04 กรกฎาคม 2556

ค้นพบอัตลักษณ์ ก้าวกระโดดสู่ชีวิตอัศจรรย์

คำว่าเอกลักษณ์” (Uniqueness) และอัตลักษณ์(Identity)ทั้ง 2 คำนี้สะกดคล้ายคลึงกัน แต่มีความหมายไม่เหมือนกันเสียทีเดียว  เราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า เอกลักษณ์ ในความหมายว่าเป็นลักษณะเฉพาะตัวของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คำว่าเอกลักษณ์มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน .. 2542  ว่า ลักษณะที่เหมือนกันหรือมีร่วมกัน  คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้คำว่า เอกลักษณ์ในความหมายว่าลักษณะอันเป็นเฉพาะ มีหนึ่งเดียวของสิ่งๆ หนึ่ง เช่น ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย

ส่วนคำว่า อัตลักษณ์พบว่ามีการใช้มากขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะในแวดวงวิชาการ  คำว่า อัตลักษณ์ (ไม่ใช่อัปลักษณ์) ไม่มีบันทึกไว้ในพจนานุกรม แต่มีตำราหลายเล่มให้ความหมายไว้

คำว่า อัตลักษณ์ไว้ว่าคุณลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของลักษณะเฉพาะของบุคล สังคม ชุมชน หรือประเทศนั้นๆ เช่น เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมท้องถิ่น และศาสนา ฯลฯ ซึ่งมีคุณลักษณะที่ไม่เหมือนกับของคนอื่นๆ  อัตลักษณ์มาจากคำว่า อัตตะ + ลักษณ โดยที่ อัตตะ มีความหมายว่า ตัวตน, ของตน ส่วน ลักษณะหมายถึง สมบัติเฉพาะตัว  

อัตลักษณ์ จึงเหมาะจะนำมาใช้หมายถึงลักษณะเฉพาะตัวของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่า  
พูดง่ายๆได้ว่าอัตลักษณ์ของเรา คือ ไม่เป็นเหมือนใครและไม่มีใครเป็นเหมือนเรา”(ไม่รู้ว่าใครจะอยากเป็นเหมือนเราหรือเปล่า 


อย่างไรก็ดี คนไทยโดยส่วนใหญ่ยังนิยมใช้คำว่า เอกลักษณ์ ในความหมายว่าลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครอย่างกว้างขวาง ส่วนคำว่า อัตลักษณ์ นั้นมักจะใช้ในวงแคบๆ เช่น แวดวงวิชาการเท่านั้น และบางครั้งก็ใช้แบบมีนัยยะแฝง เช่น เอกลักษณ์เป็นสิ่งตายตัวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วน อัตลักษณ์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้  

การค้นพบอัตลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเมื่อเรามารู้จักกับพระเจ้า หมายถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตามพระลักษณะของพระเจ้าในฐานะเราเป็นคริสเตียนผู้ติดตามพระเจ้า(2คร.5:17)
เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

อัตลักษณ์ของเราในพระเจ้าถูกปกปิดด้วยความคิดแบบสังคมโลก
แท้จริงแล้วเราทุกคนเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างมาตามพระฉายของพระเจ้า (ปฐก.1:27)แต่ละคนที่ถูกสร้างให้มีอัตลักษณ์ ทุกคนเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรพระเจ้า แต่เมื่อมนุษย์ทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้าไปกินผลไม้ต้องห้าม คือ ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว มนุษย์สำนึกได้ว่า ตัวเปลือยเปล่าอยู่ ดูช่างน่าอัปลักษณ์! พวกเขาจึงเอาใบมะเดื่อมาสำหรับปกปิดร่างกาย (ปฐก 3:7)

อัตลักษณ์ความเป็นตัวตนที่เขาได้รู้จักพระเจ้าว่า เขาเป็นใครในพระองค์ได้สูญเสียไปแล้ว โดยความบาปที่เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ความบาปนำมาซึ่งมาตายและนำมาซึ่งความน่าอับอายที่ต้องปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ (ปฐก.3:5-7) มนุษย์จึงถูกไล่ออกจากสวนเอเดนต้องหากินยากลำบากอย่าง "อัตคัด" และขัดสน     

ใบมะเดื่อเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ (Identity) เป็นความรู้สึกนึกคิดที่บุคคลมีต่อตนเองว่า ฉันคือใคร ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับคนอื่น โดยผ่านการมองตนเองและการที่คนอื่นมองเรา  อัตลักษณ์ต้องการความตระหนักในตัวเรา (Awareness) นั่นคือ เราจะต้องแสดงตนหรือยอมรับอย่างตั้งใจกับอัตลักษณ์ที่เราเลือก  ความสำคัญของการแสดงตนก็คือ การระบุได้ว่าเรามีอัตลักษณ์เหมือนกลุ่มหนึ่งและมีความแตกต่างจากกลุ่มอื่นอย่างไร และ ฉันเป็นใคร ในสายตาคนอื่น  

เมื่อมนุษย์เริ่มห่างไกลในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เพราะการสูญเสียความเป็นตัวตนของเราที่เป็นผู้ถูกสร้างแต่ห่างไกลจากพระเจ้าพระผู้สร้าง จึงทำให้เขาเอาความเป็นตัวตนของเขามากำหนดเอาเองจากสังคม บางใช้ความรู้การศึกษามาเป็นตัวกำหนดสังคม บ้างเอาเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดความเป็นตัวตนทางสังคม "มีเงินนับเป็นพี่ มีทองนับว่าเป็นน้อง" แต่ท้ายสุดมนุษย์จะต้องมาถึงจัดตระหนักของเขาเองว่า ใบมะเดื่อที่หุ้มกายนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วคราว ไม่ได้เป็นสิ่งถาวร อัตลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นในความคิดของเขาเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่เรียกว่าอนิจจัง(ปญจ. 5:10)      

"ความรู้ทำให้เขาหยิ่ง ความจริงของพระเจ้าทำให้เขาได้ตระหนัก และความรักของพระองค์ทำให้เขากลับใจและกลับมาหาพระเจ้า" เพราะพระองค์ประทานแผนการไถ่ของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เสื้อหนังสัตว์จึงเล็งถึงการไถ่และอัตลักษณ์ใหม่ที่พระเจ้าจะสวมให้เมือกลับมาหาพระองค์ (ปฐก.3:21-22)   

วันนี้เราจึงต้องหันหลังกลับจากความคิดแบบโลกที่พาหันเหจากทางพระเจ้า สังคมโลกที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์ในชุมชนจนไม่สนใจความแตกต่างในปัจเจกบุคคล  เราจะต้องกลับใจและกลับมาแสวงหาพระเจ้าเพื่อค้นพบอัตลักษณ์ของเรา  แม้จะมีความแตกต่างแต่ไม่ใช่ความแตกแยก แต่เป็นเอกภาพท่ามกลางความแตกต่างที่เสริมสร้างกันและกัน(Unity in diversity)  ในพระกายพระคริสต์ที่เราต่างเป็นอวัยวะที่มีความหลากหลายในบทบาทหน้าที่และทุกคนกำลังทำบทบาทของตนเองเพื่อไปสู่เป้าประสงค์ลิขิต(Destiny)ตามพระบัญชาของพระเจ้า   

การค้นหาอัตลักษณ์

การค้นหาอัตลักษณ์ในชีวิตของเรา  เราจำเป็นต้องเรียนรู้แผนการของพระเจ้าในชีวิต ดังที่อัครทูตเปาโลได้เขียนจดหมายฝากไปถึงคริสเตียนที่เมืองเอเฟซัส ในบทที่ 1 เพื่อเปิดเผยให้ทราบถึงพระปัญญาอันล้ำลึกในพระทัยของพระเจ้า(1:9) ที่ทรงจัดเตรียมแผนการแห่งความรอดและพระพรผ่านทาวคริสตจักร    ดังนั้นในภาคประยุกต์เราผูกพันตัวต่อคริสตจักรและดำเนินตามพระบัญชาของพระเจ้า ซึ่งเป็นแผนการที่พระเจ้ามีสำหรับชีวิตของเรา เป็นแผนการที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเจาะจงมีความมุ่งหมายชัดเจน (1:4-6) แม้มนุษย์จะล้มลงในความบาป(ปฐก.3แต่พระเจ้าทรงริเริ่มความสัมพันธ์ประทานพระบุตรองค์เดียวเพื่อไถ่บาป  เราเห็นได้จากภาพของการที่พระเจ้าได้นำเสื้อหนังสัตว์มาสวมใส่แทนใบมะเดื่อเล็งถึงการไถ่และมอบอัตลักษณ์ใหม่ที่ไม่ใช่ตามโลกทัศน์ตามความคิดของมนุษย์แต่เป็นเป้าประสงค์ลิขิต(Destination)ของพระองค์  เราจึงต้องน้อมนำความคิดของเราไว้ในการเชื่อฟังพระคริสต์
(2คร.10:4-5) ..เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย  แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า  อาจทำลายป้อมได้   คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม  และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า  และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์

