22 กันยายน 2554

สายธารแห่งการชำระ สู่ชัยชนะในชีวิตนิรันดร์

สวัสดีครับเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการสัมมนา Cleansing Stream มีอาจารย์Chris Heyward และอาจารย์ Khoo Kah Leong มีหลายสิ่งที่ได้รับพระพรอย่างมาก ในครั้งนี้จึงได้เขียนบทความบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ
การสัมมนา Cleansing stream ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่รับการชำระบริสุทธิ์จากพระเจ้า หลังจากการสัมมนาครั้งนี้ สิ่งได้ที่เรียนรู้ทุกสิ่งไม่เพียงแต่เพียงการเรียนรู้ระดับข้อมูล (Knowledge) แต่ต้องรู้ถึงวิธีการในภาคปฎิบัติ (Know-how) และที่สำคัญคือการรู้หลักการเบื้องหลัง (Know-why) เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตของเราได้


Ralph Waldo Emerson นักปรัชญาชาวอเมริกัน เคยกล่าวไว้ว่า “…The man who knows how will always have a job. The man who also knows why will always be his boss. As to methods there may be a million and then some, but principles are few. The man who grasps principles can successfully select his own methods. The man who tries methods, ignoring principles, is sure to have trouble.” แปลได้ว่า “…คนที่รู้วิธีการย่อมมีงานทำเสมอ แต่คนที่เข้าใจเหตุผลด้วยจะได้เป็นหัวหน้าคนพวกนั้น วิธีการอาจจะมีเป็นล้านวิธี แต่หลักการนั้นมีไม่มาก คนที่เข้าใจในหลักการสามารถเลือกใช้วิธีการอย่างได้ผล คนที่ได้แต่ทำไปตามวิธีการโดยไม่สนใจหลักการย่อมเจอแต่ปัญหา”

ดังนั้น การเรียนรู้ทุกสิ่งไม่เพียงแต่เพียงการเรียนรู้ระดับข้อมูล (Knowledge) แต่ต้องรู้ถึงวิธีการในภาคปฏิบัติ (Know-how) ในการจัดการกับทุกปัญหา และที่สำคัญคือการรู้หลักการเบื้องหลัง (Know-why) เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตของเราได้ ขอเพิ่มเติมข้อคิดนี้คือต้องรู้จักผู้ประทานชัยชนะในชีวิตของเราด้วยคือพระเยซูคริสต์ผู้ชำระชีวิตของเรา อย่างนี้เรียกว่า Know-who
ในพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า

กาลาเทีย 5:1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่นและอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย

สิ่งสำคัญที่คุ้มกันเสรีภาพของเราคือ การอย่ายอมให้ตัวของเราถูกดึงกลับไปในเรื่องที่ได้รับการเสรีภาพแล้ว ให้เราได้ทำสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน สิ่งที่เป็นแนวทางปฎิบัติในการรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์มีดังต่อไปนี้
กล่าวคำอธิษฐานปลดปล่อยและป่าวประกาศคำแห่งชัยชนะ


ในสัมมนาครั้งนี้มีการให้นิยาม “จิตใจแบบลูกกำพร้า” คือ จิตใจที่รู้สึกโดดเดี่ยวและไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของใคร ต้องดูแลและพึ่งพาตนเองเพื่อความอยู่รอด

กล่าวคำอธิษฐานปลดปล่อยและป่าวประกาศคำแห่งชัยชนะตามพระวจนะดังนี้

ยอห์น 14:18 "เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน"

กาลาเทีย 4:6-7
6 และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่า "อาบา" คือ พระบิดา
7 เหตุฉะนั้นโดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท การสำนึกผิด ความอับอาย และการฟ้องผิด


สดุดี 34:5 เขาทั้งหลายเพ่งดูพระองค์ และเบิกบาน เพื่อหน้าตาของเขาจะไม่ต้องอาย วิญญาณการทำร้าย


สดุดี 147:3 พระองค์ทรงรักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ และทรงพันผูกบาดแผลของเขา

ผู้ที่มีวิญญาณของการเป็นเหยื่อ คือ วิญญาณที่ถูกส่งมาทำให้รู้สึกไร้อำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
กล่าวคำอธิษฐานปลดปล่อยและป่าวประกาศคำแห่งชัยชนะดังพระวจนะนี้

โรม 8:37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย

ป่าวประกาศคำแห่งชัยชนะไปสู่หนทางความบริสุทธิ์ ทั้งจิตใจ วาจา การกระทำ ชีวิตที่บริสุทธิ์ทางเพศ


อิสยาห์ 1:18 พระเจ้าตรัสว่า "มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ


1โครินธ์ 6:18 จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี บาปอย่างอื่นที่มนุษย์กระทำนั้นเป็นบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้น ทำผิดต่อร่างกายของตนเอง


