28 ธันวาคม 2553

The Spiritual Network เครือข่ายฝ่ายวิญญาณ

สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน ตอนนี้ท่านคงกำลัง online อยู่ในโลกของเครือข่ายสังคมใน Internet อยู่ คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ช่วงนี้กระแสของ The Social Network หรือเครือข่ายสังคมในโลกของ Internet มาแรงมากๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ต้องเฝ้าหน้าจอ Computer เพื่อปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆในเครือข่ายสังคม online จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน

ปัจจุบันต้องยอมรับว่า “เฟซบุ๊ค (facebook)” เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่ว เป็น website เครือข่ายสังคม online อันดับหนึ่งของโลก มียอดสมาชิกกว่า 500 ล้านคน โดย แต่ละคนก็เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์ชื่อ “facebook” เพื่อเปิดหน้ากระดาน หรือ “wall” ของตนเอง ใช้เป็นพื้นที่สำหรับใส่ข้อมูล ความคิดเห็น หรือรูปภาพ ที่ตนต้องการจะนำเสนอ แล้วก็เปิดให้คนอื่นๆ ที่ตนอนุญาต หรือตอบรับเป็นเพื่อนอยู่ในเครือข่าย ให้สามารถเข้ามาอ่าน เข้ามาดู และแสดงความคิดเห็นฝากถึงเจ้าของหน้ากระดานนั้นๆ ได้

นอกจากนี้ยังมี Games online อีกหลายๆเกมส์ เปิดให้สมาชิกได้เล่น สะสมคะแนน และแสดงระดับความสามารถของผู้เล่นแต่ละคนว่าเก่งกาจขนาดไหนได้ด้วย

บรรดาสมาชิกจึงใช้เฟซบุ๊คเป็นสื่อกลางในการสร้างและสานความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย การเข้าไปเขียนบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกนึกคิด ใช้แลกเปลี่ยนมุมมองความคิด ความเห็นต่อประเด็นปัญหาบ้านเมือง รวมถึงประสบการณ์ชีวิต ผ่านเรื่องเล่าของแต่ละคน

นอกจากจะได้ติดต่อและติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อนฝูงที่ตนเองรู้จักอยู่ก่อน ซึ่งช่วยรักษาสายใยความสัมพันธ์มิให้ขาดหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว บ่อยครั้ง ยังมีโอกาสได้รู้จัก เพื่อนของเพื่อนผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้เอง

ยิ่งกระแสหนังเรื่อง The Social Network ออกมายิ่งทำให้ facebook เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ Internet มากยิ่งขึ้น ในครั้งนี้เรามาทำความรู้จัก

มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ( Mark Zuckerberg )ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เฟซบุ๊ค (facebook) ซึ่งนิตยสารไทม์(Times) ได้เลือกให้เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปี 2010

หลังจากเลิกรากับแฟนสาว นามว่าเอริก้า มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ( Mark Zuckerberg ) นักศึกษาหนุ่มวัย 20 ปีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด(Harvard)ก็สวมวิญญาณแฮคเกอร์ (Hacker)

แฮคเข้าไปในทะเบียนประวัตินักศึกษาเพื่อเอาข้อมูลและรูปนักศึกษา ใน มหาวิทยาลัยมาสร้างเป็นหนังสือรุ่นออนไลน์ ในชื่อเว็บไซต์ Facemash และมีการโหวตว่าใครฮอตไม่ฮอตอีกด้วย โดยได้รับความช่วยเหลือจาก เอดัวร์โด้ เซฟริน ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ค แต่แล้ว 6 เดือนต่อมา เขาก็ถูกมหาวิทยาลัยลงโทษด้วยการระงับใช้อินเทอร์เน็ต เพราะเข้าไปแฮคข้อมูลในระบบทะเบียนมหาวิทยาลัย