อัครทูตเปาโลขอให้เราอธิษฐาน ขอพระเจ้าโปรดประทานให้เรามีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญาและความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์  และขอให้ตาใจของเขาสว่างขึ้น  มีความเข้าใจและรู้จักชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริง  คือขอให้รู้จัก 3 สิ่ง ตามพระธรรมเอเฟซัส บทที่1:18 - 23 ดังนี้ 

1.รู้จักความหวังแท้ในชีวิต (1:18)ความหวังที่พระเจ้าประทานแก่เราในพระคริสต์เป็นความหวังแท้  ทรงเป็นที่พึ่งที่เราสามารถยึดมั่นได้ตราบนิรันดร ที่เราได้วางใจในพระเยซูเจ้า หากเราหวังผิดจะผิดหวัง แต่เราหวังใจในพระเจ้าจะไม่ผิดหวัง (ฮบ.10:23 “ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้นโดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ)

2.รู้จักมรดกที่มีสง่าราศีของเรา (1:18) คุณค่าสูงส่งของมรดกที่มีสง่าราศีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้อย่างอุดมบริบูรณ์ให้แก่เขาด้วย (1ปต.1:4 เป็นมรดกที่ไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรย) ซึ่งผู้เชื่อทุกคนจะได้รับเป็นรางวัลสมกับที่ได้ดำเนินชีวิตติดตามพระคริสต์อย่างสัตย์ซื่อในโลกนี้ (1คร.3:14;1 ปต.5:4)

3.รู้จักประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดชของพระเจ้า (1:19-23)  เราจะมีตาใจสว่าง  เพื่อจะได้รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า คือ รู้ว่าพระเยซูคริสต์มีฤทธานุภาพเหนือความตาย(1:20) เหนือเทวอำนาจทั้งปวง(21) และเหนือคริสตจักร(22-23)  เราจึงจะค้นพบว่าเราได้เป็นบุตรของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งต่างๆและพระองค์มีแผนการที่ดีให้กับลูกของพระองค์

สิ่งที่เราจะทำในภาคปฏิบัติคือการดำเนินชีวิตตามการทรงนำในแผนการของพระเจ้า โดยพระองค์เปิดเผยผ่านทางคริสตจักร นอกจากนี้พระองค์เปิดเผยผ่านทางการสำแดงอื่นๆเช่น ทางนิมิต ทางความฝันและการเผยพระวจนะตามพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรมกิจการฯบทที่ 2 ในเทศทาลเพ็นเทคอสต์ กล่าวถึงการเทลงมาของพระวิญญาณและการสำแดงต่างๆที่สำเร็จตามคำเผยพระวจนะของโยเอล(ยอล.2:28-29)

ดังนั้น เมื่อเรารับการสำแดงต่างๆของพระเจ้าผ่านทางความฝัน นิมิต และคำเผยพระวจนะที่ผ่านมา ในภาคปฏิบัติเราสามารถเรียบเรียงสิ่งเหล่านี้ เพื่อค้นพบอัตลักษณ์ ทำได้ด้วยตนเองง่ายๆ ดังนี้
(R I A)ไม่ใช่ถนน RCA นะครับ   


รับการสำแดง (R-Receive the revelation) ผ่านทางความฝัน นิมิตและคำเผยพระวจนะ อธิษฐานใคร่ครวญ


อธิษฐานขอการสำแดงในการตีความ
(I-Interpretation)

โดยเทียบจากหลักการพระคัมภีร์ และนำสิ่งที่ได้รับการสำแดงไปปรึกษากับผู้นำเพื่อให้คำแนะนำ มีที่ปรึกษามากก็จะปลอดภัย(สภษ.11:4)


นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต(A-Application) ช่วงไตรมาสที่ผ่านมาในปีนี้  เป็นช่วงเวลาที่เราควรจะเก็บรวบรวมไว้ ด้วยการจดบันทึกและนำมาอธิษฐานขอให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จในชีวิตของเรา  เพื่อเราจะก้าวกระโดดสู่การอัศจรรย์ในปีนี้ร่วมกัน


ขอหนุนใจให้เราได้เขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ เป็นการกำหนดอัตลักษณ์ของเรา (Identity Statements) เมื่อเราเริ่มค้นพบอัตลักษณ์ของเรา  เราจะมีส่วนรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรในบทบาท ของประทานและความสามารถของเราอย่างเต็มกำลัง  จงฝึกฝนและพัฒนาให้มากขึ้น เราจะพบว่า การดำเนินชีวิตของเรา ไม่ได้เป็นการเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเท่านั้นแต่มันจะเป็น ก้าวกระโดด ที่จะไปได้ไกลมากขึ้นสู่การอัศจรรย์ของพระเจ้า!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น