ความเย่อหยิ่งนับเป็นความบาปอย่างหนึ่งที่ผู้คนหลีกเลี่ยงมาตลอด ทว่าความเย่อหยิ่งนับเป็นความบาปที่มองเห็นได้ยาก เพราะความเย่อหยิ่งดูจะเป็นเรื่องของท่าที ไม่เหมือนกับความบาปอื่นๆที่มักจะเป็นการประพฤติ (เช่น การลักขโมย การมุสา)
เนื่องจากความเย่อหยิ่งเป็นบาปที่มองเห็นได้ยาก การลดความเย่อหยิ่งลงก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากด้วย บางคนพยายามลดความเย่อหยิ่งของตนเองลงผ่านการภาวนาซ้ำๆว่า “อย่าเย่อหยิ่ง อย่าเย่อหยิ่ง” ทว่าผู้คนที่อาวุโสต่างตระหนักรู้ดีว่า การภาวนาซ้ำๆนั้นแทบจะไม่ช่วยลดความเย่อหยิ่งลงเลย
ในจดหมายฝากของนักบุญยากอบ ท่านกล่าวถึงข้อความหนึ่งในหนังสือสุภาษิต ท่านยากอบได้เรียบเรียงถ้อยคำจากหนังสือสุภาษิตไว้ว่า
(ยากอบ 4:6) “พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ”
ถ้อยคำที่ท่านยากอบยกมานี้ มาจากหนังสือ (สุภาษิต 3:34) และเมื่อผมได้สืบค้นจากข้อความต้นฉบับในหนังสือสุภาษิต ต้นฉบับดังกล่าวใช้ถ้อยคำว่า
(สุภาษิต 3:34) พระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่ชอบเยาะเย้ย แต่พระองค์ประทานพระคุณแก่คนถ่อมตัว
ถ้าเพื่อนๆสังเกตให้ดี เพื่อนๆจะพบว่า ท่านยากอบใช้วลี “คนที่หยิ่งจองหอง” แต่ต้นฉบับจากหนังสือสุภาษิตใช้วลี “คนที่ชอบเยาะเย้ย” ดังนั้นจากพระคัมภีร์จึงสรุปได้ว่า “คนเย่อหยิ่ง” เท่ากับ “คนที่ชอบเยาะเย้ย”
จากข้อพระคัมภีร์สามารถสรุปได้ว่า “ความเย่อหยิ่ง” กับ “การเยาะเย้ย” นับว่าเป็นสิ่งเดียวกันการลดความเย่อหยิ่งของตนเองผ่านการ ภาวนาซ้ำๆว่า “อย่าเย่อหยิ่ง อย่าเย่อหยิ่ง” นับเป็นการลดความเย่อหยิ่งที่ไม่เกิดผล ทว่า การลดความเย่อหยิ่งผ่านการไม่เยาะเย้ยผู้อื่นนับว่าเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้จริงและเห็นผล
แนวทางในการไม่เยาะเย้ยผู้อื่นในเบื้องต้นก็คือ “การไม่เยาะเย้ยผ่านคำพูด” ส่วนแนวทางในการไม่เยาะเย้ยผู้อื่นในระดับลึกคือ “ไม่เยาะเย้ยผู้อื่นในหัวใจ”
โดยภาคปฏิบัติของการไม่เยาะเย้ย ความเย่อหยิ่งก็ถูกขจัดไปได้มาก เชื่อว่าเพื่อนๆจะสามารถต่อต้านความเย่อหยิ่งได้มากผ่านภาคปฏิบัติอันประเสริฐนี้ ให้พระคุณขององค์เจ้านายพระเยซูจงมีแด่เพื่อนๆ
ชาโลม
Philip Kavilar
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น