12 เมษายน 2555

Acts 4:24-31_อธิษฐานเมื่อเผชิญการขัดขวางข่าวประเสริฐ

ศึกษาพระธรรมกิจการของอัครทูต

คริสตจักร “ต้นแบบ” ตามพระบัญชา

กิจการของอัครทูต 4:24-31
24 เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก ทะเลและสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น
25 พระองค์ตรัสไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยปากของดาวิดบรรพบุรุษของเรา ผู้รับใช้ของพระองค์ ว่า "เหตุใดชนต่างชาติจึงหยิ่งยโส และชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันเปล่าๆ
26 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตัวขึ้น และนักปกครองชุมนุมกัน ต่อสู้พระเจ้าและผู้รับการเจิมของพระองค์
27 ความจริงในเมืองนี้ ทั้งเฮโรดและปอนทัสปีลาตกับพวกต่างชาติและชนชาติอิสราเอล ได้ชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์ซึ่งทรงเจิมไว้แล้ว
28 ให้กระทำสิ่งสารพัดตามที่พระหัตถ์ และพระดำริของพระองค์ได้กำหนด ตั้งแต่ก่อนมาแล้วให้เกิดขึ้น
29 บัดนี้พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดทอดพระเนตรการขู่ของเขา และโปรดประทานให้ผู้รับใช้ของพระองค์ กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า
30 ในเมื่อพระองค์ได้ทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออกรักษาโรคให้หาย และได้โปรดให้หมายสำคัญกับการอัศจรรย์บังเกิดขึ้น โดยพระนามแห่งพระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์"
31 เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ

อารัมภบท
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมไม่ได้แบ่งปันการศึกษาพระธรรมกิจการฯ มาหลายวัน เนื่องจากติดภารกิจ และเป็นช่วงเทสกาลปัสกา ซึ่งเป็นการระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ที่มีผลในชีวิตของเรา สำหรับประเทศอิสราเอลเป็นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเพื่อระลึกถึงการพ้นจากทาสในอียิปต์ ทุกเทศกาลที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้มีความสำคัญที่เราได้นัดพบเพื่อจะแสวงหาพระเจ้า ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราสามารถอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าได้ในทุกเวลา ไม่ใช่เพียงยามทุกข์ยากลำบาก ในการศึกษาพระธรรมกิจการฯครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 12 แล้ว ครั้งนี้เป็นการอธิษฐานเมื่อเผชิญการขัดขวางข่าวประเสริฐ จากเหตุการณ์ในกจ.4 เราจะมาร่วมพิจารณาด้วยกัน ดังนี้
1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
ทันทีได้รับการปล่อยตัว อัครทูตเปโตรและอัครทูตยอห์นได้ไปหาพี่น้องของท่านและเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พี่น้องฟัง และเมื่อได้รับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่ท่านต้องเผชิญตลอดคืนที่ผ่านมาถูกจับขัง และ ถูกขู่เข็ญไม่ให้กล่าวพระนามของพระคริสต์อีกต่อไป
ในข้อ 24 ...เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังจึงพร้อมกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้า
นั่นคือ การยืนหยัดร่วมใจกันในชุมชนด้วยการร่วมใจกันอธิษฐาน จะเห็นได้ว่าเวลานั้นเป็นโอกาสดีที่คริสตจักรจะต้องร่วมใจกันอธิษฐานเมื่อเผชิญการขัดขวางข่าวประเสริฐ มีคำกล่าวว่า"ความนิยมชมชอบที่สมาชิกมีต่อคริสตจักรนั้นวัดได้จากจำนวนคนที่มาร่วมนมัสการของคริสตจักร ความนิยมชมชอบที่สมาชิกมีต่อพระเจ้านั้น น่าจะวัดได้จากชั่วโมงแห่งการอธิษฐานของคนนั้น ๆ"


