03 กรกฎาคม 2555

ฟ้าหลังฝนของคนกลับใจ

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ในช่วงเดือนก.ค.นี้เป็นช่วงฤดูฝน หลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในแถบกรุงเทพฯและปริมณฑล เพราะเมื่อฝนตก รถจะติด มันเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาช้านาน  แต่หากเป็นผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดในพื้นที่ชนบท สังคมเกษตรกรรม คนเหล่านั้นจะชอบฝนเพราะฝนตกนำมาซึ่งความชุ่มชื้นและความสุข เพราะจะทำให้พืชผลจากดินได้เกิดดอกออกผล แม้ก่อนฝนตกนั้นเราอาจจะมีความรู้สึกไม่สบายใจ มองดูท้องฟ้าแล้วมีเมฆดำ ดูช่างหม่นหมอง และเมื่อฝนตกลงมาอาจจะเกิดปัญหารถติด ถนนหนทางเฉอะแฉะ แต่สิ่งที่มองเห็นรู้สึกสัมผัสได้คือท้องฟ้าที่สดใสมาแทนที่ รวมถึงบางครั้งเกิดสายรุ้งสีสวย ทำให้นึกถึงพันธสัญญาของพระเจ้า(ปฐก.9)
หากเปรียบเทียบสถานการณ์ชีวิตของเรา ก็มีฤดูกาลที่แตกต่างกันไป ฤดูกาลเก่าผ่านไปฤดูกาลใหม่เปลี่ยนเข้ามา สำหรับผมแล้ว  หลายครั้งเราก็มีความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ทำผิดพลาดทำให้ชีวิตหม่นหมองไปดังเมฆฝน แต่เมื่อเรากลับใจใหม่สารภาพบาป 

เมฆฝนที่เคลื่อนผ่านไป ฟ้าใสถูกเปิดออก การบอกสารภาพบาปต่อพระเจ้า เป็นการเปิดเผยและเปิดโอกาสให้พระคุณของพระองค์มาเยียวยารักษาใจ ไปสู่เสรีภาพใหม่ในความโปรดปรานพระเจ้า สิ่งเหล่านี้คือ "ฟ้าหลังฝนของคนกลับใจ" ความชื่นชมยินดีแทนที่ความขมขื่นใจ  วันนี้ผมนึกถึงคริสตจักรในเมืองโครินธ์ พวกเขาได้รับพระพรจากพระเจ้ามาถึงชีวิตเมื่อพวกเขากลับใจใหม่
เมืองโครินธ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นอาคายา ปัจจุบันอยู่ในประเทศกรีซ เป็นเมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งการค้า ทำให้มีผู้คนมากมายพลุกพล่าน และเต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือยและอบายมุข อัครฑูตเปาโลเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูในช่วงที่ออกเดินทางไกลครั้งที่ 2 แน่นอนว่าท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความผิดบาป ปัญหาต่างๆก็ได้รุมเร้าเข้ามายังคริสตจักรของพระเจ้าด้วย ทำให้อัครทูตเปาโลต้องเขียนจดหมายฉบับนี้มาจากเมืองเอเฟซัส เพื่อว่ากล่าว ตักเตือน และแนะนำแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้องให้กับผู้เชื่อที่เมืองโครินธ์ ซึ่งเราคงจะเห็นด้วยว่า สังคมที่แวดล้อมคริสตจักรในสมัยนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหาความผิดบาปเช่นกัน พระธรรม 1 โครินธ์จึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อคริสตจักร เป็นเหมือนเส้นมาตรฐานที่คริสตจักรจะใช้เป็นแนวทาง เป็นข้อตัดสิน เป็นบรรทัดฐาน สำหรับการก้าวเดินไปของคริสตจักร และในพระธรรม 2 โครินธ์ ยังคงเป็นไปในแนวทางของการว่ากล่าว ตักเตือน อันเนื่องมาจากคำสอนผิด และการดำเนินชีวิตอย่างไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้น  ในวันนี้ผมขอแบ่งปันจากพระธรรม 2โครินธ์ 7:1-16
พระธรรมตอนนี้ อัครทูตเปาโลวิงวอนผู้เชื่อชาวเมืองโครินธ์ให้เปิดใจรับท่าน และรับฟังคำตักเตือนของท่าน โดยชำระชีวิตของตนให้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินทุกอย่างด้วยความยำเกรงพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการปรักปรำ แต่เป็นการตักเตือนด้วยหัวใจแห่งความรักและปรารถนาดี อย่างแท้จริง สะท้อนผ่านท่าทีของท่านคือ
 