หลังจากนั้น เขาก็เกิดไอเดียใหม่ เริ่มต้นคิดค้นและพัฒนาเว็บไซต์เฟซบุ๊ค (facebook)ขึ้นมา โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ดัสติน มาสโควิตช์ เพื่อนของเขาซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊คอีกคน พวกเขาได้ช่วยกันพัฒนาเฟซบุ๊คเรื่อยมา จนเห็นว่ามันต้องฮอตมาก ๆ แน่ ๆ มาร์คจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ทิ้งใบปริญญาแล้วเดินหน้าพัฒนาเฟซบุ๊คอย่างจริงจัง จนในที่สุดมันก็ทำรายได้มหาศาลให้กับเขา และผลักให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

อีกบุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในปัจจุนของโลกเครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ จูเลียน เอสแซงก์(Julian Assange)ผู้ก่อตั้งเว็บอื้อฉาว วิกิลีกส์ (WikiLeaks) ปัจจุบันมีอายุ 39 ปี ผ่านการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียหลายแห่ง มีความสนใจด้านคณิตศาสตร์และการเข้ารหัสอิเล็กทรอนิกส์ อันจะเป็นรากฐานให้กับทักษะทางคอมพิวเตอร์เป็นเลิศ จนสามารถล้วงข้อมูลได้จากทั่วทุกมุมโลกได้กลายเป็นกระแสที่ชาวโลกโจษจันกันมากที่สุด

เดอะ นิวยอร์กเกอร์(The New Yorker)นิตยสารชั้นนำของโลกเรียกเว็บไซต์นี้ว่า เครือข่ายข้อมูลข่าวกรองประชานิยม” (Populist intelligence network) นิตยสารไทม์ ยกย่องให้เป็น นักเปิดโปงสายพันธุ์ใหม่แห่งยุคดิจิตอล

กระทรวง กลาโหมและทำเนียบขาวของสหรัฐประณามว่า การเปิดเผยข้อมูลลับสุดยอดด้านข่าวกรอง เป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและบั่นทอนความมั่นคงของโลก

รัฐบาลอิหร่านเตือนมิให้หลงกลกับข้อมูลที่หลุดจากเว็บไซต์นี้ เพราะมันอาจเป็นหลุมพรางของศัตรูในซีกโลกตะวันตก

นี่คือกระแสเครือข่ายสังคมออนไลน์ทีส่งผลกระทบในโลกปัจจุบัน ที่มีทั้งผลด้านบวกและลบ ที่ต้องระมัดระวังในการใช้

มีผลสำรวจข้อมูลในสหรัฐอเมริกา โดยออกซิเจนมีเดียฯ พบว่า ร้อยละ 34 ของผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 18-34 ปี (1 ใน 3) จะทำการเข้าไปตรวจหน้าเฟซบุ๊คของตนเป็นอย่างแรก หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า เรียกว่า เข้าเฟซบุ๊คก่อนจะล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน หรือทำอื่นใด

ขณะที่ ร้อยละ 20 ยอมรับว่า แอบเข้าไปดูเฟซบุ๊คในเวลากลางคืน

ร้อยละ 26 บอกว่า ถึงกับต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อจะอ่านข้อความในเฟซบุ๊ค

นอกจากนี้ จำนวนมากถึงร้อยละ 57 ยอมรับว่า ตนเองคุยกับคนที่ออนไลน์ผ่านคอมพิวเตอร์มากกว่าพูดคุยตัวต่อตัวในโลกนอกคอมพิวเตอร์เสียอีก

ยิ่งกว่านั้น จำนวนกว่าร้อยละ 31 บอกว่า รู้สึกมั่นใจในตัวตนที่อยู่ในโลกออนไลน์ มากกว่าในชีวิตจริง

ผู้เล่น-ผู้ใช้เฟซบุ๊คบางคน ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมตนเอง เพราะติดที่จะได้จ่อมจมอยู่กับโลกเสมือนในสังคมออนไลน์ ซึ่งเขาสามารถบอกเล่าความคิด ความฝันของตัวเอง พร้อมกับเสพรับเรื่องเล่า ความคิดความฝันของผู้อื่นได้อย่างสุขกายสบายใจ