สิ่งนี้น่าจะเป็นจริง ผมนึกถึงคำพูดของอ.เจริญ ยธิกุล ท่านกล่าวว่า "คำว่ารักพระเจ้า ไม่ได้สะกดด้วย Love แต่สะกด ด้วย Time" หมายถึง หากรักพระเจ้าต้องให้เวลาอธิษฐานกับพระองค์ เมื่อเรารัก(love)สิ่งไหน เราก็จะให้เวลา(time)กับสิ่งนั้น แม้ผมอยากจะ กด like ใช่เลย บางครั้งเราเสียเวลาเล่น facebook มากไปจนไม่ได้แสวงหาพระพักตร์พระเจ้า (faceGod) เหตุการณ์จากพระธรรมตอนนี้ทำให้เราเข้าใจบริบทพระธรรมตอนนี้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่วิกฤตเพราะมีการต่อต้านจากผู้ที่มีอิทธิพล ทำให้คริสตจักรต้องอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าอย่างมาก สิ่งที่เราเห็นได้คือ "ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการอธิษฐาน" ในข้อ 24 ตอนต้น ...เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังจึงพร้อมใจกัน เปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า ... คำว่า “พร้อมใจ” ความหมายในภาษาเดิม หมายถึงการมีความคิด อย่างเดียวกัน หรือ การตกลงใจร่วมกันอย่างเป็นเอกฉันท์
ตัวอย่างพระคัมภีร์ที่ใช้คำเดียวกันนี้ เช่น กจ. 15:25 พวกข้าพเจ้าจึงพร้อมใจกันเห็นชอบที่จะเลือกคนและใช้เขามายังท่านทั้งหลาย พร้อมกับบารนาบัส และเปาโลผู้เป็นที่รักของเรา
นี่คือท่าทีในการอธิษฐานที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมใจกัน พร้อมใจกัน ไม่มีความขัดแย้งกัน หรือ ไม่เห็นด้วยกัน แต่ร่วมใจกันอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวข้อเดียวกัน ภาระใจเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์
เราเห็นตัวอย่างของคริสตจักรแรกในกรุงเยรูซาเล็มที่มีชีวิตแห่ง การอธิษฐานในชุมชนอย่างชัดเจน ดังเช่นใน กจ 1:14 ...พวกเขาร่วมใจกันขะมักเขม้นอธิษฐานพร้อมกับพวกผู้หญิง และมารีย์มารดาของพระเยซูและพวกน้องชายของพระองค์ด้วย
กจ.2:46 ... เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวางทุกวันเรื่อยไป

นั่นคือ วิถีชีวิตที่เป็นปกติ ไม่ใช่เฉพาะยามที่มีปัญหา หรือ มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเท่านั้นจึงจะมาอธิษฐานกับพระเจ้า
ในข้อ 24 ตอนปลาย เป็นการขึ้นต้นคำอธิษฐานที่สะท้อนถึงท่าทีที่
“เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”..."ข้าแต่พระเจ้าพระองค์ ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก ทะเลและสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น
คำว่า “ข้าแต่พระเจ้า” คำในภาษาเดิมให้ความหมายในลักษณะของเจ้านาย หรือ ผู้ที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจเด็ดขาด
เป็นคำอธิษฐานที่แสดงถึงการตระหนักว่าพระเจ้ามีอำนาจสูงสุดที่ไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านต่อสู้ได้
เป็นคำอธิษฐานที่แสดงให้เห็นว่า แม้ในสถานการณ์ที่ถูกต่อต้านขัดขวางจากผู้ใหญ่ในสภาแซนเฮดดริน ซึ่งเป็นสภาสูงของคนยิว แต่อำนาจของพระเจ้านั้นสูงยิ่งกว่า !
นั่นคือ คำอธิษฐานที่เริ่มต้นด้วยการอ้างถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ ทรงสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นการอธิษฐานที่สะท้อนถึงท่าทีที่เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

