14 กรกฎาคม 2553

ขายตรง SMEs (อย่า) “ดีแตก”

(ลงข่าวคริสตชน วันที่ 15 ก.ค.2010)



สวัสดีครับพี่น้องที่รักยิ่งในพระคริสต์ ในปัจจุบันนี้สภาวะเศรษฐกิจมีการแข่งขันทางธุรกิจกันสูงขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การทำธุรกิจปัจจุบัน ต้องเอาใจผู้บริโภค เรียกว่า “ลูกค้าเป็นใหญ่” ซึ่งเป็นผลดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา มีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มจาก “ร้านขายของชำ” หรืออีกชื่อว่า “ร้านโชว์ห่วย” ลูกค้าต้องยืนอยู่หน้าร้าน เอาอะไรก็บอกคนขาย เดี๋ยวหยิบให้ ป้ายราคาก็ไม่ติดไว้ สั่งยี่ห้อหนึ่งก็ส่งอีกยี่ห้อหนึ่งให้ แต่มีจุดดีคือเซ็นเชื่อลงบัญชีไว้ก่อนได้ สงสัยนี่คงจะเป็นต้นกำเนิดของการรูดบัตรเครดิต

ต่อมาพัฒนาเป็น “ร้านสะดวกซื้อ” เปิดตลอด 24 ชม. มีของขาย 108 อย่างทั้งใช้ประจำวันให้ลูกค้าเดินเลือกได้ และของรับประทาน หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา ร้านแบบนี้เป็นขวัญใจ พี่น้องในคริสตจักร หลังใช้ของประทานในรอบนมัสการ เลิกรอบก็ไปแสวงหาของรับประทาน มาเติมเต็มพลังงานที่ขาดหายไปกับการนมัสการและฟังเทศนา

คริสเตียนบางท่าน รวมทั้งผมก็ชอบไป “วัด” แต่เป็น “วัดโลแตะ แวะโลตัส(Lotus)” หรือไปซื้อของที่ “วัตสัน ช็อบ (Watsons Shop)” ร้านสะดวกซื้อส่วนตัวที่สะดวกใจ

ต่อมาพัฒนาเป็นการขายแบบส่งตรงถึงบ้านลูกค้า เรียกว่า “Delivery”

ปัจจุบันก็เป็น “ร้านค้า Online “สั่งซื้อของ ทาง Internet รับซื้อและส่งให้โดยตรงเรียกว่าสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ขายต้องการเอาใจ โดยเข้าถึงลูกค้า แทนที่จะรอคอยลูกค้ามาหา ทำให้เกิดการทำธุรกิจที่เรียกว่า “ขายตรง (Direct Sale)”

ทำความเข้าใจกับธุรกิจแบบนี้(อ้างอิงจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ธุรกิจขายตรง)

ธุรกิจขายตรง ตามความหมายก็คือ การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการนำเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง ณ ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของผู้บริโภคหรือของผู้อื่น หรือสถานที่อื่นที่มิใช่สถานที่ประกอบการค้าเป็นปกติธุระ โดยผ่านตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระชั้นเดียวหรือหลายชั้น โดยแบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ

1.ขายตรงแบบชั้นเดียว ก็คือ การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายต่อผู้บริโภคโดยตรง ได้รับผลกำไรจากการขายปลีกให้กับลูกค้าเพียงชั้นเดียวเท่านั้น
2.ธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น (MLM :Multi- Level Marketing ) เป็นการขายต่อๆกันเป็นเครือข่ายหลายชั้น ผู้ขายเป็นนักขายอิสระ ไม่ใช่ลูกจ้างของบริษัท มีหลายแบบได้แก่ แบบ binary,
แบบ Universal, แบบ Stair step , แบบ Matrix โดยนักขายสามารถสร้างรายได้จากการทำงาน 2 วิธีรวมกัน คือ

1.ผลกำไรจากการขายปลีก ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างต้นทุนสินค้าที่ซื้อมาจากบริษัทกับราคาขายปลีกที่ได้ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภค

2.คอมมิชชั่นหรือส่วนลดตามระดับยอดขายของสินค้าหรือบริการที่มีการสั่งซื้อ (เพื่อบริโภคหรือเพื่อขายให้กับผู้ขายคนอื่นต่อๆไป) จากผู้ขายที่ได้ชักชวนเข้ามาสมัครร่วมธุรกิจในทีมขาย หรือที่เรียกว่า "สปอนเซอร์" ในระดับเป็นชั้นต่อๆไป

จะเห็นได้ว่า หลักการของระบบการตลาดหลายชั้นคือ การที่นักขายได้รับผลตอบแทนทั้งจากที่ตนเองขายปลีก และผลตอบแทนจากการขายซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนักขายในกลุ่มของตนชวนมาร่วมกันขาย จนมียอดขายรวมเป็นก้อนใหญ่
จากปัจจัยดังกล่าวทำให้เกิดโอกาสในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีขีดจำกัด ซึ่งเกิดจากการสปอนเซอร์หรือชักชวนผู้อื่นมาเข้าร่วมธุรกิจอันทำให้ระบบการตลาดหลายชั้นเป็นระบบที่มีศักยภาพสูงสุดในธุรกิจขายตรงปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอีกแบบคือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs (Small and Medium Enterprises) เรียกว่า “กองทัพเล็กเคลื่อนที่เร็ว เข้าถึงตัวลูกค้าได้ง่ายมากกว่า LE (large enterprise) ”
SMEs จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดี โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีอัตราการจ้างงานลดลง นอกจากนี้หากทำได้ดี SME ก็อาจกลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและกลายเป็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ไปได้ หรือ LE (large enterprise)
SMEs จะประสบความสำเร็จคือต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ เรียกว่า “ตีโจทย์ให้แตก” จึงมีคำเรียกติดปากในปัจจุบัน ว่า “SME ตีแตก”

การทำธุรกิจขายตรง (Direct Sale) และ SMEs มีการเจริญเติบโตและเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ทั้งใน TV Internet หรือ ตามตลาดนัดเปิดท้ายรถขายของต่างๆ

เมื่อก่อนนั้น ผมอยากจะซื้อสินค้าพวกนี้ต้องติดต่อหาผู้เป็นตัวแทน แต่ปัจจุบันผมเจอแต่คนขายเต็มไปหมดเลย เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ส่งผลต่อเรื่องปากท้องของผู้คน ทำให้ต้องหาอาชีพเสริม(Sideline) เพิ่มเติมอาชีพหลัก ลำพังทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือนรายได้อาจจะไม่เพียงพอ

บางท่านไม่อยากเป็นลูกจ้างใครก็อยากเป็นเจ้าของกิจการจะมีธุรกิจเล็กๆเป็นของตนเอง เช่น ร้านกาแฟสด ร้านขายเสื้อผ้า หรือเปิดท้ายขายของตามตลาดนัดต่างๆ

บางท่านไม่มีทุนมากก็มาทำงานประเภทขายตรง เพราะมีความเป็นอิสระ ทำงานร่วมกับงานประจำได้ เป็นอาชีพเสริม เช่น ขายอาหารเพื่อสุขภาพ ขายประกัน เป็นต้น เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แถมเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกทาง

บางท่านถึงขนาดลาออกจากงานประจำ มาทำธุรกิจนี้แบบเต็มเวลาเลยทีเดียว เนื่องจากรายได้ดีมากกว่า

ในมุมมองของผม คิดว่าอาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่ดี สุจริตดีกว่าไปทำอาชีพที่ไม่สุจริตและขัดต่อหลักจริยธรรมคริสเตียน เช่น เล่นการพนัน ขายหวย รับซื้อ-ขายของผิดกฎหมาย สิ่งเสพติด ของมึนเมา สิ่งที่ทำให้เกิดผลเสียต่อสังคม สิ่งเหล่านี้ไม่ส่งเสริมให้คริสเตียนประกอบอาชีพเหล่านี้

แต่สิ่งที่สำคัญคือ ธุรกิจขายตรงและ SMEs เป็นสิ่งที่ดี ต้องรักษาสิ่งที่ดีไว้ อย่าทำให้ “ดีแตก”