บางคน ยอมอดหลับอดนอน อาศัยงีบคาหน้าจอเฟซบุ๊ค บางคน ปิดเครื่องไปแล้ว แต่จิตใจก็ยังพะวงอยู่กับเฟซบุ๊คว่าจะมีใครมาคุย มาตอบ มาเล่าอะไรถึงตนเองบ้างไหม ลดเวลาทำกิจกรรมในสังคมจริงๆ แต่หันไปเล่นเฟซบุ๊คแทน

บางคน ถึงกับต้องซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ เพื่อให้สามารถออนไลน์เฟซบุ๊คได้ตลอดเวลา ฯลฯ

อย่าลืมว่า… “เฟซบุ๊คก็แค่เครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ ไม่ได้อยู่ที่เฟซบุ๊ค แต่อยู่ที่ตัวคนผู้ใช้

หากใช้อย่างไม่เหมาะสม จะส่งผลเสีย คือ เสียเวลา,เสียเงินโดยใช่เหตุ,เสียรู้จากการโดนหลอกลวงจากผู้หาผลประโยชน์ และจะทำให้"เสียคน" ได้ หากไม่ระวัง

ซิดนีย์ เจ.แฮร์ริส(Sydney J.Harris)นักหนังสือพิมพ์ Chicago Daily News

ได้กล่าวไว้ว่า อันตรายอันแท้จริงมิใช่อยู่ที่ ว่าคอมพิวเตอร์จะเริ่มคิดเหมือนมนุษย์ แต่อยู่ที่ว่ามนุษย์จะเริ่มคิดเหมือนคอมพิวเตอร์

มนุษย์นั้นได้ถูกสร้างโดยพระเจ้าตามพระฉายของพระองค์ (ปฐมกาล 1:27) มีความรู้สึกนึกคิดและมีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ในโลกของฝ่ายวิญญาณ รวมถึงพระเจ้าทรงเรียกมนุษย์นั้นให้มีการสามัคคีธรรมกันเป็นชุมชน คือ คริสตจักร

ดังนั้นเราในฐานะของคริสตชน คนของพระเจ้า จึงควรให้ความสำคัญในเรื่อง The Spiritual Network เครือข่ายฝ่ายวิญญาณ ต้องมีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและพี่น้องในพระกายคือ คริสตจักร

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้หนุนใจให้ร่วมสามัคคีธรรมเพื่อหนุนใจกัน

ฮีบรู 10:25 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

อย่ามัวเสียเวลามากเกินไปในเครือข่ายสังคมออนไลน์ จนไม่สนใจในเครือข่ายฝ่ายวิญญาณ

อย่าเอาแต่เล่นเกมส์ play online แต่จัดเวลา Pray online กับพระเจ้าในนิเวศอธิษฐาน

อย่าเอาแต่ Comment ใน Hi5 แต่ไม่ say Hi ทักทาย Holy spirit สนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

อย่ามัวแต่ Upload รูป post ขึ้นใน BB BlackBerry แต่ไม่อ่าน BB Bible

ผมเชื่อว่าหากคริสตจักรในสมัยแรกมีเครือข่ายทาง Internet พวกอัครทูตคงใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสื่อสารข่าวประเสริฐ หรือส่งจดหมายหนุนใจกัน ผ่านทาง Email หรือ Chat กันเพื่ออภิบาลคริสตสมาชิก พวกอัครทูตคงใช้การประชุมทางไกลผ่าน Teleconference เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการเข้าสุหนัต ในกจ.15

ดังนั้นเมื่อในปัจจุบันมีเครื่อข่ายออนไลน์ที่เป็นประโยชน์ก็ควรจะใช้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์