ป่าวประกาศคำแห่งชัยชนะไปสู่ชีวิตที่ฟื้นจากความตาย ความเจ็บไข้และการสูญเสีย


โรม 8:38-39
38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย
39 หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้



ป่าวประกาศคำแห่งชัยชนะเหนือความหยิ่งและการถูกทำลาย

สุภาษิต 29:23 ความเย่อหยิ่งของคนนำเขาให้ต่ำลง แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ


นอกจากนี้เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าและกล่าวคำพยานของเราออกไปดังพระวจนะนี้

สดุดี 107:8 ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์

วิวรณ์ 12:11 เขาเหล่านั้นชนะพญามารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และเพราะคำพยานของพวกเขาเอง เพราะเขาไม่ได้เสียดายที่จะพลีชีพของตน

ให้เราได้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำและเล่าถึงคำพยานที่ได้รับการปลดปล่อยสู่เสรีภาพในพระองค์ เพราะมารซาตานวิญญาณชั่ว กลัวในการที่เราออกไปเล่าคำพยาน คำพยานนำมาซึ่งการปลดปล่อยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไปสู่ผู้ที่อยู่ในพันธนาการ


ลูกา 4:18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ


เราจะต้องรุกหน้าต่อไป…สู่ชีวิตที่รับการชำระบริสุทธิ์ เพื่อเราจะมีชีวิตที่มีเสรีภาพเต็มด้วยพระพรและการทรงสถิตของพระเจ้า
ขั้นตอนต่อไป เราจำเป็นต้องเรียนรู้จักความรักของพระบิดา เรียนรู้ความจริงในพระคุณการไถ่ในพระเยซูและดำเนินชีวิตสัมพันธ์สนิทกับพระวิญญาณบริสุทธ์ เพื่อรู้ในน้ำพระทัยของพระเจ้า
2โครินธ์ 13:14 ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสตเจ้า ความรักแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด

เรียกง่ายๆว่า ต้องเรียนรู้ในการรู้จัก รู้จริงและรู้ใจพระจ้า ดังต่อไปนี้

1. ดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ-เรียนรู้ในการรักษาทางในการเดินอย่างถูกต้องตามการทรงนำ
2. การมอบทุกสิ่งให้พระเจ้าดูแล-การมอบทุกสิ่งให้พระเจ้าทรงดูแลและวางใจในความรักของพระองค์
3. การพูดถ้อยคำแห่งความจริง-กล่าวถ้อยคำที่สอดคล้องต่อพระวจนะและกระทำตาม
4. เข้าสู่สายธารแห่งการชำระ-เพื่อไปสู่เสรีภาพและรับการรักษาให้หายดี


ก่อนที่เราจะเดินทางบากบั่นม่งสู่หลักชัย ลองทบทวนชีวิตด้วยคำถามต่อไปนี้
การบากบั่นมุ่งสู่หลักชัยหมายถึงอะไร และทำไมต้องบากบั่นมุ่งสู่หลักชัย ? โดยพิจารณาจากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ด้วยกัน


ฟิลิปปี 3:12-14
12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ
พระเจ้าทรงกำหนดหนทางให้เราไปสู่เป้าประสงค์ของพระองค์ เราจึงต้องไปสู่ความสำเร็จ


สดุดี 139:16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นส่วนประกอบของข้าพระองค์วันทั้งหลายทุกๆ วันที่กำหนดให้ข้าพระองค์นั้น ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์ เมื่อครั้งยังไม่เกิดวันนั้นเลย

ฮีบรู 12:1-2
1 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา
2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญและพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า


การบากบั่นมุ่งสู่หลักชัยทำได้อย่างไร?
เดินต่อไป…เปลี่ยนจากพระสิริหนึ่งไปสู่พระสิริหนึ่ง- รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เหมือนพระเจ้ามากยิ่งขึ้นในทุกวัน

2โครินธ์ 3:18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ

เราจะเป็นบุคคลที่เต็มด้วยการขอบพระคุณ…เต็มด้วยพระคำ – การขอบคุณเป็นการเลือกที่จะตอบสนองพระเจ้าต่อสิ่งที่พระองค์เป็นและทำในชีวิตของเรา การสะสมพระคำทำให้ชีวิตเต็มด้วยพระพร

สดุดี 119:11 ข้าพระองค์ได้สะสมพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์


เราจะเป็นบุคคลที่เต็มด้วยความเชื่อ…เต็มด้วยพระวิญญาณ (เอเฟซัส 5:18,โรม 10:17)
เราจะต้องเป็นคนใหม่ –เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
เราจะต้องจัดบ้านของคุณให้เป็นระเบียบ-ใจของเราเป็นบ้านของพระคริสต์ ต้องชำระใจของเราให้สะอาดและเชิญพระวิญญาณเข้ามาเพื่อรักษาใจอยู่เสมอ และคิดใคร่ครวญในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ


สุภาษิต 4:23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

ฟิลิปปี 4:8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู

ไม่หยุดเพียงเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือ “การออกไปปรนนิบัติผู้อื่น ปลดปล่อยสารธารการชำระออกไปสู่ผู้อื่น”


มาระโก 10:43-45
43 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย
44 และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง
45 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"



เมื่อเรารับการชำระบริสุทธิ์แล้วและมีเสรีภาพพ้นจากพันธนาการแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะเก็บไว้คนเดียวแต่เราต้องออกไปช่วยเหลือผู้อื่น พาคนเหล่านั้นไปสู่หลักชัยในพระเจ้าด้วยกัน เราจะต้องเดินต่อไปด้วยการมีชีวิตที่เต็มด้วยการขอบคุณ เต็มด้วยความเชื่อ เป็นคนใหม่ มีใจใหม่ใสสะอาดและไปปรนนิบัติผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ! รับการชำระบริสุทธิ์…บากบั่นมุ่งสู่หลักชัยด้วยกัน!

การเผชิญปัญหาและต้องจัดการกับปัญหา


มีคนเคยถามผมว่า “หากเราเชื่อในเรื่อง งานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขน (Finished work) แล้วเราต้องรับการเยียวยาและการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ไหม?”
ผมขอตอบไว้โดยสังเขปไว้ดังนี้

มีหลักความเชื่อเรื่อง งานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขน (Finished work) เชื่อว่า พระเจ้าต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา รักษาร่างกายของเรา และทำให้เราเจริญรุ่งเรือง เพื่อที่ว่าเราจะดำเนินชีวิตอยู่ในพระพร และมีชีวิตอยู่ในชัยชนะซึ่งจะทำให้เราสามารถมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้อื่นและ สามารถช่วยเหลือเขาได้


โดยสรุปคือ การพึ่งพาพระคุณของพระเจ้า และเชื่อในเรื่องสิ่งที่พระเยซูทำเสร็จแล้วที่กางเขน และ เราเป็นลูกของพระองค์แล้วอำนาจของวิญญาณชั่ว ไม่สามารถเข้ามาในเราได้

จากการวิเคราะห์สิ่งนี้ ผมคิดว่า การพึ่งพาพระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี และการเชื่อในเรื่องการงานที่สำเร็จแล้ว ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่มีข้อบางอย่างที่น่าเป็นห่วงคือความเชื่อที่ว่า การที่เชื่อว่า แหล่งแห่งชัยชนะและชีวิตที่ครบบริบูรณ์นั้น สามารถพบได้ในการงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขนเท่านั้น…

การพึ่งพาพระคุณของพระเจ้า และเชื่อในเรื่องสิ่งที่พระเยซูทำเสร็จแล้วที่กางเขน และ เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว อำนาจของวิญญาณชั่ว ไม่สามารถเข้ามาในเราได้

สิ่งเหล่านี้ หากมีมุมมองที่ไม่ครบถ้วน อาจจะเกิดความมั่นใจในตนเอง จนอาจจะไม่เปิดใจในการรับการชำระชีวิตและการปลดปล่อยเยียวยาในชีวิต รวมถึงการไม่ตระหนักในสงครามในฝ่ายวิญญาณ แม้ว่าเราเป็นไทแล้ว แต่สงครามในฝ่ายวิญยาณยังไม่จบ มารซาตานยังทำสงครามกับเราอย่างไม่สิ้นสุด


ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ การมั่นใจในวิธีการเดียวเท่านั้น ที่จะเชื่อว่าแหล่งแห่งชัยชนะและชีวิตที่ครบบริบูรณ์นั้น สามารถพบได้ในการงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขนเท่านั้น

การเชื่อแบบนี้ทำให้ไม่ยอมรับในเรื่องการเยียวยาและการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ เพราะคิดว่า พระเยซูทำสำเร็จแล้ว เราเพียงรับพระคุณ เราไม่ต้องทำอะไรอีก

ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะมองในมุมมองของวิธีการเยียวยารักษา ที่คลาดเคลื่อน คือ มองว่าการเยียวยาเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะพระเยซูคริสต์มีชัยชนะเหนือมารแล้วที่กางเขน หากว่ามาร แค่มันรู้ว่าเรามีความเชื่อในพระเยซู มันก็หนีเราแล้ว ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ และเพียงแค่เราจดจ่อและมองในความดี และ ความรักของพระองค์ ก็ทำให้เราได้รับการเยียวยาผ่านถ้อยคำของพระองค์แล้ว ไม่ต้องพึ่งวิธีที่มองในอดีต และ สารภาพทีละอย่าง ซึ่งเท่ากับว่าการที่ไม่เชื่อว่า ที่กางเขนพระองค์ทำสำเร็จแล้ว และการที่ต้องเยียวยาเรื่อย ๆ เพราะเราเปิดชองให้มารเข้ามาในความคิดผ่านอดีตที่ขมขื่น