ปรารถนาให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์(ข้อ 1,2ก)อัครทูตเปาโลกล่าวแก่ชาวโครินธ์ว่า “ดูก่อนท่านที่รัก เมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทิน ทุกอย่างของเนื้อหนังและวิญญาณจิต และจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วนโดยความเกรงกลัวพระเจ้า” ความรักที่ท่านมีต่อผู้เชื่อชาวโครินธ์ ทำให้ท่านปรารถนาจะเห็นชีวิตของเขาเหล่านั้นบริสุทธิ์ และไม่ถูกล่อลวงให้หลงเจิ่นไปในความผิดบาป เพราะท่านทราบว่าคนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า (1คร.6:9) คำตักเตือนที่มาจากท่าทีแห่งความรัก จึงเป็นคำเตือนที่มีเจตนาให้ผู้ถูกเตือนมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เพื่อจะมีสวัสดิภาพในพระเจ้า เหมือนดังที่พระเจ้าทรงตีสอนลูกของพระองค์ เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้เข้าส่วนในวิสุทธิสภาพของพระองค์ (ฮบ.12:10)

รารถนาให้กลับใจ(ข้อ 3-7)
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้มิใช่เพื่อจะปรักปรำท่าน...” คำว่า “ปรักปรำ” หมายถึง การกล่าวโทษ การตัดสินว่าผิดเพื่อให้ได้รับโทษ แต่การตักเตือนด้วยความรักของเปาโล มีเพื่อให้ผู้ถูกเตือนรอดพ้นจากการพิพากษาโทษผ่านการกลับใจใหม่ แม้คำเตือนนั้นอาจทำให้ผู้ถูกเตือนรู้สึกเจ็บปวดแต่ก็ย่อมดีกว่าการไม่กลับใจจากบาปจนนำไปสู่ความพินาศ พระวจนะ ยังได้สั่งให้เราตักเตือนซึ่งกันและกันทุกๆ วัน เพื่อไม่ให้ใจเราแข็งกระด้างไปเพราะเล่ห์กลของบาป (ฮบ.3:13)

ไม่มุ่งหวังผลประโยชน์(ข้อ 2ข)
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ขอรับเราเถิด เรามิได้ทำร้ายผู้ใด เรามิได้ชวนผู้ใดให้ทำชั่ว เรามิได้เอาเปรียบผู้ใดเลย” สะท้อนว่า การตักเตือนด้วยความรักของท่านนั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะ เอาเปรียบ ฉ้อโกง หรือทำให้ผู้ใดได้รับความเสียหาย ท่านมิได้มุ่งหวังผลประโยชน์แก่ตัวท่านเอง ตรงกันข้าม พระวจนะได้บรรยายถึงความยากลำบากในชีวิตของเปาโล (ข้อ 5) สะท้อนว่าท่านจะสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น และการกลับใจใหม่ของผู้ที่ถูกเตือนต่างหาก ที่เป็นความชื่นชมยินดีของท่าน (ข้อ6-7)
อัครทูตเปาโลกล่าวชื่นชมผู้เชื่อชาวโครินธ์ ที่ได้รับฟังคำตักเตือนของท่านและกลับใจใหม่ แม้ว่าการตักเตือนนั้นจะทำให้ทั้งผู้เตือนและผู้ที่ถูกเตือนรู้สึกเสียใจ แต่หากเป็นความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ย่อมนำไปสู่การกลับใจใหม่และมีความชื่นชมยินดีในภายหลัง ในทางตรงข้าม อัครทูตเปาโล กล่าวว่า หากเป็นความเสียใจอย่างโลก ย่อมนำไปถึงความตาย จากพระธรรมตอนนี้ เราเห็นถึงทางเลือก 2 ทาง เพื่อจะพิจารณาได้ว่า เราควรจะตอบสนองอย่างไรเมื่อถูกตักเตือน นั่นคือ