ปัจจุบันหากเราอยากทราบอะไรก็ไป search หาสอบถามอาจารย์ Guru คือ google

ในโลกของ Internet ก็มีทั้งคุณประโยชน์ แต่ก็อาจจะโทษมหันต์ หากใช้อย่างไม่เหมาะสม

ในเครือข่ายฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน หนุนใจว่าคริสตจักรต่างๆ น่าจะมาร่วมกันในการรับใช้พระเจ้าเพราะเราเป็นพระกายของพระคริสต์ ในพระธรรมเอเฟซัส 4:11-13 หนุนใจให้เสริมของประทานกันเพื่อทำให้คริสตจักรไปสู่ความไพบูลย์ร่วมกัน

11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์

12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น

13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

หนุนใจว่า เราควรจะสร้างเครือข่ายฝ่ายวิญญาณ เพื่อสนับสนุนกัน หากมี Facebook เราก็มี Faithbook
หนังสือแห่งความเชื่อร่วมกันคือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ เล่มเดียวกันที่เชื่อเหมือนกัน
แม้จะมีความแตกต่าง บางด้านแต่เป็นความแตกต่างที่เสริมสร้างไม่ใช่แตกต่างและแตกแยกกัน หากมีเครือข่ายทำงานร่วมกันจะได้รับผลดีมากกว่าทำคนเดียว (ปญจ.4:9-12) เหมือนเชือกสายเกลียวที่ขาดยาก

เพราะศัตรูของเราคือมาร ที่ขัดขวางงานที่เราทำ มักจะยุยงส่ง Spam mail ความคิดเหตุผลจอมปลอมทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคริสเตียน

หนุนใจพี่น้องในช่วงปีเก่าที่จะผ่านไป ปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ให้เราใช้เวลาในการแสวงหาพระเจ้าในการอธิษฐานเตรียมชีวิตเพื่อให้พระเจ้าทรงนำในปี 2011 นี้

มีสิ่งใดบ้างที่เป็นความคิดเก่าๆที่ไม่ดี ตกค้างในถังขยะความคิด (Recycle bin) ต้องลบทิ้งออกไป
ขอพระเจ้าจัดเรียง Defragment ความคิดใหม่ให้เหมาะสมตามพระทัยพระองค์
เชื่อว่าเมื่อเราแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ เราจะมีสิ่งใหม่ที่ Download มาจากพระเจ้า เมื่อเชื่อมต่อติดชีวิตเราจะเกิดผลมาก (ยน.15:4-5) ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ยอห์น 15:4-5
4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น
5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
(ลงข่าวคริสตชน 28 ธันวาคม 2010)

21 ธันวาคม 2553

"ศรัทธา"

“แรงศรัทธา พลังแห่งการสร้างสรรค์ สิ่งมหัศจรรย์บังเกิด

ลงในนิตยาสาร กล้าดี ฉบับเดือน ธันวาคม 2010

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกับบทความในคอลัมน์เรื่องจากปก (Cover Story) สำหรับในเดือนธันวาคมนี้เป็นเรื่องของ “ศรัทธา”

เดือนธันวาคมเป็นเดือนแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย เพราะมีวันสำคัญคือในวันที่ 5 ธันวาคมเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมใจแห่งความศรัทธาของคนไทยทั้งชาติ

ตลอดระยะเวลา 60 ปีกว่าที่ผ่านมา ภาพที่คนไทยทุกคนเห็นอยู่ประจำคือ พระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนชาวไทยมาตลอด ไม่ว่าหนทางที่ทรงเสด็จไปจะลำบากเท่าใด สถานที่นั้นจะเป็นสถานที่ที่ทุรกันดารเพียงใด หรือมีความอันตรายแค่ไหน แต่หากเป็นสถานที่ที่ซึ่งมีประชาชนที่ประสบความทุกข์ ความลำบาก พระองค์จะไม่ทรงรีรอที่จะเสด็จไปหาประชาชนของพระองค์ ทรงยอมเหนื่อย ยอมลำบาก เพียงเพราะต้องการให้ประชาชนของพระองค์ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องลำบาก


ประโยคสำคัญที่ยังตราตึงหัวใจคนไทยคือ เราจะครอง แผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม " เป็นประโยคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช 2489 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการไว้ว่าดังนี้ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลามากกว่า 60 ปีแล้ว ท่านทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างมิเคยเสื่อมคลาย