ธุรกิจขายตรงและ SMEs เริ่มเข้ามาในคริสตจักรมากขึ้น จนปัจจุบันคริสตจักรเริ่มกลายเป็น “Church Bazaar” คริสตจักรตลาดนัดวันอาทิตย์ เปิดท้ายขายของกันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ในระหว่างสัปดาห์กลุ่มสามัคคีธรรม กลายเป็น “กลุ่ม SALE” แทนที่จะเป็น “กลุ่ม Cell” ที่เสริมสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ “กลุ่ม Care” ที่เป็นกลุ่มแคร์ดูแลเอาใจใส่กัน กลับกลายเป็น “กลุ่ม Share” ที่แชร์แบ่งปันวิธีการขายของและแบ่งปันหุ้นส่วนธุรกิจกัน

บรรยากาศการรับใช้กลายเป็นบรรยากาศการค้า ลูกแกะฝ่ายวิญญาณกลายเป็นลูกค้าสายตรง ทำหน้าที่เป็นดาวราย ขายของให้เรา
พี่น้องที่รักครับ เราคงไม่อยากเห็นบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งเป็นนิเวศแห่งการอธิษฐานใช่ไหมครับ


นิเวศอธิษฐานไม่ใช่ร้านโชว์ห่วย !

มัทธิว 21:12-13
12 พระเยซูจึงเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กับทั้งคว่ำม้านั่งผู้ขายนกพิราบเสีย
13 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ถ้ำของพวกโจร



ในพระธรรมตอนนี้ พระเยซูต่อสู้กับปัญหาของพระวิหารในสมัยนั้น คือ ผู้คนใช้พระวิหารเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง แทนที่จะเป็นสถานที่ผู้คนมาอธิษฐานแสวงหาพระเจ้า

พระเยซูไม่ได้ต่อต้านสินค้า แต่พระเยซูจัดการกับท่าทีไม่ถูกต้อง คือ พวกเขาเป็นโจรที่ปล้นศรัทธา ความน่าเลื่อมใสของพระนิเวศ หาผลประโยชน์เข้าหาตนเอง

เรื่องของศาสนาและเรื่องฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องใจศรัทธาของคน เวลาเมื่อผู้คนมาทำศาสนกิจ พิธีกรรมต่างๆ มักจะมีกลุ่มศาสนาเชิงพานิชย์ มาแสวงหาผลประโยชน์จากใจศรัทธาของผู้คน

ดังนั้นสถานที่ทางศาสนาจึงไม่ใช่ที่จะมาหาผลประโยชน์ทั้งทางการเมืองและการค้าขาย

ในความคิดของผม คิดว่า “คริสตจักรไม่ได้ต่อต้านการทำธุรกิจและตัวสินค้า แต่ต้องมาจากท่าทีที่ถูกต้อง”

ดังนั้นคริสตจักรจึง มีร้านค้าขายสินค้า อาหาร มีมุมต่างๆเพื่อให้บริการสมาชิก และตอบสนองความต้องการของสมาชิกทั้งด้านร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ

ในฐานะของผมที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักร เมื่อเรามาคริสตจักร เราต้องการที่จะมาอธิษฐาน นมัสการพระเจ้า ฟังเทศนาและสามัคคีธรรมกับพี่น้อง สิ่งเหล่านี้หากเปรียบเทียบเชิงธุรกิจ ถือว่าเป็นสินค้าและบริการหลัก กิจกรรมอื่นๆ ถือว่าเป็นการจัด Promotion ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามใจสมัคร ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นของแถม ที่ไม่ได้ตั้งใจซื้อแต่ได้รับ หรือสินค้าขายคั้นเวลา

ในสมัยเด็กๆ ไปดูหนังกลางแปลง ดูได้กลางเรื่อง มักจะได้พบสถานการณ์ “หนังขาด” ฉายต่อ ต้องรอการแก้ไข ก็จะมีการขายยา หรือสินค้าต่างๆ มาขายคั่นเวลา

