ของเราในเดือนนั้นให้กับพระเจ้า เป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติพระเจ้า (ลนต.23:10-11)
10 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้ามาถึงแผ่นดินซึ่งเราให้เจ้า และเกี่ยวพืชผลของแผ่นดินนั้น เจ้าจงเอาฟ่อนข้าวที่เกี่ยวในรุ่นแรกนำไปให้ปุโรหิต
11 และปุโรหิตจะนำฟ่อนข้าวนั้น ทำพิธียื่นถวายแด่พระเจ้า เพื่อเจ้าจะเป็นที่โปรดปราน รุ่งขึ้นหลังวันสะบาโตปุโรหิตจะทำพิธียื่นถวาย
ในแต่ละเดือนจะมีคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือน ซึ่งผมได้แปลมาจากข้อมูลของ http://www.arise5.com/#/resources โดย
Ron Sawka
ทั้งนี้เป็นแนวทางในการอธิษฐาน แต่เราเองสามารถปรับเปลี่ยนโดยประยุกต์ตามความเหมาะสม โดยการแสวงหาพระเจ้าอย่างเจาะจงเป็นส่วนบุคคล
มีคำถามว่า ทำไมในแต่ละเดือนมีการนับราศีในแต่ละเดือน เช่น
ในเดือนอาดาร์ที่ผ่านมา เป็นเดือนแห่ง“ราศีมีน” หมายถึง “ปลา กลุ่มดาวปลา” มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า "The month of Pisces, the fishes." เพราะการนับราศีแห่งดวงดาว ชาวยิวได้รับอิทธิพลจากกรีก และโรมัน ซึ่งต่อมาปฏิทินตามสากลก็ตั้งชื่อตามราศีของโรมัน
ในบริบทของเนื้อหาของคำอธิษฐานเป็นการแปลความหมายเชิงสัญลักษณ์ใช้หลักการเดียวกับการตีความหมายในความฝัน โดยเทียบจากพระคัมภีร์ แปลความว่า เดือนประจำราศีมีน- คือปลา การพบสิ่งจำเป็นในโลกที่ซ่อนอยู่ (เช่น เหรียญทองในปากปลา มธ. 17:24-28)
ให้ความหมายเชิงประยุกต์คือ เรามีอัตลักษณ์แต่ละที่เราอาจจะมองไม่เห็น เราอธิษฐานแสวงหาหาอัตลักษณ์ฝ่ายวิญญาณของเราให้เจอ เหมือนหาเหรียญที่อยู่ในปากปลา
สิ่งเหล่านี้เป็นการเผยพระวจนะเป็นความหมายเชิงการประยุกต์
เพื่อให้กลับไปสู่การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้นำไปสู่การเชื่อแบบราศีที่ทำให้หลงและออกจากหลักการพระคัมภีร์
ผมขอเสนอการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนี้
เอกสารคำอธิษฐานอวยพรประจำเดือนเป็นคู่มือสำหรับใช้ประกอบการอธิษฐานเพื่อป่าวประกาศพระพรประจำเดือน เราสามารถประยุกต์ตามความเหมาะสมและสิ่งที่เราจะต้องทำคือการอุทิศเวลาของเราซึ่งเป็นผลแรกเพื่อแสวงหาพระเจ้าส่วนตัว
เราต้องทำความเข้าใจในเรื่องของวัฒนธรรมของคนยิว ในเรื่องการศึกษาความหมายเชิงการเผยพระววจนะบางสิ่งเป็นภาษาสัญลักษณ์(Type) ต้องมีการแปลความเช่นการนับราศีตามกลุ่มดาวเป็นเรื่องการเคลื่อนของเวลา, ตัวอักษรประจำในแต่ละเดือนอักษรฮีบรูให้ความหมายเป็นภาพสัญลักษณ์ ,อวัยวะของร่างกายเป็นสัญลักษณ์ประจำเดือนที่เล็งถึงการดำเนินชีวิตให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ
เราต้องทำความเข้าใจเรื่องการสำแดงของพระเจ้า พระเจ้าสามารถใช้สิ่งต่างๆเพื่อการสำแดงเป็นการเผยพระวจนะ เช่น ดวงดาว การสำแดงผ่านทางความฝัน การตีความหมายเป็นการสำแดงจากพระเจ้า บางครั้งอาจจะไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์เพราะพระคัมภีร์เป็นส่วนหนึ่งในการสำแดงของพระเจ้าไม่ได้ทั้งหมด แต่พระคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการวัด(canon) หากมีสิ่งใดที่ผิดหลักการพระคัมภีร์สิ่งนั้นไม่ถูกต้อง
เราต้องทำการศึกษาในเรื่องการสำแดงของพระเจ้า โดยกลับไปทบทวนสัมมนาต่างๆที่เคยเรียนมาเช่น มิติแห่งการสำแดง(Revelation realms) สัมมนาอิสสาคาร์ ต่างๆ
ผมขอสรุปไว้ตอนท้ายบทความว่า เราต้องทำความเข้าใจเรื่องโหราศาสตร์ แต่เราไม่ได้นำสิ่งนี้มาติดยึด และต้องระมัดระวังถูกล่อลวงจากศาสตร์ลึกลับ
เช่น พวกคับบาล่าห์ (Kabbala) มีรากฐานมาจากศัพท์ภาษาฮีบรูว่า 'Qibel' ซึ่งหมายความถึง
"การได้รับสืบทอดผ่านการบอกเล่าปากต่อปากมายาวนาน"
ซึ่งสิ่งที่ได้รับสืบทอดมานั้นหมายถึง
คำบอกเล่าเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับหรือความรู้อันลับเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ
ปริศนาแห่งธรรมชาติอันมีความสำคัญยิ่ง
หรือเรื่องการนับดูดวงดาวตามแบบโชคชะตาราศี
เราต้องระมัดระวังเพราะสิ่งลี้ลับ พระเจ้าจะปิดซ่อนไว้ และเปิดเผยให้เรารู้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ผีวิญญาณชั่วมักจะนำเรื่องสิ่งลี้ลับมาเปิดเผยเพื่อล่อลวงเราให้หลงไปจากทางของพระเจ้า ไปนมัสการพวกมัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือการศึกษาพระคัมภีร์และการรับการปกคลุมชีวิตในฝ่ายวิญญาณ
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ฉธบ. 29:29 "สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ เพื่อเราจะกระทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของกฎหมายนี้
ฉธบ.4:19 และจงระวังให้ดีเกรงว่าพวกท่านเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้าและเมื่อท่านเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว คือบริวารของท้องฟ้า พวกท่านจะถูกเหนี่ยวรั้งให้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพวกท่านทรงแบ่งแก่ชนชาติทั้งหลายทั่วใต้ฟ้าทั้งสิ้น
2 พกษ.23:5 และพระองค์ทรงกำจัดปฏิมากรปุโรหิต ผู้ซึ่งบรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ ได้สถาปนาให้เผาเครื่องหอมในปูชนียสถานสูงที่หัวเมืองแห่งยูดาห์ และรอบๆ กรุงเยรูซาเล็มทั้งคนเหล่านั้นที่เผาเครื่องหอมถวายพระบาอัล ถวายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และหมู่ดาวประจำราศี และบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์