ทำให้ผมนึกถึงบทเพลง ของขวัญจากก้อนดิน นี้เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี

เนื้อหาของเพลงเป็นการเชิญชวนคนไทยทุกคนให้รู้รักสามัคคีกันเปรียบเสมือนก้อนดินแต่ละก้อนที่มารวมพลังกันเป็นก้อนเดียว นั่นเป็นสิ่งที่น่าประทับใจที่เห็นคนไทยรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว

“เราทุกคนก็เหมือนก้อนดินแค่ก้อนหนึ่ง เปราะบางไร้ค่า ไร้ความหมาย
อ่อนแอเหมือนโคลนไหลไปตามทางเรื่อยไป เมื่อน้ำแห้งไปก็แตกระแหง
มีพลังเพียงแค่แรงเดียวที่ยึดเรา เหนี่ยวรั้งเราไว้ให้กล้าแข็ง
รวมผู้คนมากมายให้ทรงพลังแข็งแรง รวมเม็ดดินทุกเม็ดให้เป็นแผ่นดิน

* เราก็รู้พ่อต้องเหนื่อยสักเพียงไหน ต้องลำบากใจกายไม่เคยสิ้น
เพราะพ่อรู้ พ่อคือ พลังแห่งแผ่นดิน ให้เราพออยู่พอกินกันต่อไป

* หากจะหาของขวัญให้พ่อสักกล่อง เราทั้งผองจะพร้อมกันได้ไหม
บวกกันเป็นดินเดียวให้พ่อได้สุขใจ ไม่ต้องเหนื่อยเกินไปอย่างที่เป็นมา
......ไม่ต้องเหนื่อยเกินไปอย่างที่แล้วมา

ผู้อ่านทุกท่านครับ เราในฐานะคนไทย เราควรจะร่วมใจกันรักสามัคคีกันและร่วมใจกันทำสิ่งที่ดีเพื่อถวายของขวัญให้กับในหลวงที่รักยิ่งของเรา

ผมเชื่อมั่นว่า ของขวัญที่มีคุณค่านั้น ไม่ใช่มาจากสิ่งที่มีมูลค่าราคาแพง หากแต่เป็นสิ่งที่ให้จากความรักศรัทธาร่วมใจกันเหมือนดังของขวัญจากก้อนดิน แม้จะเป็นดินที่ไร้ค่าแต่เมื่อรวมหลายก้อนจะเป็นปึกแผ่น และกลายเป็นแผ่นดินดังแผ่นดินไทยที่เราอาศัยอยู่ในทุกวันนี้

“แรงศรัทธา จึงเป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ สิ่งมหัศจรรย์บังเกิด”

มหาตมะ คานธี ผู้นำคนสำคัญในการเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพของอินเดียจากการเป็นอาณา

นิคมของสหราชอาณาจักรเคยกล่าวไว้ว่า ความเชื่อเติบโตขึ้นจากภายในแต่ละคนเป็นการส่วนตัว ไม่มีใครสามารถสร้างให้ใครได้ และไม่มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ใดๆ ในโลกนี้ที่สำเร็จได้โดยปราศจากความเชื่อ

มีการจัดอันดับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ โดยองค์กร The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เรามาดูความมหัศจรรย์เหล่านั้นที่เกิดจากความเชื่อศรัทธาด้วยกัน

(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki /เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่)

1. โคลอสเซียมแห่งโรม ประเทศอิตาลี

เป็นตึกวงกลมสร้างด้วยหินทรายและอิฐ ภายในอัฒจรรย์จุคนได้ถึง 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์และใต้ดินมีห้องไว้ขังสิงโต และนักโทษหลายร้อยห้อง สนามกีฬาแห่งนี้ สร้างขึ้นราว ค.ศ. 72 เพื่อใช้เป็นที่ต่อสู้ระหว่างนักโทษกับสิงโต บางครั้งใช้เป็นที่ประลองอาวุธและความสามารถของบรรดานักรบแห่งกรุงโรม