แท้จริงแล้วเป็นแผนการของคนฉายหนังต้องการขายของ อย่างนี้เป็นท่าทีที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่า “เจตนาเคลือบแฝง” ไม่ขายตรงๆ แต่เป็นการหลอกขาย

เรื่องฝ่ายวิญญาณสะดุด เพราะหยุดไปขายตรง

ธุรกิจ SMEs และการขายตรงได้มาเกี่ยวข้องในชีวิตคริสเตียนของเรา หากพิจารณาจากรูปแบบระบบขายตรงหลายชั้นแล้ว มันก็คือระบบเครือข่าย (MLM) ที่มีการหาสมาชิกต่อไปเรื่อยๆ มีการรวมกลุ่มย่อย เพื่อสร้างเสริมกำลังใจ เสริมวิธีการขาย ถ่ายทอดประสบการณ์
เป็นระบบที่คล้ายกับระบบการประกาศติดตามผล ระบบกลุ่ม Cell ของคริสเตียนเลยครับ แต่ต่างกันตรงธุรกิจขายตรงมีวัตถุประสงค์คือ เพิ่มจำนวนเพื่อผลประโยชน์ต่อตนเอง

แต่คริสเตียนมีวัตถุประสงค์ คือ เพิ่มจำนวนเพื่อผลประโยชน์ต่ออาณาจักรพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนมารับพระคุณความรักของพระเจ้า ทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จ (มธ.28:19-20)

จากที่ผมพิจารณามานี้ รูปแบบมัน "ใกล้เคียง"กันมาก ทั้งวิธีการ ไปจนผลประโยชน์หรือเป้าหมาย แตกต่างตรงท่าทีของผลประโยชน์ที่แตกต่างกันว่าทำเพื่อใครเพื่อตนเองหรืออาณาจักรพระเจ้า

ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจที่ ทำให้ "ธุรกิจขายตรง" เข้ามาสู่กลุ่มคริสเตียนในคริสตจักรได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมีความคล้ายในวิธีการซึ่งคริสเตียนคุ้นเคยอยู่แล้ว

วัตถุประสงค์ที่ผู้ทำธุรกิจขายตรงมักจะชวนเพื่อนๆ คริสเตียนมาทำด้วยกัน ก็คือ
1. เพื่อมีรายได้พอเพียงหาเลี้ยงชีพตนเอง
2. เพื่อจะได้มีเวลาไปรับใช้พระเจ้ามากขึ้น เพราะไม่ต้องทำงานตามเวลาประจำที่สำนักงาน
3. เป็นการดีที่ได้แนะนำให้เพื่อนๆ ได้ใช้สินค้าดีๆ
4. เป็นการช่วยให้เพื่อนที่ตกงานอยู่ หรือ ต้องการเปลี่ยนงาน
5. เป็นนักธุรกิจเพื่อพระเจ้า หาทุนสร้างพระนิเวศ

จากนั้นใช้บทเรียนต่างๆ ที่เคยเรียนมาประยุกต์ใช้ในการชักชวน สร้างสัมพันธ์ ประกาศโดยการเป็นพยานชีวิตของตนเองจากการขาย พาไปฟังคำบรรยายพิเศษที่สำนักงาน และนำรับเชื่อ…

จากนั้นติดตามผล ลูกค้าสายตรง สร้างสาวก ฝึกฝนจนชำนาญ ถ่ายทอดต่อไปได้ วิธีการและรูปแบบคล้ายกันมาก ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังเรื่องท่าทีในใจให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิม

เส้นทางเศรษฐีใหม่หรือเศรษฐีหนุ่ม?