ทำความเข้าใจในเรื่องงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขน (Finished work)

คำว่า “สำเร็จแล้ว” ที่พระเยซูพูดก่อนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

ยอห์นฺ 19:30 "เมื่อพระเยซู ทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า สำเร็จแล้ว"และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์…"

คำว่า "สำเร็จแล้ว" ที่พระเยซูตรัสขณะที่อยู่บนกางเขนนั้น (ยน.19:30)มาจากภาษากรีกคำว่า τετελεσται "เทเทเลสไท" ความหมายตรงตัวแปลว่า "จ่ายชำระหนี้หมดแล้ว"

หมายความว่า พระองค์ทรงจ่ายชำระหนี้บาปของมนุษย์ทั้งสิ้นหมดแล้ว เราไม่ต้องรับผลจากบาปที่เราทำอีกต่อไป


ดังนั้น คนที่ยอมให้พระเยซูคริสต์รับแบกบาปของเขาไป ก็เท่ากับว่าเขาไม่ต้องจ่ายหนี้บาปนั้นแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบันที่วันนี้ยังพ่ายแพ้อยู่ และบาปในอนาคต
ในส่วนนี้เป็นส่วนที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำให้กับเรา โดยที่เราไม่สามารถทำได้ เพราะเราไม่สามารถยกโทษบาปโดยตัวของเราเองได้
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่ทำให้ แผนการพระเจ้าสำหรับการช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและความตายฝ่ายวิญญาณสำเร็จแล้ว

1 ยอห์น 2:2 “และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลาย เพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่ของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และทรงประกาศชัยชนะของพระองค์เหนือความบาปและความตาย”

โดยสรุปคือ ความรอดนั้นรอดโดยทางนิตินัย แต่การรับการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์เพื่อไปสู่ความไพบูลย์ เป็นการกระทำตามพฤตินัย


ข้อสังเกตจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานที่สวนเกทเสมานี (ยอห์น 17:14-19)
14 ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่เขาแล้ว และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก
15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย
16 เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก
17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
18 พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น
19 ข้าพระองค์ชำระตัวถวายเพราะเห็นแก่เขา เพื่อให้เขารับการทรงชำระแต่งตั้งไว้โดยสัจจะด้วยเช่นกัน


จะเห็นได้ว่าพระเยซูคริสต์ได้อธิษฐานให้กับสาวกเพื่อชำระชีวิตให้ได้รับการปกป้องจากพวกมารร้าย และให้พวกสาวกออกไปสู่โลกเพื่อประกาศความจริงในเรื่องนี้ (18)

ดังนั้นสำเร็จแล้วคืองานของพระองค์ในการไถ่ แต่งานที่ยังไม่สำเร็จ คือ คริสตจักรของพระองค์ ที่จะต้องรับการชำระเพื่อไปสู่ความไพบูลย์และนำความจริงของพระเจ้าไปสู่โลกนี้

โคโลสี 1:24 บัดนี้ข้าพเจ้าปลื้มปีติในการที่ได้รับความทุกข์ยากเพื่อท่าน ส่วนการทนทุกข์ของพระคริสต์ที่ยังขาดอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็รับทนจนสำเร็จในเนื้อหนังของข้าพเจ้า เพราะเห็นแก่พระกายของพระองค์ คือคริสตจักร

พระเยซูทำสำเร็จแล้ว แต่ยังเหลือการประกาศเพื่อให้อาณาจักรพระเจ้ามาตั้งอยู่(มธ.6:10) คือการงานของเรา ที่ยังไม่สำเร็จ
อัครทูตเปาโลบอกว่าเป็นส่วนทนทุกข์ที่พระคริสต์ยังขาดอยู่ (จริงแล้วก็คือการมีส่วนในการทนทุกข์แบบพระองค์ ร่วมในพระกาย หรือ บัพติศในพระกาย คือ คริสตจักร เรียกให้ง่าย ก็คือ การรับใช้ นั่นเอง

การรับการชำระชีวิตเป็นกระบวนการต่อเนื่องไม่ใช่ทำเพียงครั้งเดียวเสร็จสิ้นแบบสิ่งที่พระคริสต์ทำที่กางเขน



พระเยซูคริสต์จึงให้รูปแบบกับสาวกในการบัพติศมาและการรับการชำระ
มัทธิว 3:11-12
11 เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
12 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"
ข้อ 12 บอกว่า “พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้
ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”


ลานข้าวของพระองค์คืออะไรครับ ลานข้าวของพระองค์ก็คือคริสตจักร พระองค์ถือพลั่วมาแล้ว

บัพติศมาด้วยน้ำคือจุ่มลงไปในน้ำตายกับชีวิตเก่า การบัพติศมาด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระองค์นำไฟมาแล้วและพระองค์จะชำระคริสตจักรของพระองค์ ถ้าคนในคริสตจักรดำเนินชีวิตอยู่ในความบาป อยู่ในการทำงานของผีร้ายวิญญาณชั่ว ในคริสตจักร คือพระองค์จะทรงล้างคริสตจักรของพระองค์ และให้สิ่งที่ไม่ดีออกไป
แกลบก็คือสิ่งที่เราไม่ต้องการแล้ว แกลบก็คือสิ่งเราต้องการทิ้งมันออกไป


ชีวิตคริสเตียนในคริสตจักรที่มีไฟของพระเจ้า จะเป็นชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว คนในคริสตจักรก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเป็นคริสตจักรที่มีสง่าราศี เป็นคริสตจักรที่มีพระสิริของพระเจ้า เพราะพระเจ้าลงมาเผาผลาญสิ่งที่ไม่ดีหรือสิ่งที่ชั่วร้ายออกไป

เมื่อเราพูดถึงคำว่าไฟนั้น จริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ คำว่าไฟนั้นมี 3 ประการด้วยกัน

1. ไฟแห่งพระวิญญาณ ไฟแห่งพระวิญญาณที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี่ ไฟสำหรับปัจจุบันนี้ สำหรับคริสตจักรที่พระเจ้าทรงส่งไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา ไฟแห่งการฟื้นฟู ไฟแห่งความบริสุทธิ์ลงมาชำระเผาผลาญ
เมื่อเราพูดถึงไฟ เราจำทองได้ไหมครับว่าทองถูกไฟเผาให้มันกลายเป็นของเหลวๆ และสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ก็ลอยขึ้นมา และช่างหลอมทองก็ตักเอาสิ่งไม่บริสุทธิ์ออกไป ไฟเป็นเรื่องของการเผาผลาญ พระเยซูพูดตอนนี้บอกว่า เผาผลาญแกลบก็คือสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกไป
2. ไฟนรก เชื่อว่าไม่มีใครอยากไปอยู่ในไฟนรกนิรันดร์กาล
3. ไฟแห่งการทดสอบและการทดลองในชีวิต เราต้องผ่านการทดสอบและการทดลอง เรา บัพติศมาคือจุ่มลงไปในไฟของพระเจ้า คำว่า "บัพติศมา" แปลว่าจุ่มลงไป เพื่อชำระคริสตจักรและคริสเตียนแต่ละคนให้บริสุทธิ์มากขึ้น มากขึ้น

สุภาษิต 17:3 เบ้ามีไว้สำหรับเงิน และเตาถลุงมีไว้สำหรับทองคำ และพระเจ้าทรงทดลองใจ
สุภาษิต 27:21 เบ้ามีไว้สำหรับเงิน เตาถลุงมีไว้สำหรับทองคำคำสรรเสริญของคนจะพิสูจน์คน
2 โครินธ์ 3:18 แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว จึงแลดูพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระวิญญาณ


ใน 2 โครินธ์ 3:18 บอกว่าเราพบพระเยซู เราเห็นพระเยซูผ่านพระวิญญาณ และเราจะถูกเปลี่ยนจากพระสิริระดับหนึ่งไปสู่พระสิริอีกระดับหนึ่ง และไปสู่พระสิริอีกระดับหนึ่ง


การบัพติศมา คือ การจุ่มให้มิด Baptizo เป็นการทำเพียงครั้งเดียวเสร็จสิ้น แต่การชำระคือคำว่า Hagiazo ชำระจนไปสู่ความไพบูลย์ (Entire Sanctification)

มัทธิว 5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ
โดยเหตุนี้ คริสเตียน จึงยังมีการทนทุกข์ที่ขาดอยู่เพื่อเติมเราให้สมควรแก่สง่าราศีในความไพบูลย์ (Entire Sanctification) ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความรอด เพราะเราได้อยู่แล้ว

ผู้เชื่อในงานที่สำเร็จแล้ว จะไม่ได้มองเรื่องนี้เป็น'งาน' แต่มองเรื่องนี้เป็น 'ผล' ของการที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ทำงานของพระองค์ผ่านเราออกมา (Manifestation) จะสะท้อนออกมาเป็นผลพระวิญญาณ(กท.5:22-25) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการเจริญเติบโตในรูปแบบหนึ่ง

ดังนั้นในความเข้าใจของผม งานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขน (Finished work) เป็นส่วนหนึ่งของงานที่พระองค์ทำให้เรา แต่เราจะต้องสะท้อนผลของงานนั้นออกมาคือ การพัฒนาชีวิตไปสู่ผลของสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เราบนการกางเขน ฉะนั้น “งานเข้าละครับ” และเป็น “งานช้าง” ครับ และเราจะต้องเข้าสู่กระบวนการชำระเพื่อไปสู่ความไพบูลย์ในพระคริสต์