2.นครเปตราในจอร์แดน

เป็นเมืองที่ประกอบด้วยวิหาร หลุมศพ บันได โรงละคร ที่สร้างโดยการขุดสลักตั้งแต่ยอดเขาลงมาเป็นหลืบลดหลั่นเป็นช่อชั้นอย่างงดงาม สีของหินก็กลมกลืนกัน ตัวตึกสีเลือดนก สีกุหลาบ และสีม่วงเป็นลำดับ สร้างโดยพวกเร่รอนที่ชอบทำธุรกิจค้าขายเครื่องเทศจนร่ำรวยและมีอำนาจ ในราว 300 ปี กคศ.


3.มาชูปิกชู

ประเทศเปรู

สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2526 เพื่อเป็นที่พักอาศัยของผู้ดีชาวอินคา (คล้ายๆ กับบ้านพักตากอากาศของเศรษฐีชาวยุโรป) พื้นที่โดยส่วนใหญ่เป็นปราสาทและวัดที่สร้างเพื่อถวายแด่ เทพเจ้า ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร




4.กำแพงเมืองจีน
เป็นกำแพงอิฐยักษ์ที่สร้างขึ้นเพื่อกั้นเมือง และประเทศทั้งประเทศตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ใหญ่มหึมา มีความยาวถึง 2,400 กิโลเมตร มีป้อมตรวจการอยู่บนกำแพงมากกว่า 15,000 แห่ง เริ่มสร้างระหว่าง 243-252 ปี กคศ. ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศนับจำนวนล้านคน และมีผู้เสียชีวิตไปนับหมื่นคน เชื่อกันว่า เป็นสิ่งก่อสร้างชนิดเดียวในโลก ที่สามารถเห็นได้เมื่อมองจาก ดวงจันทร์


5.ไครส์ เดอะรีดีมเมอร์ ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล

คือ รูปปั้นพระเยซูขนาดยักษ์ ความสูงถึง 38 เมตร ประดิษฐ์สถานอยู่บนยอดเขาคอร์โควาโด แลนด์มาร์ค ความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปรอบๆ เมืองสามารถมองเห็นได้ชัดเจน









6. ชีเชน อิตซา ประเทศเม็กซิโก

เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารที่ชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้กระหายเลือด เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายัน วิหารสร้างซ้อนกันเป็นชั้น วิหารใหญ่สุดชื่อ ''มหาวิหารแห่งนักรบ'' ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูง ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดยการโยนเด็กสาวลงไปถวาย

7. ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย
เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งพระเจ้าชาห์เยฮัน สร้างเป็นสุสานฝังศพของพระนางมุมทัชมาฮาล ราชินีอันเป็นที่รักยิ่ง สร้างขึ้นริมฝั่งแม่น้ำยมนาใช้เวลาก่อสร้างถึง 23 ปี ทุกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวล ใช้เงินก่อสร้างทั้งสิ้นถึง 50 ล้านเหรียญอเมริกัน

สถานที่เหล่านี้ บางสถานที่จะสร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยจนถึงหลายพันปีที่ผ่านมา แม้ปัจจุบันนี้ จะเหลือให้เห็นเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังทำให้เรารู้สึกอัศจรรย์ในความยิ่งใหญ่ของมันได้จนถึงปัจจุบันนี้

ความยิ่งใหญ่ของสถานที่เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดของความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ ไม่ใช่มาด้วยวิทยาการ หรือสติปัญญา หรือทรัพย์สิน แต่เป็น พลังแห่งความเชื่อศรัทธา ของคนในสมัยนั้น

ความศรัทธาจึงเป็นสิ่งที่เกิดความความเชื่อและส่งผลออกมาเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ เปรียบเทียบเหมือนกับการปลูกต้นไม้ เริ่มต้นจากเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อที่หว่านไป เกิดความศรัทธาจึงกลายเป็นต้นไม้ใหญ่

ฉะนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย เมื่อทำสิ่งที่ดีบางครั้งต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีกลับมา

บางครั้งคนที่ทำสิ่งที่ดีก็เริ่มท้อแท้ เพราะบางครั้งทำดีแล้วไม่ได้ดี สังคมจะแย่เพราะคนทำดีท้อแท้ใจ

คำกล่าวที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” กลับกลายเป็น “ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป”

ฉะนั้นขอเป็นกำลังใจให้คนที่ทำความดีอย่าเพิ่งท้อใจ รักษาความเชื่อในสิ่งที่เราศรัทธาไว้ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในเรื่องของศาสนา หรือต้นแบบแห่งศรัทธาของชาวไทย คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทำสิ่งที่ดีถวายพ่อหลวงของเรา เป็นของขวัญที่มอบให้ด้วยใจศรัทธา

แม้สิ่งที่ดีที่ได้ทำ อาจจะต้องใช้เวลาที่จะเห็นผล รักษาความศรัทธาไว้ และทำในสิ่งที่เชื่อและเชื่อในสิ่งที่ทำ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นพลังที่เกิดการสร้างสรรค์ สิ่งมหัศจรรย์บังเกิดในชีวิต

มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร”

ในวันนี้ วารสารกล้าดี ขอเป็นกำลังใจให้ผู้กล้าทำดี หากท้อแต่ก็อย่าถอย ล้มลงก็จงลุกขึ้นทำต่อ เพราะถ้าไม่ท้อถอย หรือ ล้มเลิก ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งดีที่ได้ทำไป

ความศรัทธาจะเป็นสิ่งที่ยึดมั่นให้ทำต่อไป วันนี้คนที่เริ่มปลูกต้นกล้าแห่งความดี วันหนึ่งต้นกล้านี้จะเป็นกลายเป็นไม้ใหญ่ ที่ทำให้นกในอากาศอาศัยทำรัง และบรรดาสิ่งที่มีชีวิตก็ได้อาศัยร่มเงากำบังแสงแดดและสายฝน

ต้นกล้าดีที่ปลูกในวันนี้จะผลิตดอกผล คือ ความสุขใจ เพราะการให้ได้รับความสุขยิ่งกว่าการรับ

ความดีที่ให้ออกไปจะเป็นที่ประทับใจของผู้รับ และสุขใจสำหรับผู้ที่ให้

ความศรัทธาที่เราได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อ และเชื่อในสิ่งที่เราทำ จะเกิดสิ่งยิ่งใหญ่ขึ้น

นี่แหละจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่คงไว้อีกนานเท่านาน!

16 ธันวาคม 2553

Christmas เทศกาลแห่งการให้: ความสุขของผู้ให้ รอยยิ้มของผู้รับ

สวัสดีครับ เพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ในช่วงเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลแห่งการให้ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญและการ์ด ส... ส่งความสุขให้แก่กัน

ในโอกาสวันคริสตมาสที่จะมาถึงนี้ ทุกคนสามารถรับของขวัญอันล้ำค่าที่สุดที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่มนุษย์ในโลกนี้ นั่นคือ “การที่พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ได้เสด็จลงมาประสูติเป็นมนุษย์ และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่ความผิดบาปของมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และทรงประทานพระสัญญาแก่มนุษย์ทุกคนว่า บรรดาผู้ที่เชื่อวางใจในองค์พระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปีและตลอดช่วงเดือนธันวาคมที่คริสเตียนโดยทั่วไปได้จัดงานเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์

แม้ว่าเราจะไม่ทราบอย่างแท้จริงว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์ประสูติในวันที่เท่าใด แต่เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์ทรงเป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรา

ในวันนี้ผมได้นำเอาประวัติความเป็นมาและสิ่งสำคัญในวันคริสต์มาสมาเรียบเรียงเขียนให้อ่านกันครับ

Christmas เทศกาลแห่งการให้: ความสุขของผู้ให้ รอยยิ้มของผู้รับ

(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org)

