ตั้งแต่ทศวรรษ
1990 ก็เกิดมีกระบวนการเคลื่อนไหวหนึ่งทีเรียกว่า
การปฏิรูปแห่งอัครทูตครั้งใหม่ (New Apostolic Reformation -
NAR)
กระบวนการเคลื่อนไหวนี้เป็นการกระบวนการที่มีจุดเริ่มต้นที่ว่า อัครทูตเป็นตำแหน่งที่ไม่ได้มีเฉพาะผู้คนในสมัยของพระคัมภีร์เท่านั้น
แต่ผู้คนในปัจจุบันนี้สามารถดำรงตำแหน่งอัครทูตได้ และตำแหน่งผู้นำสูงสุดของคริสตจักรไม่ใช่ศิษยาภิบาลแต่เป็นอัครทูต
จากจุดเริ่มต้นของตำแหน่งอัครทูตในยุคปัจจุบันก็ผลักดันให้เกิดการต่อยอดนานาประการ
และการต่อยอดประการหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวนี้ก็คือ ศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต
(Apostolic Center)
ในฤดูกาลที่แล้ว
ลักษณะของคริสตจักรมักจะเป็นการนำโดยศิษยาภิบาล
โดยรูปแบบของคริสตจักรที่เกิดขึ้นสามารถเรียกได้เป็น โบสถ์แบบศิษยาภิบาล (Pastoral Church) แต่ในฤดูกาลใหม่
ลักษณะของคริสตจักรนี้จะเป็นการนำโดยอัครทูต และรูปแบบของคริสตจักรในลักษณะนี้มีชื่อเรียกว่า
ศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต
ลักษณะและธรรมชาติขององค์กรระหว่าง
โบสถ์แบบศิษยาภิบาลกับศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต จะมีจุดต่างตรงที่ว่า ธรรมชาติของโบสถ์แบบศิษยาภิบาลจะเป็นมิติแบบฝูงลูกแกะ
แต่ธรรมชาติของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตจะเป็นมิติแบบฝูงราชสีห์
ลูกแกะกับราชสีห์มีลักษณะที่ต่างกันฉันใด ลักษณะของโบสถ์แบบศิษยาภิบาลกับศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตก็มีความแตกต่างกันฉันนั้น
โดยรายละเอียดคร่าวๆอาจเป็นดังนี้
1. ลักษณะของการนมัสการ
การนมัสการในมิติแบบฝูงลูกแกะ
จะเน้นในด้านการใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าและแช่อิ่มอยู่ในความรักของพระองค์
ลักษณะของการนมัสการแบบนี้จะเป็นการร้องเพลงประกอบกับการอธิษฐานเบาๆ
แต่การมนัสการในมิติแบบฝูงราชสีห์ จะเน้นในความเป็นองค์จอมโยธาของพระเจ้าและเน้นการแผ่ขยายอาณาจักรของพระเจ้าในระหว่างการนมัสการ
ลักษณะของการนมัสการแบบฝูงราชสีห์มักจะเป็นการร้องเพลงสลับกับการอธิษฐานและป่าวประกาศอย่างดุเดือด
2. ลักษณะของการอธิษฐาน
ลูกแกะเป็นสัตว์ที่มีลักษณะของความถ่อมใจและนุ่มนวล
ดังนั้นการอธิษฐานแบบลูกแกะจะเป็นการอธิษฐานอ้อนวอนในวิญญาณของความถ่อมใจ
ซึ่งมักจะเป็นการคุกเข่าและอธิษฐานอย่างนุ่มนวล ทว่าการอธิษฐานในแบบราชสีห์จะเป็นการอธิษฐานที่กล้าหาญและดุเดือด
การอธิษฐานในแบบราชสีห์นอกจากจะอธิษฐานต่อองค์จอมโยธาแล้ว ยังมีการอธิษฐานป่าวประกาศเข้าไปยังสวรรคสถานอีกด้วย
บางครั้งก็จะมีการทำสงครามต่อป้อมปราการของมาร ประกอบกับการทำกิจพยากรณ์
3. เป้าหมายต่อสังคม
ในการขับเคลื่อนของโบสถ์แบบศิษยาภิบาล
เป้าหมายที่มีต่อสังคมก็คือ การนำความรอดไปยังคนไม่เชื่อ
โดยจะเน้นการเก็บเกี่ยวผู้คนเข้าสู่คริสตจักร
แต่ในการขับเคลื่อนของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต
เป้าหมายที่มีต่อสังคมจะเป็นการปฏิรูป โดยมุ่งเน้นการยึดครององค์ประกอบต่างๆของสังคม
และเปลี่ยนแปลงสังคมนอกโบสถ์ให้สะท้อนถึงลักษณะแห่งอาณาจักรของพระเจ้า
4. การบริหารองค์กร
การบริหารองค์กรของโบสถ์แบบศิษยาภิบาล
จะนำด้วยศิษยาภิบาลโดยมีคณะผู้ปกครองคอยกำกับดูแล
ดังนั้นการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆหรือการกำหนดนโยบายต่างๆจะกระทำกันเป็นกลุ่มซึ่งประกอบด้วยศิษยาภิบาลกับคณะผู้ปกครอง
แต่การบริหารองค์กรของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต จะจัดแจงโดยผู้นำสูงสุดที่ดำรงตำแหน่งอัครทูต
ส่วนคณะผู้ปกครองจะมีหน้าที่สนับสนุนอัครทูต(ไม่ใช่กำกับดูแลอัครทูต)
และการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆหรือการกำหนดนโยบายต่างๆจะกระทำโดยอัครทูตเพียงคนเดียว
5. การเปลี่ยนแปลงองค์กร
ในลักษณะของโบสถ์แบบศิษยาภิบาล
จะไม่ชื่นชอบต่อการเปลี่ยนแปลง แต่จะสบายใจต่อการคงอยู่ในสภาพเดิม
แต่ในลักษณะของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ
เพื่อให้ลักษณะของคริสตจักรมีความพรักพร้อมต่อการแผ่ขยายของอาณาจักร
6. วิสัยทัศน์ขององค์กร
ในระบบของโบสถ์แบบศิษยาภิบาล
วิสัยทัศน์ขององค์กรจะได้รับมาจากคณะที่โบสถ์สังกัดอยู่
การขับเคลื่อนขององค์กรจึงเป็นไปตามคณะที่สังกัด
แต่ในวิถีของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต
วิสัยทัศน์ขององค์กรจะได้รับมาจากการสำแดงของทีมผู้เผยพระวจนะที่ทำงานกับอัครทูต
การขับเคลื่อนของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตจึงก้าวเดินตามการสำแดงที่ได้รับผ่านทีมผู้เผยพระวจนะ
จึงกล่าวได้ว่า
การขับเคลื่อนในศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตจะไม่อิงอยู่กับถ้อยคำของพระคัมภีร์เท่านั้น
แต่จะอิงกับถ้อยคำแห่งการเผยพระวจนะด้วย ด้วยลักษณะเช่นนี้
ผู้คนในศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตจึงมีความจริงจังมากต่อถ้อยคำเผยพระวจนะ
7. พันธกิจของสมาชิกองค์กร
ตามขนบแล้ว
โบสถ์แบบศิษยาภิบาลจะประกอบไปด้วยทีมผู้รับใช้และฆราวาส โดยฆราวาสที่เป็นสมาชิกของโบสถ์จะมาร่วมนมัสการและถวายทรัพย์ให้กับคริสตจักร
ทั้งนี้ฆราวาสบางคนอาจมีส่วนช่วยงานของโบสถ์บ้างเล็กน้อย ส่วนทีมผู้รับใช้ก็จะทำพันธกิจต่างๆของโบสถ์
ทั้งนี้ในภาพรวม พันธกิจศูนย์กลางของโบสถ์แบบศิษยาภิบาล
คือการรวมตัวกันนมัสการในวันที่กำหนดไว้
ทว่า ลักษณะของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตจะมีความแตกต่างจากขนบเหล่านี้
เพราะเป้าหมายหลักของศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตจะไม่ใช่การรวบรวมผู้คนมานมัสการ
แต่มีเป้าหมายหลักในการส่งผู้คนไปยึดครอง
ศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตจึงมีหน้าที่ติดอาวุธให้กับเหล่าสมาชิก
โดยทีมผู้นำในศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูตซึ่งประกอบไปด้วยพันธกรทั้ง 5 (เอเฟซัส 4:11)
จะทำหน้าที่ติดอาวุธให้กับเหล่าสมาชิก
ส่วนสมาชิกแต่ละคนก็จะมีพันธกิจส่วนตัวในการเข้าไปปฏิรูปสังคมหรือนำอาณาจักรของพระเจ้าเข้าไปยังที่ทำงานของพวกเขา
พระคุณจงทวีคูณแด่เพื่อนๆ
Philip Kavilar
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
รายละเอียดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง
โบสถ์แบบศิษยาภิบาล กับ ศูนย์บัญชาการเชิงอัครทูต
สามารถดูได้ที่
https://www.gloryofzion.org/docs/Apostolic%20Centers_sm.pdf
หนังสือ
ปฏิรูปประชาชาติ เขียนโดย ซินดี้ เจคอปส์
หนังสือ
Apostolic
Centers เขียนโดย Alain Caron
ขออนุญาตแชร์ไปที่กลุ่มย่อยให้ทะลุ 1 ของ อ.ใหญ่ใน facebook นะครับ
ตอบลบ