แม้ว่าเราจะเป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยทางนิตินัย คือ ผ่านทางความเชื่อในเรื่องการชำระบาปที่กางเขน(อฟ.2:8-9) การกระทำไม่ทำให้รอด แต่เราต้องทำในส่วนของเราคือรับด้วยความเชื่อ แต่ในภาคปฎิบัติเราคงต้องอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป เปรียบเสมือนกองขยะ เราจึงได้รับอิทธิพลของความบาปเข้ามา ดังนั้นเราจึงต้องอาบน้ำต้องชำระชีวิตเสมอ

1ยอห์น 1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น

เป็นกระบวนการชำระในบริสุทธิ์ (Sanctification) อะไรที่เป็นการงานของพระองค์ เราทำไม่ได้ คือ การไถ่บาป เราทำเองไม่ได้ เราจะต้องร่วมมือกัน เช่นการชำระบาป เราต้องขอให้พระเจ้าเข้ามาเยียวยารักษา

กระบวนการชำระที่ต่อเนื่องไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์
โรม 12:1-2
1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย
2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม


กระบวนการชำระ เริ่มจากการถวายชีวิตของเรา และรับการเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อไปสู่ความไพบูลย์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นจึงต้องเริ่มจากการักษาใจ เพราะจิตใจภายในเป็นตัวกำหนดการกระทำภายนอก

สุภาษิต 4:23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

ฉะนั้นหลายคนก่อนมารู้จักพระเจ้ามีบาดแผลจากการถูกทำร้ายในด้านจิตใจ การเยียวยาเป็นส่วนหนึ่งในการชำระชีวิต เพื่อพัฒนาไปสู่กระบวนการชำระที่สมบูรณ์
บางกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องการเยียวยา ก็จะให้มองไปที่อนาคต โดยมองที่พระสัญญาของพระคริสต์และหวังใจในอนาคตที่จะเกิดขึ้น การกล่าวถึงอดีตเป็นสิ่งที่ไม่ดีทำให้ทุกข์ใจโดยเฉพาะอดีตที่มีความทุกข์ใจ
ก็จะใช้วิธีการลืมอดีตที่ผ่านมา แต่ในความเป็นจริง การลืมอดีตไม่สามารถลืมได้ เหมือนคนที่มีบาดแผลอยู่แล้ว แต่พยายามลืมความเจ็บปวดจากบาดแผล เมื่อกล่าวถึงอดีตจะมีความรู้สึกเหมือนการไปจี้บาดแผลที่เกิดขึ้นในอดีต
คนที่บาดเจ็บ ก็จะไปทำร้ายให้คนอื่นบาดเจ็บ เหมือนคนที่ป่วยจะไม่ยอมรับว่าจนเองป่วย และไปแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ ดังนั้นจึงต้องมีการเยียวรักษาและการปลดปล่อยจากวิญญาณชั่วร้าย

ข้อคิดจาก อ.เจริญ ยธิกุลในเรื่องการเยียวและการปลดปล่อย

ทำความเข้าใจเรื่องการเยียวยา
การเยียวยา คือ การรักษา สภาพจิตใจและจิตวิญญาณที่ชอกช้ำ ซึ่งถูกล่วงละเมิดทางอารมณ์ จิตใจ หรือร่างกาย และเนื่องจากการชอกช้ำและความบาดเจ็บที่ได้รับนั้น ทำให้หลายต่อหลายคนที่มีศักยภาพสูงแต่เขาไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพนั้นออกมา ได้ เนื่องจากความเจ็บช้ำและความชอกช้ำของบาดแผลในจิตใจ

ทำไมเราต้องสนใจกับการเยียวยา?
เพราะบาดแผลนั้นๆ มีผลต่อการประพฤติในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน บางคนดำเนินชีวิตในความละอาย หรือต่อสู้กับตัวเอง เกลียดตัวเอง เพราะดูภาพตัวเองไม่น่ารัก ซึ่งเกิดจากผลของการกระทำของคนที่มีอิทธิพลต่อเราทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่การกระทำบางเรื่องก็ไม่มีผลต่อคนๆ นั้น แต่สำหรับบางเรื่องก็มีผล เรื่องนี้เราสรุปคิดแทนหรือตั้งทฤษฎีขึ้นมาไม่ได้นะครับ สิ่งที่เรารู้มานั่นคือว่าบางคนไม่สามารถต้านทานต่อบาดแผลนั้น และบาดแผลนั้นได้ส่งผลออกมาทางความประพฤติ อารมณ์ และอาจส่งผลต่อครอบครัวและคนรอบข้าง โดยที่เขาก็รู้ตัวและอยากหายจากอาการเหล่านี้
มีหลายคนถูกล่วงละเมิดทางอารมณ์และจิตใจอยู่เป็นประจำ เลยสร้างพฤติกรรมที่ปกป้องตัวเองขึ้นมา ถูกบ้างผิดบ้าง ส่วนนี้อยู่ที่แต่ละบุคคล เพราะหากบางคนมาจากครอบครัวหรือมีภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง สามารถอดทนต่อบาดแผลเหล่านี้ได้ก็ไม่มีผลต่อเขา แม้อาจมีบ้างก็มีน้อยมากเป็นช่วงสั้นๆ แต่ถ้าหากบางคนมาจากสภาพครอบครัวที่ไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันแก่เขา ศักยภาพหรือเสรีภาพในตัวเขาก็จะถูกบาดแผลทำลายไปในแต่ละวัน จนต่อมาเขาจะกลายเป็นคนที่ไร้ศักยภาพ ถ้าเราจะคิดแบบมนุษย์ ก็คือ แต่ละคนมีความเข้มแข็งไม่เท่ากัน งานของเราก็คือช่วยคนที่ไม่เข้มแข็ง ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือให้เขาเรียนรู้วิธีเยียวยา เพื่อต่อไปเขาจะสามารถไปช่วยลูก หลาน หรือเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเขาได้ครับ
หลายคนคิดว่าทำไมเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้วต้องรับการเยียวยา เพราะเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้วพระองค์ก็ทรงจัดการชำระและนำความผิดบาปของเราไป ที่กางเขนแล้ว แต่เราอย่าลืมว่า ขณะที่เราดำเนินชีวิตไปในแต่ละวันนั้น เราต้องเจริญสู่ความเชื่อ เราต้องผ่านมรสุม เหมือนต้นไม้ที่เติบโตต้องโดนฝน โดนความร้อน โดนความหนาว โดนคนเดินเหยียบย่ำ โดนชนบ้าง เราจึงจำเป็นต้องจัดการด้วยการมีชีวิตใหม่ นิสัยใหม่ ค่านิยมใหม่ และรับสิ่งเหล่านี้จากพระวจนะพระเจ้า และรับการช่วยเหลือจากพระองค์ แต่บางคนไม่ได้เข้มแข็งแบบนั้น หรือมีตัวเร้าให้บาดเจ็บผ่านสถานการณ์ ผ่านคนรอบข้าง เขาอยากเป็นคนดี อยากมีใจบริสุทธิ์ อยากมีชัยชนะต่อเหตุการณ์เหล่านี้ สิ่งเดียวครับที่ช่วยได้ พันธกิจการเยียวยาก็เพื่อช่วยและสอนให้เขาปกป้องตัวเองได้

ทำความเข้าใจเรื่องการปลดปล่อย
การปลดปล่อย คือ ปล่อยคนๆนั้นที่ถูกผูกมัดโดยการสาบาน หรือการผูกมัดด้วยวิญญาณ หรือเสพย์ติดบางเรื่อง จนไม่สามารถหลุดได้ เพราะการถูกผูกมัดนี้เองทำให้เขาผู้นั้นไม่มีอิสระจากวิญญาณจิต เพราะการครอบงำมันมี 3ระดับ

ระดับอ่อนๆ คือ การครอบงำ เป็นสิ่งที่ครอบงำในสมอง เราต่อสู้กับความคิดในสมอง
ระดับที่สอง คือ ครอบครอง คือ นิสัยพฤติกรรมบางเรื่องครอบครองจิตใจความคิดหนักกว่าครอบงำ เช่น สามีหลายคนยอมทะเลาะกับภรรยา เพื่อจะได้ดูผลและเล่นการพนันตอนดึกๆ ซึ่งต่างกับครอบงำ ครอบงำคือยังไม่ทำ คิดแค่ในสมอง
ระดับครอบครองเต็มที่ คือ ถ้าไม่ได้ทำจะทรมาน ถ้าไม่ได้ทำจะหงุดหงิดมาก สรุปคือ การเยียวยาเป็นการรักษาบาดแผลและอาการบาดเจ็บ ปลดปล่อย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการถูกผูกมัด

บางคนต้องรับการปลดปล่อยและการเยียวยาคู่กันเลย เพราะชีวิตเหมือนเปลือกหัวหอมมีหลายชั้นซ่อนอยู่ข้างใน แน่นอนในการช่วยเหลือผู้ต้องการรับการปลดปล่อยนั้นต้องการทั้งการบำบัดและ ปลดปล่อย บางคนมีทั้งเรื่องบาดแผลที่พ่ายแพ้บาดเจ็บบวกกับถูกครอบงำในสมองความคิดด้วย ผู้บำบัดก็ต้องช่วยกันไปตามความเร่งด่วนหรือการสำแดงของอาการ เช่น เขาต่อสู้กับเรื่องใดหรือนิสัยนั้นๆ ที่มีผลเสียต่อคนรอบข้างก็ต้องจัดการครับ