1.ทางพระเจ้า:นำไปถึงความรอด (ข้อ 10-11)
พระวจนะกล่าวว่า “เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ...” สะท้อนว่า ความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ต้องนำไปสู่การกลับใจใหม่ โดยแสดงออกเป็นการกระตือรือร้น และขวนขวายที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเองใหม่ รู้สึกร้อนใจและเกรงกลัวต่อความผิดบาปจนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับใจใหม่ เปลี่ยนแปลงชีวิต และยินดีรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่ผิดของตนโดยไม่พยายามหลบเลี่ยงหรือแก้ตัว พระวจนะกล่าวว่า บุคคลที่มีท่าทีเช่นนี้ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดต่อพระเจ้า (ข้อ 11) และโดยพระคุณของพระองค์ จึงทรงยกโทษให้กับบุคคลที่สารภาพความผิดบาปและกลับใจใหม่อย่างแท้จริง พร้อมทั้งชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น (1 ยน.1:9) ความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าจึงเป็นหนทางที่นำเราไปถึงความรอด คือรอดพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า

2.ทางโลก:นำไปถึงความตาย(ข้อ 10)
พระวจนะกล่าวว่า “...แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้น ย่อมนำไปถึงความตาย” ความเสียใจอย่างโลก คือความเสียใจที่ไม่ได้เกิดจากมุมมองเดียวกันกับพระเจ้า และไม่ได้นำเราให้มาถึงพระคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็นความเสียใจที่เกิดจากท่าทีที่ไม่ถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดการกลับใจใหม่ เช่น เสียใจเพราะถูกจับได้ เพราะรู้สึกเสียหน้าเมื่อถูกตักเตือน หรือเพราะผลของความผิดบาปนั้นนำมาซึ่งความสูญเสียและความยากลำบากในชีวิต ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราเข็ดขยาดเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้เป็นแรงจูงใจที่เพียงพอที่เราจะสลัดความบาปนั้นๆ ไปได้ บางคนปรักปรำตนเอง จนไม่ได้กลับมารับพระคุณความรักของพระเจ้า ไม่ได้รับการชำระ และเริ่มต้นใหม่กับพระองค์ ทำให้พลาดจากน้ำพระทัยอันดีงามของพระเจ้า ผลปลายทางจึงนำไปสู่ความตาย อันหมายถึงความตายทั้งทางฝ่ายกายภาพและฝ่ายจิตวิญญาณ ดังเช่นตัวอย่างจากชีวิตของยูดาส (มธ.27:3-5)เสียใจแต่ไม่กลับใจ ความบาปจึงปรักปรำนำไปสู่ความตายโดยการผูกคอตาย
อัครทูตเปาโลกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของท่านในการเขียนจดหมายถึงผู้เชื่อชาวโครินธ์ คือเพื่อให้พวกเขาได้เห็นว่า การเอาใจใส่ในคำตักเตือน และความกระตือรือร้นในการกลับใจใหม่ของพวกเขานั้น เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี และได้ทวีความรักและความวางใจ เปรียบเสมือน ฟ้าหลังฝนที่สดใสยิ่งขึ้นของผู้ที่กลับใจ เมื่อเมฆดำพัดผ่านไป ชีวิตของผู้ที่กลับใจใหม่ก็เป็นเช่นนั้น เราสามารถเห็นถึงผลดีที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้เชื่อที่กลับใจใหม่ได้ มีผล 2สิ่งคือ