หากเราพิจารณต่อไปในกจ.4:25-28 ได้บันทึกคำอธิษฐานของผู้เชื่อที่ร่วมใจกันอธิษฐาน โดยอ้างถึงการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าของดาวิดว่า พระองค์ตรัสไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยปากของดาวิดบรรพบุรุษของเราผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ...
นั่นคือ การอธิษฐานโดย “เชื่อว่าอยู่ในแผนการของพระเจ้า”
เชื่อว่าการต่อต้านขัดขวาง การต่อสู้ อันมาจากบรรดาผู้ปกครอง คือ สภาแซนเฮดดรินนั้น อยู่ในแผนการของพระเจ้า เพราะมีการกล่าวไว้ ล่วงหน้าแล้ว
เป็นคำอธิษฐานที่เข้มแข็งและหนักแน่น โดยอ้างสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ใน สดุดี 2:1-2 ว่าสิ่งที่ดาวิดกล่าวล่วงหน้าเป็นการพูดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
เป็นการอธิษฐานที่อ้างถึงสิ่งที่ได้มีการบอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเห็นล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้อ 25-29 บรรยายว่า ...

25 "เหตุใดชนต่างชาติจึงหยิ่งยโสและชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันเปล่าๆ
26 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตัวขึ้น และนักปกครองชุมนุมกัน ต่อสู้พระเจ้าและผู้รับการเจิมของพระองค์
27 ความจริงในเมืองนี้ ทั้งเฮโรดและปอนทัสปีลาตกับพวกต่างชาติและชนชาติอิสราเอลได้ชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์ซึ่งทรงเจิมไว้แล้ว
28 ให้กระทำสิ่งสารพัดตามที่พระหัตถ์ และพระดำริของพระองค์ได้กำหนด ตั้งแต่ก่อนมาแล้ว ให้เกิดขึ้น

29 บัดนี้พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดทอดพระเนตรการขู่ของเขา และโปรดประทานให้ผู้รับใช้ของพระองค์ กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า

นั่นคือ คำอธิษฐานที่เชื่อว่า ทุกสิ่งนั้นอยู่ในแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น
เชื่อว่าการที่บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกและนักปกครองต่อสู้พระเจ้าและผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิมนั้น เป็นการกล่าวล่วงหน้าก่อนที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่จะเกิดขึ้น
ข้อ 27 ระบุชัดเจนอย่างนั้นเลยว่า ทั้งเฮโรด ปีลาต คนต่างชาติ และ คนยิวได้ต่อสู้พระเยซูคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ เป็นไปตามที่พระเจ้าได้พูดผ่านดาวิด
และ ข้อ 28 เป็นคำอธิษฐานที่บ่งบอกว่า เชื่ออย่างแน่นอนว่า ทุกสิ่งอยู่ในแผนการของพระเจ้า ทั้งปีลาต เฮโรด คนต่างชาติ และ คนยิวจะไม่สามารถทำอะไร พระเยซูคริสต์ได้เลย หากพระเจ้าไม่อนุญาต
แต่เพราะนี่อยู่ในแผนการของพระเจ้า พวกเขาจึงกระทำต่อพระองค์อย่างไม่สมควร โดยจับพระองค์ไปประหารราวกับนักโทษคดีอุฉกรรจ์
นี่แหละคือ ท่าทีแห่งคำอธิษฐานเมื่อเผชิญปัญหาและความทุกข์ยาก ที่ตระหนักว่า ทุกสิ่งอยู่ในแผนการพระเจ้า
เราต้องตระหนักว่าไม่มีสักสิ่งเดียวเกิดขึ้นกับชีวิตของเราโดยบังเอิญที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต
ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ในชีวิตของท่านที่เกินกว่าท่านจะเข้าใจได้ ขออย่าให้สงสัยความรักของพระเจ้า เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตจะ ไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นกับท่านได้เลย
พระเจ้าทรงมีแผนการที่ดีในชีวิตของเรา อย่าได้สงสัยความรักของพระเจ้า อย่าได้สงสัยในสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำในชีวิตของท่าน
แผนการของพระเจ้านั้นเพื่อสวัสดิภาพ เพื่ออนาคต และ เพื่อความหวังใจ (ยรม. 29:11) เพราะคริสเตียนในเวลานั้นมั่นใจว่า ทุกสิ่งอยู่ในแผนการของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่กลัวและไม่หวาดหวั่น เพราะรู้ว่าเมื่อเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการของพระเจ้า ย่อมเกิดผลที่ดี ย่อมเห็นชัยชนะ ย่อมมีสิ่งดีรออยู่ข้างหน้า