มัทธิว 19:17-24 …
22 เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก
23 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก
24 เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า"


การทำธุรกิจ SMEs และขายตรงเป็นสิ่งที่เป็นช่องทางการทำเงินที่เหมาะกับยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน
เนื่องจากใช้ทุนไม่เยอะและมีช่องทางหลากหลายในการขายสินค้าในปัจจุบัน
หากตั้งใจทำงานและขยันจะเห็นผลที่ได้ลงทุนลงแรงไป บางท่านกลายเป็นเศรษฐีใหม่เพราะการทำธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมในความขยันและตั้งใจทำงาน

สุภาษิต 10:4 มือที่หย่อนเป็นเหตุให้เกิดความยากจน แต่มือที่ขยันขันแข็งกระทำให้มั่งคั่ง

แต่สิ่งที่อยากเตือนใจคือ เราสามารถเป็นเศรษฐีใหม่ได้แต่อย่าเป็นเหมือนเศรษฐีหนุ่มเพราะเขาสนใจในทรัพย์สิ่งของมากจนไม่กล้าตัดสินใจติดตามพระเยซูคริสต์

เงินนั้นเป็นทาสที่ดีแต่เป็นนายที่แย่ เรารับเงินได้แต่อย่ารับใช้เงิน เงินอยู่ในมือเราไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่าให้เงินอยู่ในใจเรา เพราะจะทำให้เรามีใจรักเงิน การรักเงินนำมาซึ่งรากฐานของความชั่วทั้งปวง

1ทิโมธี 6:10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์



Salesman ขายฝัน ฝันดีหรือฝันร้าย?

ยุทธวิธีหนึ่งที่นักการขาย(Salesman) ใช้คือการชักชวนลูกค้าให้ฝัน ทุกคนมีสิทธ์ที่จะฝันแต่จะทำให้ฝันเป็นจริงได้อย่างไร บางคนฝันอยากมีบ้านหลังโต บางคนฝันอยากรวย บางคนฝันอยากไปเที่ยวรอบโลก บางคนฝันอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

วิธีการหนึ่งที่เป็นการสร้างแรงจูงใจในการขายคือ การไต่ระดับ (Stair step) ทำให้ได้รับการยกย่องยกระดับขึ้นเมื่อทำผลงานที่ดี ทำให้หลายคนอยากจะยกระดับตนเองให้สูงขึ้น จึงต้องขยันมากขึ้น หารายได้ หาลูกหาทีมงานมาช่วย เพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง ทุกคืนหลับก็จะฝันเห็นภาพและเผยคำว่า

“อยากเป็น อยากได้ อยากมี ต้องมีให้ได้ ไม่ได้ไม่มี ต้องมีให้ได้”

ปัญญาจารย์ 5:10-12
10 คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย
11 เมื่อของดีเพิ่มพูนขึ้น คนกินก็มีคับคั่งขึ้น คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะได้ประโยชน์อะไร นอกจากจะได้ชมเล่นเป็นขวัญตาเท่านั้น
12 การหลับของกรรมกรก็ผาสุกไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ


ในความเป็นจริง เรื่องจริงก็ต่างกับความฝัน ฝันไม่เคยทำให้ใครต้องเจ็บช้ำใจ แต่ความเป็นจริงเหมือนฝันร้ายที่กลายเป็นจริง และทำให้เจ็บปวดใจเพราะคร่ำเครียด กับเรื่องยอดขายตามเป้าหมาย
ทำให้เสียสติ แถมเสียสตางค์ที่ลงทุนไป ให้อารมณ์เสีย เสียศูนย์ขาดความสมดุลในฝ่ายวิญญาณ ส่งผลต่อพฤติกรรมคือ “คริสตจักรไม่แล กลุ่มแคร์ไม่เข้า พระเจ้าไม่สนใจ” บางคนตัดพ้อต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าไม่เข้าใจ พระองค์ไม่ Sensitive”
“ขอพระเจ้าทรงช่วยลูกด้วย หากขายได้รวยจะมาช่วยถวายให้คริสตจักร”



ขายฝันแบบนี้ฝันดีหรือฝันร้าย? หวังในสิ่งผิด จึงผิดหวัง


สินค้าไม่มั่นคง "มาเร็ว เกมเร็ว ไปเร็ว" ไม่รับประกันความเสี่ยง

ข้อควรระวังอย่างหนึ่งถึงอาชีพขายตรงและธุรกิจ SMEs คือ การลงทุน ขึ้นชื่อว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้นต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ควรใช้พระวิญญาณฯในการตัดสินใจด้วยจะดีมาก

เนื่องจากยุคปัจจุบันนี้ ต้องพิจารณาในเรื่องกระแสสังคม ต้องวิจัยทำการตลาด รวมถึงต้องคิดพิจารณเรื่องทำเลสถานที่ตั้งขายสินค้าให้เหมาะสม ซึ่งผู้ที่จะทำธุรกิจด้านนี้ต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ

เท่าที่ผมได้ไปพูดคุยกับพี่น้องในคริสตจักรที่ทำธุรกิจนี้ ผมประทับใจในชีวิตที่สามารถแบ่งเวลาในการทำธุรกิจ การรับใช้ได้อย่างเหมาะสม และงานก็ไม่มีผลกระทบทำให้เกิดปัญหาในคริสตจักร แต่ละท่าน มีข้อแนะนำที่น่าสนใจ และผมได้เรียบเรียงไว้ดังนี้

1. การขายที่ดี ต้องรับมา ขายไป ทำให้ทุนไม่จม เพราะบางคนซื้อของสะสมไว้ทำให้ระบายขายของไม่ออกส่งผลเสียในการทำงาน

2. ต้องพิจารณาปัจจัยรอบด้าน ที่ประกอบกัน ทั้งทำเล ความร่วมสมัยของสินค้า มีสินค้าหลักและสินค้ารอง ไม่ลงทุนอย่างเดียว ต้องกระจายความสี่ยง

3. กระแสสังคมในปัจจุบัน คือ “รักง่าย หน่ายเร็ว มีทางเลือกหลากหลาย”ผู้ที่ทำธุรกิจนี้ต้องศึกษาข้อมูลอย่างเข้าถึงลูกค้าอย่างเข้าใจ

สิ่งที่สำคัญ คือ ต้องรักษาความสมดุลในการทำธุรกิจและการดำเนินชีวิตติดตามพระเจ้า แสวงหาพระเจ้าก่อน และพระองค์ทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้ (มธ.6:33) มีที่ปรึกษามากก็ทำให้ชีวิตปลอดภัย และยอมให้พระเจ้าทรงเป็นส่วนหนึ่งในการงานทุกเรื่อง


สดุดี 16:7-9
7 ข้าพเจ้าสรรเสริญพระเจ้า ผู้ประทานคำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า เออ ในกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า
8 ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว
9 เพราะฉะนั้นจิตใจข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็ปรีดา ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย



ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ได้รับประกันความมั่นใจให้กับเรา วันนี้เราเข้ามาทำประกันชีวิตไว้กับบริษัท เมืองสวรรค์ ประกันชีวิตนิรันดร์ (มหาชน) ไม่จำกัด

เงื่อนไขในการทำกรมธรรม์ คือ เชื่อวางใจ เชื่อเดียวนี้ รับประกันทันที ฟรีตลอดชีพ



นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้เขียนมาเป็นมุมมองในฐานะของผู้ขาย หากท่านใดที่สนใจจะประกอบอาชีพเหล่านี้ ขอให้พิจารณาให้เหมาะสม สำหรับในมุมมองของผู้บริโภคมีความคิดอย่างไร เรามาพิจารณาด้วยกัน

เพื่อนหาย เพราะขายของเพื่อน

สิ่งนี้เป็นประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักร เมื่อมีพี่น้องที่ทำธุรกิจขายตรงเข้ามาในวงสนทนาของพี่น้องในคริสตจักร สิ่งที่เกิดขึ้น คือ “วงแตก” และ”แยกวง” สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น คือ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า จะมาไม้ไหน ? จะมาหา หรือ จะมาขายของ ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกัน

ปัญหาที่ผมเรียบเรียงมาได้จากการพูดคุยกับพี่น้องในคริสตจักร คือ

1. “มาคริสตจักรเพื่อแสวงหาพระเจ้า หรือแสวงหากำไร”

ตามที่กล่าวมาคือ คริสตจักรไม่ได้ต่อต้านสินค้าและการขาย แต่เป็นห่วงเรื่องท่าที ดังนั้นในคริสตจักรจึงไม่ใช่ที่มาแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อตนเอง แต่เป็นที่เอื้อสาธารณะประโยชน์สำหรับทุกคน
ผู้นำในคริสตจักรทำหน้าที่ในการเทศนา ไม่ได้มาเป็นเจ้าหน้าที่เทศกิจ คอยจัดระเบียบการค้าขาย
หากจะมีการติอต่อทำธุรกิจก็ขอให้ทำอย่างเหมาะสมและต้องเคารพในสิทธิของแต่ละบุคคลในการเลือกตัดสินใจ ไม่ควรใช้ระบบสิทธิอำนาจ ทำให้เกิดการเกรงใจ ซื้อขายกันด้วยความเกรงใจแต่ด้วยความสมัครใจ

ในกรณีที่พี่น้องขายของอย่างเดียวกัน แต่มาคนละเจ้า จะเลือกซึ้อของใครก็จะลำบากใจ กลายเป็นใช้สองมาตรฐาน เลือกที่รัก มักที่ชังในการตัดสินใจเลือก ส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน
ปัญหาที่คริสตสมาชิกประสบคือ เวลาไปร่วมกิจกรรมระหว่างสัปดาห์ ผู้นำกลุ่ม Cell ได้ใช้การประชุมเพื่อขายของ กลุ่ม Cell กลายเป็นกลุ่ม Sale ขายของ
ดังนั้นผู้นำกลุ่มจึงต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของกลุ่มสามัคคีธรรม ไม่ได้เป็นที่ “ฉายหนังเพื่อขายยา” แต่เป็นที่สำหรับการสามัคคีธรรมเพื่อเสริมสร้างชีวิตในฝ่ายวิญญาณ


2. “ลูกแกะกลายเป็นลูกค้า เพื่อนร่วมงานกลายเป็นเพื่อนร่วมหุ้น”

สถานภาพเปลี่ยนความสัมพันธ์ก็เปลี่ยน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดช่องว่าง แม้จะมาร่วมรับพิธีมหาสนิท แต่ก็ไม่สนิทใจกัน เนื่องจากผลประโยชน์เป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ บางกลุ่มมีความตั้งใจดี แต่ท่าทีไม่ถูกต้อง เริ่มชักชวนกันมาทำธุรกิจ SMEsร่วมกัน ช่วยกันลงขัน เพื่อลงทุน ร่วมหุ้นในการค้าขาย

ผลสุดท้ายเกิดปัญหา มองหน้ากันไม่ติด เมื่อธุรกิจล้มเหลว ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่เชื่อมต่อกัน
เป็นหนี้สินกัน เสียทั้งเงินและเสียทางเพื่อนและเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน


3. “ชีวิตไม่พอเพียง เพราะอยู่ไม่เพียงพอ”

สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาคือความต้องการที่ไม่พอ อยากมี อยากได้ และอยากเป็น บางท่านซื้อของเพื่อต้องการทำยอดให้ถึงเป้า หรือเพื่อเก็งกำไรเพื่อขายต่อ แต่ขายไม่ได้ทำให้เงินจม เพราะลงทุนไปเยอะ

บางคนซื้อของใช้ที่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเนื่องจากลดราคาหรือต้องการของแถม

บางท่านซื้อยาหลายขนาน รับประทานอาหารเสริมสุขภาพ หลายชนิดจนเกินความจำเป็น

แท้จริงอาหารเสริมไม่ใช่อาหารหลัก เรารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้พอเพียงก็เพียงพอแล้ว และที่สำคัญคือ ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี (สุภาษิต 17:22)

ดังนั้นผมขอสรุปจบท้ายว่า โดยขออัญเชิญแนวทาง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางเพื่อแก้ไขวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ มีหลักพิจารณา ดังนี้

(อ้างอิงจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง)

1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ

2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ

3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราในฐานะคริสตชน คนของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดประกอบวิชาอาชีพอะไร ขอคิดสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดี และจะเกิดผลที่ดีในทุกสิ่ง เป็นคริสเตียนที่ดีในสังคมเพื่อสะท้อนความดีรอบคอบของพระเจ้า

มัทธิว 5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ

เป็นคริสเตียนที่ดี รักษาสิ่งที่ดีไว้ อย่าให้ “ดีแตก”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น