1.ชีวิตเป็นที่หนุนใจผู้อื่น(ข้อ 13,15)
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “โดยเหตุนี้เราจึงมีความชูใจ นอกจากความชูใจเรานั้น เรามีความชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้นเพราะความยินดีของทิตัส ในการที่พวกท่านได้กระทำให้จิตใจของทิตัสสงบ” คำว่า “สงบ” แปลตามรากศัพท์ภาษากรีกได้ว่า พักผ่อน วางใจ ทำให้สดชื่น ทำให้พอใจ ก่อนหน้านี้ ทิตัสอาจมีความกังวลใจและร้อนใจในปัญหาความผิดบาปของคริสเตียนชาวโครินธ์ แต่เมื่อเขาเหล่านั้นตอบสนองด้วยการกลับใจใหม่ พระวจนะกล่าวว่า “ด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่น” (ข้อ 15) จิตใจของทิตัสจึงคลายกังวล กลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี เราเห็นได้ว่า ชีวิตที่กลับใจใหม่นอกจากจะทำให้บุคลใดบุคลหนึ่งมีความชื่นใจแล้ว ความชื่นชมยินดีนั้นยังสามารถส่งผ่านไปยังบุคคลอื่นๆ ต่อไปได้ด้วย ชุมชนที่ผู้เชื่อต่างรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ โดยการกลับใจใหม่เสมอ ย่อมเกิดการหนุนจิตชูใจกันในความเชื่อ และจะสามารถพากันไปสู่ความไพบูลย์ในพระคริสต์ได้อย่างแท้จริง

2.ชีวิตเป็นที่ไว้วางใจได้(ข้อ 14,16)
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี เพราะข้าพเจ้าไว้ใจท่านได้ทุกอย่าง” คำว่า “ไว้ใจ” ตามรากศัพท์ภาษากรีกหมายถึง กล้าหาญ มั่นใจ มีความหวังใจ สะท้อนว่า ชีวิตของ ผู้เชื่อที่กลับใจใหม่ ย่อมสามารถเป็นที่ไว้วางใจ เป็นที่หวังใจได้ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังกล้าที่จะรับรองชีวิตของผู้เชื่อชาว โครินธ์ ท่านกล่าวว่า “ที่ข้าพเจ้าได้อวดเรื่องพวกท่านแก่ทิตัส ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องละอายใจเลย...” ท่านทราบว่าเมื่อหวังแล้วจะไม่ผิดหวัง ชีวิตของคนที่กลับใจใหม่ คือชีวิตที่ถูกพิสูจน์อยู่เสมอ เปรียบเสมือนแร่ทองคำที่ถูกถลุง การกลับใจใหม่ เป็นอาการที่ยอมให้ผู้ถลุงช้อนเอาขี้แร่ออก จนเหลือแต่ทองคำบริสุทธิ์ได้ในที่สุด เมื่อชีวิตของเราถูกพิสูจน์แล้ว เราก็จะสามารถเป็นที่ไว้วางใจของพระเจ้าและของมนุษย์ทั้งปวงได้ และเป็นพระพรต่อผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับฤดูกาลต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ทำให้เป็นสัญญาณเตือนใจเราให้เรียนรู้เสมอ หากเราเฝ้าสังเกตและเคลื่อนตามการทรงนำของพระองค์

สุดท้ายผมของฝากบทกลอน "ฟ้าหลังฝนของคนกลับใจ" แต่งโดย DinDee A Kesornmala (สุพจน์ เกษรมาลา)

ใต้...เมฆดำ ปกคลุมฟ้า ไม่ช้านาน
ฟ้า...สว่าง เงาเคลื่อนผ่าน ตะวันฉาย
หลัง...คลื่นลม โถมซัด กวาดทำลาย
ฝน...กระหน่ำ เริ่มเคลื่อนคลาย ให้ฉ่ำเย็น

ของ...สิ่งใด กระหาย เป็นของข้า
คน...ชั่วช้า อ้างศรัทธา ซ่อนบาปเร้น
กลับ...เข้าสู่ พระเมตตา ผู้ทรงเป็น
ใจ...ได้เห็น ทางใหม่ ในพระองค์

ความ...อดีต ผิดพลาดไป ได้เคยก่อ
บาป...ซุกซ่อน ไม่รั้งรอ ให้ลุ่มหลง
ลบ...มันทิ้ง ไม่ปล่อยให้ ใจพะวง
ไป...ให้ห่าง จากแวดวง วิถีมาร

ประกาศ...ศึก ลุกขึ้นสู้ ด้วยแรงกล้า
ชัย...ชนะ ด้วยศรัทธา ด้วยจิตหาญ
เหนือ...ความบาป ที่ซ่อนไว้ มาเนิ่นนาน
มาร...จงรู้ นี่คือวัน แห่งเสรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น