คำว่า Christmas ในภาษาอังกฤษ เป็นคำประสมซึ่งหมายถึง "มิสซาของพระคริสต์" มาจากคำในภาษาอังกฤษยุคกลางว่า Christemasse และภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Cristes mæsse ซึ่งถูกพบครั้งแรกในเอกสารโบราณภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038

คำว่า "Cristes" มาจากภาษากรีก คำว่า "Christos" และ "mæsse" มาจากภษาละติน

Missa หมายถึง มิสซาอันศักดิ์สิทธิ์ ในภาษากรีกโบราณ ตัวอักษร X เป็นตัวอักษรแรกในคำว่า "คริสต์" จากการที่มันมีลักษณะเหมือนกับอักษรโมัน X จึงได้ถูกใช้เพื่อย่อคำว่า "คริสต์" นับตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรษที่ 16 ด้วยเหตุนี้ ในบางครั้ง X'mas จึงใช้เพื่อย่อคำว่า "คริสต์มาส"


ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งโรม ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริย เทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

คำอวยพร

คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas (แมรี่ คริสต์มาส) สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ

เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

ต้นคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า "ต้นกุมารพระคริสต์" ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

การร้องเพลงแครอลิ่ง (Caroling)

ในช่วงศตวรรษแรกของคริสตศาสนา การร้องเพลงแครอลิ่ง (Caroling) คือวัฒนธรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุด ที่ยังคงมีอยู่ทั่วโลก
คำว่า แครอลิ่ง เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก หมายถึง ร้องเพลงวนหลายๆ รอบ หรือเต้นระบำด้วยความชื่นชมยินดี ในสมัยก่อนที่มีหลายเทศกาลที่ร้องเพลงแครอลิ่ง แต่เทศกาลที่คนรู้จักกันที่สุดก็คงจะเป็น คริสต์มาสแครอลิ่งซึ่งเนื้อหาของเพลงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการประสูติของพระกุมารเยซู


ซานตาคลอส

นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะมาวันหนึ่ง เป็นวันคริตส์มาสเซนต์จึงเดินทางแจกของขวัญให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข

แม้ว่าซานตาคอสจะทำให้เทศกาลวันคริสต์มาสมีสีสันและความสุขมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่คริสตชนให้ความสำคัญคือ พระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์เป็นของขวัญให้กับเรา เพื่อเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระองค์

ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

การเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ของผู้ให้ ส่งผลที่ใหญ่ยิ่งถึงผู้รับ

(แหล่งที่มา : หนังสือชื่อ 20th Century Thought that Shaped the Church, หน้า 106)


คอร์รี่ เทน บูม (Corrie Ten Boom) นักศาสนศาสตร์และนักเขียน ชาวเนเธอร์แลนด์ กล่าวไว้อย่างน่าฟัง และทำให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงในเทศกาลคริสต์มาส ดังนี้

ใครจะสามารถเพิ่มสิ่งใดเข้าไปในเทศกาลคริสต์มาสได้อีกเล่า

แรงจูงใจที่ดีเลิศ คือ พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก

ของขวัญที่ดีเลิศ คือ พระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์

เงื่อนไขเดียวที่จำเป็น คือ การเชื่อวางใจในพระองค์


รางวัลแห่งการเชื่อวางใจนั้น คือ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์


เทศกาลคริสต์จึงเป็นเทศกาลแห่งการให้ ที่เป็นความสุขของผู้ให้ ทำให้เกิดรอยยิ้มของผู้รับ

เพราะพระเยซูคริสต์สอนเราทั้งหลายไว้ว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

กิจการของอัครทูต 20:35 ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

เมื่อเรารับของขวัญคือชีวิตนิรันดร์ จากพระเจ้าอย่าลืมมอบต่อให้กับคนที่เรารัก และเมื่อเราได้รับข่าวประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ คือ ข่าวประเสริฐเรื่องความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ อย่าลืมส่งต่อข้อความนี้ไปถึงทุกคนด้วย ส..ส ส่งความสุข วันคริสต์มาส

Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส!