แนวทางการตีความพันธสัญญาเดิม โดย Philip Kavilar (Haiyong)
เวลาเพื่อนๆอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
เพื่อนๆก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เป็นหนังสือที่อ่านได้ไม่ยากนัก
แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อเพื่อนๆอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เพื่อนๆก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่า
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมดูเหมือนจะอ่านยาก บางครั้งบางคราว
พฤติกรรมของพระเจ้าในภาคพันธสัญญาเดิมก็ดูแปลกๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคริสตจักรยุคแรก
พระคัมภีร์ที่พวกเขามีอยู่ ก็มีเพียงภาคพันธสัญญาเดิม ผมเคยคุยกับนักวิชาการพระคัมภีร์ท่านหนึ่ง
นักวิชาการท่านนั้นถามผมว่า “พระคัมภีร์กับคริสตจักร
อันไหนเกิดก่อนกัน?” เนื่องจากผมต้องการคำถามที่ชัดเจนขึ้น
ผมจึงถามนักวิชาการท่านนั้นว่า “พระคัมภีร์ในที่นี้หมายถึง
ภาคพันธสัญญาเดิมอย่างเดียวหรือภาคพันธสัญญาใหม่ด้วย?” นักวิชาการท่านนั้นตอบว่า
“พระคัมภีร์ทั้งเล่ม”
เมื่อทราบคำถามอย่างชัดเจนแล้ว ผมจึงตอบว่า “คริสตจักร
เกิดก่อน พระคัมภีร์” เหตุที่ผมตอบเช่นนี้
เนื่องจากผมมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ว่า ในคริสตจักรยุคแรก
พระคัมภีร์ที่พวกเขาใช้ ก็มีแต่ภาคพันธสัญญาเดิม อาจจะมีบ้างที่พวกเขาใช้จดหมายฝากของอัครทูตในภาคพันธสัญญาใหม่
แต่ในช่วง 300 ปีแรกของคริสตจักร ก็ยังไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่า
จดหมายฝากอันไหนที่ควรนับว่าเป็นพระคัมภีร์ จนกระทั่งปลายศตวรรษที่4 หลังจากที่กษัตริย์คอนสแตนตินได้ปฏิรูปศาสนา
จึงได้มีการกำหนดชัดเจนว่า งานเขียนอันไหนของอัครทูตที่ควรอยู่ในสารบบพระคัมภีร์
กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ภายหลังจากที่คริสตจักรถือกำเนิดขึ้นมา 400 ปี
ภาคพันธสัญญาใหม่จึงค่อยถูกผนวกเข้ากับพระคัมภีร์
แม้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมจะยากในการตีความ
แต่คริสตจักรในช่วงยุคแรก ก็ใช้พระคัมภีร์แต่ภาคพันธสัญญาเดิม จากการค้นคว้าของผม
ผมได้พบว่า แนวทางการตีความภาคพันธสัญญาเดิมสามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบ
หวังว่าเมื่อเพื่อนๆได้อ่านบทความนี้
เพื่อนๆจะเข้าใจแนวทางการตีความภาคพันธสัญญาเดิมได้มากขึ้น
รูปแบบที่1:
การตีความเพื่อดึงเอาข้อคิด
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมมีเรื่องราวของประวัติศาสตร์มากมาย
แนวทางแรกในการตีความภาคพันธสัญญาเดิมก็คือ
การอ่านประวัติศาสตร์ในนั้นเพื่อดึงเอาข้อคิด การตีความเพื่อหาข้อคิด
เป็นการตีความแบบพื้นฐาน เป็นวิธีการตีความที่ไม่ยากนัก ซึ่งในจดหมาย (1 โครินธ์)
อัครทูตเปาโลก็ใช้การตีความแบบนี้ เพื่อให้ข้อคิดและข้อเตือนใจแก่ผู้อ่าน
(1
โครินธ์ 10:5-7) แต่ถึงกระนั้นก็ดีมีคนส่วนมากในพวกนั้นที่พระเจ้าไม่พอพระทัย
เราทราบได้จากที่เขาล้มตายกันเกลื่อนกลาดในถิ่นทุรกันดาร
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจเราไม่ให้ปรารถนาสิ่งชั่วเหมือนเขาทั้งหลาย
พวกท่านอย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคนในพวกเขาได้ทำ
ดังที่มีเขียนไว้ว่า “ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม
แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกสนาน”
จากจดหมาย (1 โครินธ์)
เปาโลได้ยกเอาประวัติศาสตร์ของอิสราเอลช่วงถิ่นทุรกันดาร
แล้วดึงเอาข้อคิดจากประวัติศาสตร์นั้นมาเตือนสติผู้เชื่อในโครินธ์
การตีความเพื่อดึงเอาข้อคิด เป็นการตีความแบบพื้นฐาน
ซึ่งอัครทูตบางคนที่เขียนพันธสัญญาใหม่
ก็ใช้วิธีแบบนี้ตีความพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
รูปแบบที่2:
การตีความเชิงแบบเล็ง (Typology)
เนื่องจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
นอกจากจะมีเรื่องราวของประวัติศาสตร์แล้ว
ภาคพันธสัญญาเดิมยังประกอบไปด้วยเหตุการณ์ที่มีแบบเล็งถึงพระคริสต์หลายประการ
การตีความเชิงแบบเล็ง ก็คือการตีความว่า บุคคล หรือ สิ่งของ
ต่างๆที่ปรากฏในภาคพันธสัญญาเดิมนั้น เป็นเงาที่เล็งถึงพระคริสต์อย่างไร
ในจดหมายฝากฮีบรู ก็มีบางส่วนที่ตีความภาคพันธสัญญาเดิมโดยใช้การตีความเชิงแบบเล็ง
(ฮีบรู 7:1-3)
เมลคีเซเดค ผู้นี้คือกษัตริย์เมืองซาเลม
เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด
มาพบอับราฮัมขณะที่อับราฮัมกำลังกลับมาจากการรบชนะกษัตริย์ทั้งหลาย
ท่านได้อวยพรอับราฮัม อับราฮัม ก็ถวายทศางค์ จากสิ่งสารพัด
แก่เมลคีเซเดค ประการแรก นามของท่านแปลว่า กษัตริย์แห่งความชอบธรรม
และประการต่อมา ท่านเป็นกษัตริย์เมืองซาเลม
ด้วยซึ่งหมายถึงกษัตริย์แห่งสันติสุข
บิดามารดาและตระกูลของท่านไม่มีกล่าวไว้ วันเกิดวันตายก็เช่นกัน แต่เป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า
เมลคีเซเดคนั้นดำรงอยู่เป็นปุโรหิตตลอดไป
ผู้เขียนฮีบรูได้อธิบายว่า ปุโรหิตเมลคีเซเดคที่ปรากฏในภาคพันธสัญญาเดิมนั้น
เป็นแบบเล็งของพระคริสต์ นอกจากจดหมายฮีบรูแล้ว ในจดหมาย (1 โครินธ์) เปาโลก็ใช้การตีความเชิงแบบเล็งด้วย
(1
โครินธ์ 10:1-4) พี่น้องทั้งหลาย
เพราะว่าข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า
บรรพบุรุษของเราทั้งหมดได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน
ได้รับบัพติศมาในเมฆและในทะเลเข้าสนิทกับโมเสสทุกคน ได้รับประทานอาหารฝ่ายจิตวิญญาณเดียวกันทุกคน
และได้ดื่มน้ำฝ่ายจิตวิญญาณเดียวกันทุกคน
เพราะว่าพวกเขาได้ดื่มจากพระศิลาฝ่ายจิตวิญญาณที่ติดตามเขาไป พระศิลานั้นคือพระคริสต์
ในจดหมาย (1 โครินธ์)
เปาโลได้อธิบายว่า ศิลาที่โมเสสตี เพื่อให้น้ำไหลออกมานั้น
เป็นศิลาที่เล็งถึงพระคริสต์
การตีความเชิงแบบเล็งเป็นการตีความสิ่งต่างๆในภาคพันธสัญญาเดิมว่า
สิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นแบบเล็งถึงพระคริสต์อย่างไร ในแง่วิชาการ การตีความแบบนี้
อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับนัก แต่ด้านหนึ่งอัครทูตในพันธสัญญาใหม่
ก็ได้ใช้การตีความแบบนี้
แบบจำลองของอาคาร
เล็งถึงอาคารจริงฉันใด
หลายสิ่งในภาคพันธสัญญาเดิม
ก็เล็งถึงพระคริสต์ฉันนั้น
รูปแบบที่3:
การตีความเชิงอุปมา (Allegorical)
การตีความเชิงอุปมาคือการตีความว่า สิ่งต่างๆในภาคพันธสัญญาเดิมเป็นภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงสิ่งใด
ตัวอย่างหนึ่งของการตีความแบบนี้ เห็นได้จากจดหมายกาลาเทีย
(กาลาเทีย
4:22-24) เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าอับราฮัมมีบุตรสองคน
คนหนึ่งเกิดจากหญิงทาส อีกคนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นไท
บุตรที่เกิดจากหญิงทาสนั้นก็เกิดตามปกติ
แต่บุตรที่เกิดจากหญิงที่เป็นไทนั้นเกิดตามพระสัญญา
ข้อความนี้เป็นอุปไมย ผู้หญิงสองคนนั้นได้แก่พันธสัญญาสองอย่าง
คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คลอดลูกเป็นทาส คือนางฮาการ์
อัครทูตเปาโลใช้การตีความเชิงอุปมาเพื่ออธิบายว่า
นางฮาการ์สะท้อนถึงพันธสัญญาเดิมที่สื่อถึงการเป็นทาส
แต่นางซาราห์สะท้อนถึงพันธสัญญาใหม่ที่สื่อถึงการเป็นไท
การตีความเชิงอุปมามีลักษณะที่ใกล้เคียงกับการตีความเชิงแบบเล็ง การตีความเชิงแบบเล็งคือการตีความว่า
สิ่งไหนในภาคพันธสัญญาเดิมที่เล็งถึงพระคริสต์
แต่การตีความเชิงอุปมาจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเล็งถึงพระคริสต์
แต่จะเป็นการตีความที่สามารถสะท้อนถึงสิ่งอื่นได้ด้วย ในจดหมาย (1 โครินธ์)
อัครทูตเปาโลได้ยกข้อความในธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมว่า
(1
โครินธ์ 9:9-11) เพราะว่าในธรรมบัญญัติของโมเสสมีเขียนไว้ว่า
“อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่” พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ? พระองค์ตรัสเพื่อเราโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ?
ข้อความนั้นเขียนไว้เพื่อเรา
แสดงว่าคนที่ไถนาสมควรจะไถด้วยความหวัง
และคนที่นวดข้าวก็สมควรจะนวดด้วยความหวังว่าจะได้รับประโยชน์
ถ้าเราหว่านปัจจัยฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่พวกท่าน
แล้วจะมากไปหรือที่เราจะเกี่ยวปัจจัยฝ่ายกายจากท่าน
จากธรรมบัญญัติที่ว่า
“อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่”
เปาโลได้ใช้การตีความเชิงอุปมาเพื่ออธิบายว่า วัวในธรรมบัญญัติ
สะท้อนถึงผู้รับใช้ของพระเจ้า
ที่สามารถหวังการเก็บเกี่ยวปัจจัยฝ่ายกายของผู้รับการปรนนิบัติได้
สรุป
ในแวดวงวิชาการ การตีความเชิงแบบเล็งกับการตีความเชิงอุปมา
ยังไม่เป็นที่ยอมรับนัก เนื่องจากการตีความลักษณะนี้
อาจเป็นการบิดเบือนจุดประสงค์ของผู้เขียนพระคัมภีร์
คนที่เขียนพระคัมภีร์อาจมีจุดประสงค์อย่างหนึ่ง แต่คนอ่านที่ตีความแบบนี้อาจจะเข้าใจพระคัมภีร์ผิดไปจากที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร
อย่างไรก็ตาม อัครทูตในพันธสัญญาใหม่
ก็ได้ใช้การตีความเชิงแบบเล็งกับการตีความเชิงอุปมา
ในการอธิบายพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร
ก่อนหน้านี้ ในคริสตจักรแทบจะหาคริสเตียนที่เป็นชาวยิวไม่ได้เลย แต่ช่วง 60
ปีที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์ที่ว่า
ชาวยิวหลายคนได้กลับใจมาเป็นคริสเตียนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
เมื่อชาวยิวได้มาเป็นคริสเตียน พวกเขาได้นำกรอบความคิดและวัฒนธรรมแบบฮีบรูเข้ามาในคริสตจักร
ในกรอบความคิดแบบฮีบรู การอุปมานับเป็นภาษาหนึ่งของวัฒนธรรมฮีบรู ในพิธีทางศาสนาของชาวยิวหรือแม้แต่ในพิธีแต่งงาน
ชาวยิวมักจะมีสิ่งต่างๆที่เป็นภาพสัญลักษณ์หรือภาพอุปมา ประกอบพิธีอยู่เสมอ
กล่าวได้ว่า การอุปมา เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวยิว
ผมคาดการณ์ว่า ในปัจจุบัน
พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของคริสตจักร จากกรอบความคิดแบบกรีก
มาสู่กรอบความคิดแบบฮีบรู เนื่องด้วยการเปลี่ยนกระบวนทัศน์แบบนี้
คริสตจักรในอนาคตจะเปิดรับต่อวัฒนธรรมแห่งการอุปมามากขึ้น
วัฒนธรรมแห่งการอุปมานี้จะส่งผลต่อคริสตจักรในหลายๆทาง
ทั้งในแง่ของการตีความพระคัมภีร์ด้วย เป็นไปได้ว่า
ในอนาคตพวกเราจะก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของการตีความพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมด้วยการตีความแบบอุปมา
ด้านหนึ่งที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา
เพื่อที่จะสื่อสารให้เพื่อนๆ อย่าเพิ่งปิดใจต่อการตีความเชิงแบบเล็งหรือการตีความเชิงอุปมา
แม้ว่าการตีความเชิงอุปมา อาจจะดูเป็นการตีความที่เพื่อนๆไม่คุ้นเคย แต่อัครทูตบางคนที่เขียนภาคพันธสัญญาใหม่ก็ใช้วิธีการตีความแบบนี้
ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานปัญญาในการแยกแยะแก่พวกเราเถิด
หนังสือแนะนำเพิ่มเติม
พระคริสต์ผู้ครอบคลุมสรรพสิ่ง
เขียนโดย วิทเนส ลี