2.ข้อคิดสะกิดใจ
สิ่งที่เป็นข้อคิดในตอนนี้อยู่ในข้อ 30-31เราพบว่า ณ ที่นี้ มีผลที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือ พวกเขาได้รับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และได้รับความกล้าหาญจากพระเจ้า
30 ในเมื่อพระองค์ได้ทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออกรักษาโรคให้หาย และได้โปรดให้หมายสำคัญกับการอัศจรรย์บังเกิดขึ้น โดยพระนามแห่งพระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์" 31 เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ
สิ่งเหล่นี้เป็น ปรากฏการณ์การทรงสถิตของพระเจ้า !
นั่นคือ ผลของการอธิษฐานด้วยท่าทีที่ถูกต้องในยามที่เผชิญการขัดขวางเพราะข่าวประเสริฐ “ได้รับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า”
ข้อนี้ใช้คำว่า “ได้หวั่นไหว” เป็นภาพเหมือนการกระเพื่อมอย่างโหมกระหน่ำของน้ำทะเล หรือการสั่นไปทั่วของแผ่นดินไหว หรือ ต้นไม้ที่ ถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยลมพายุ
เราพบการใช้คำนี้ในที่ต่าง ๆ เช่น
ฮบ.12:26 พระสุรเสียงของพระองค์คราวนั้นได้บันดาลให้แผ่นดินหวั่นไหวแต่บัดนี้พระองค์ได้ตรัสสัญญาไว้ว่า อีกครั้งหนึ่งเราจะกระทำให้
หวาดหวั่นไหว มิใช่แผ่นดินโลกแห่งเดียว แต่ทั้งท้องฟ้าด้วย
ลก.6:48 เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก เขาขุดลึกลงไปแล้วตั้งรากบนศิลา
และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง แต่ทำให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้สร้างไว้มั่นคง

คำที่ใช้ในพระธรรมกิจการฯตอนนี้นั้น ให้ความคิดหรือภาพของแผ่นดินไหวนี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการทรงสถิตของพระเจ้า !
เนื่องจากเกิดขึ้นทันทีทันใด และ โดยไม่มีมูลเหตุ หรือ ไม่ได้เกิดตาม ธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นในระหว่างที่พวกเขากำลังแสวงหาพระเจ้า
เป็นปรากฏการณ์ของฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าจะทรงปกป้องพวกเขาจากการขัดขวางเพราะข่าวประเสริฐ
ปรากฏการณ์ของการสั่นไหวที่ยิ่งใหญ่ ทันทีทันใด และ อำนาจนี้ถูกหนดให้เกิดขึ้นในขณะนั้น เพื่อทำให้เกิดความเกรงกลัวที่พิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงสถิตกับคนของพระเจ้า
เราพบว่ามีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคล้าย ๆ กันนี้ เมื่อมีการอธิษฐาน เช่น เมื่อพระวิญญาณเสด็จลงมาครั้งแรกในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ ใน
กจ.2:4 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น
เมื่ออัครทูตเปาโลและสิลาสอธิษฐานและร้องเพลงนมัสการในคุก
กจ.16:25-26
25 ประมาณเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสก็อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายในคุกก็ฟังอยู่
26 ในทันใดนั้น เกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนรากคุกสะเทือนสะท้าน และประตูคุกเปิดหมดทุกบาน เครื่องจำจองก็หลุดจากเขาสิ้นทุกคน

จะเห็นได้ว่าเมื่อพวกเขาเข้ามาพึ่งพาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน แล้วจะสัมผัสการทรงสถิตของพระเจ้า
ที่ใดมีการทรงสถิตของพระเจ้า สิ่งที่เผชิญอย่างยากลำบากก็จะกลายเป็นสิ่งง่ายดายทันที
อัครทูตเปาโลและสิลาสถูกจำจองในคุก ทันทีที่อธิษฐานนมัสการพระเจ้า
การทรงสถิตของพระเจ้าได้เกิดขึ้นในคุกนั้น โซ่ตรวนที่พันธนาการ ท่านทั้งสองนั้นได้หลุดออกไปทันที ประตูคุกทุกบานก็เปิดออก
เพราะการอธิษฐานนมัสการสรรเสริญพระเจ้าเป็นการนำการทรงสถิตของพระเจ้าลงมา
เป็นการอธิษฐานจนกระทั่งเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นประสบการณ์แห่งชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดขึ้นในชีวิตเรื่อยไป ที่ควรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราทุกคน
ไม่เพียงเฉพาะในยามที่เผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากเท่านั้นแต่เรื่อยไป
เพราะการอธิษฐานนมัสการเป็นการนำฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับผู้ที่อธิษฐานนมัสการ
ขอให้เราเข้ามาพึ่งพาพระเจ้าในการอธิษฐาน เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ที่จนตรอก หาทางออกไม่ได้ และพระเจ้าจะให้เรามีใจกล้า อย่ากลัวในปัญหา แต่กล้าที่จะเชื่อในพระเจ้า!
ในข้อ 31 ตอนปลาย บันทึกต่อไปว่า ...ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ
พระคัมภีร์ตอนนี้บันทึกว่า เมื่อพวกเขาได้รับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สิ่งที่ตามมาคือ เกิดความกล้าหาญในการกล่าวพระวจนะ
แท้จริงแล้วพระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา จิตที่ขลาดกลัวเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการประกาศข่าวประเสริฐ
2 ทธ 1:7-8 7 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา 8 อย่าละอายที่จะเป็นพยานฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือฝ่ายตัวข้าพเจ้าที่ถูกจำจองอยู่เพราะเห็นแก่พระองค์ แต่จง
มีส่วนในการยากลำบาก เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า
ขอให้เรามีความกล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐ อย่าได้ละอายที่จะประกาศ
การประกาศข่าวประเสริฐเป็นการประกาศข่าวดีเพื่อนำพรไปสู่ผู้ที่ได้รับฟัง
ถ้าวันนี้ท่านกลัว อธิษฐานขอความกล้าหาญจากพระเจ้าเหมือนที่พี่น้องในกรุงเยรูซาเล็มอธิษฐานขอ แล้วท่านจะได้รับ
คำถามที่เราจะใคร่ครวญด้วยกันคือ ในวันนี้มีสถานการณ์ใดบ้างที่ทำให้เรารู้สึกกลัว ขอพระเจ้าประทานจิตใจกล้าหาญและรับฤทธิ์เดชจากพระองค์?


3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้
ผมขอสรุปหลักการไว้ดังนี้ คือการอธิษฐานเมื่อเผชิญการขัดขวางข่าวประเสริฐจากพระธรรมตอนนี้คือ
1.อธิษฐานอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (24ก.)
2.เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (24ข.)
3. เชื่อว่าอยู่ในแผนการของพระเจ้า (25-29)

ผลที่จะได้รับคือ ได้รับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และได้รับความกล้าหาญจากพระเจ้า(30-31)
ผมเชื่อว่าเมื่อเราถ่อมใจใช้หัวเข่าที่คุกเข่าลงอธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าจะประทานสติปัญญาในหัวคิดของเรา และประทานหัวใจแห่งความกล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐให้กับเรา แม้เราเผชิญการขัดขวาง
ขอพระเจ้าอวยพระพร พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น