ข้อคิดจาก Pastor Chris Hayward
“การปลดปล่อยไม่ควรถูกมองว่าเป็นเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวในชีวิต หากแต่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง คนหนึ่งคนใดสามารถรับการปลดปล่อยให้มีเสรีภาพทันทีจากพันธนาการที่เจาะจง ในชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อย่างไรก็ตามทุกคนซึ่งยังอยู่ในร่างกายนี้จักต้องรุกหน้าต่อไปสู่การมี ชีวิตเหมือนพระคริสต์”

การที่ไม่รับการเยียวยาและปลดปล่อยจะเกิดข้อเสียคือ การพึ่งพาพระคุณของพระเจ้า จนเกิดความประมาท และใช้การพึ่งพาพระคุณทำให้ทำบาป ตอบสนองความต้องการของเนื้อหนังของตนเอง ไม่รับการปกคลุมในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งจะถูกมารซาตานเข้ามาโจมตีได้
1เปโตร 5:8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้

ทำความเข้าใจเรื่องการถูกครอบงำจากมาร
คำถาม คือ คริสเตียนถูกมารเข้าครอบงำได้ไหม คำตอบคือ ได้ครับ ถ้าเปิดช่อง..ให้มันเข้ามา

พระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนว่าคริสเตียนจะถูกครอบงำโดยผีมารได้ไหม แต่เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา (โรม 8:9-11; 1 โครินธ์ 3:16; 6:19) จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงอนุญาตให้ผีมารเข้าครอบครอง ผู้ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่
หากเราเปิดช่องจะถูกครอบงำโดยผีมารได้ การถูกครอบงำหมายถึงการมีอำนาจควบคุมเหนือความคิด และ/หรือการกระทำของคน ๆ นั้น (ลูกา 4:33-35; 8:27-33; มัทธิว 17:14-18) การครอบงำ/มีอิทธิพลต่อชีวิต หมายถึงผีมารหรือพวกของมันโจมตีคน ๆ นั้นฝ่ายวิญญาณ และ/หรือบังคับให้คน ๆ นั้นทำความบาป (1 เปโตร 5:8-9; ยากอบ 4:7)


ตัวอย่างในพระคัมภีร์ เปโตร อัครสาวกยังถูกครอบงำทางความคิดได้
มัทธิว16:23 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า "อ้ายซาตานจงไปให้พ้นเจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้าคิดอย่างคน มิได้คิดอย่างพระเจ้า"

พระเยซู รักษา หญิงหลังค่อมคนนึง พระองค์บอกว่า หญิงนี้ถูกผีพันธนาการมา 18 ปี อะไรประมาณนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกหลานของอับราฮัม (ทางความเชื่อ)
ลูกา 13:11และมีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีเข้าสิงทำให้เป็นโรคสิบแปดปีมาแล้ว หลังโกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย
ลูกา 13:12 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นจึงเรียกและตรัสกับเขาว่า "หญิงเอ๋ย ตัวเจ้าหายพ้นจากโรคของเจ้าแล้ว"
ลู กา [13:16] ฝ่ายผู้หญิงนี้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม ซึ่งซาตานได้ผูกมัดไว้สิบแปดปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้เขาหลุดพ้นจากเครื่องจำจองอันนี้ในวันสะบาโต"

ระดับของการครอบงำของวิญญาณชั่ว
1. เราต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่าผีเข้าเสียก่อนครับ หากคำว่า “ผีเข้า” คือการถูกผีควบคุมทั้งหมด กาย จิต วิญญาณ แล้วก็จากข้อพระคัมภีร์ข้างบนย่อมหมายถึงพระสัญญาพระเจ้ารับประกันว่าผีมัน ไม่มีทาง

2. หากเป็นการถูกแทรกแซงแล้วก็ มารแทรกแซง แอบย่องเบา ใส่ความคิด ยน.10.10 มันทำได้ครับแต่มันครอบครองคริสเตียนไม่ได้เพราะพระเจ้าคือเจ้าของเรา
1 ซมอ 16:14 ฝ่ายพระวิญญาณของพระเจ้าก็พรากจากซาอูลและวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็ทรมาน(tormented him )ซาอูลทรมานไม่ได้หมายความว่าเข้านะครับ
1 ยน.5.18 เราทั้งหลายรู้ว่าคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปแต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขาและมารร้ายไม่แตะต้องเขา
1 ยน.5.18 หากเราไม่ทำบาป มารยังแตะไม่ได้เลย อย่าว่าแต่เข้านะครับ

อฟ 1:13-14
13 ในพระองค์นั้นท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะคือข่าว ประเสริฐเรื่องความรอดของท่านและได้วางใจในพระองค์ได้รับการผนึกตราไว้ด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา
14 เป็นมัดจำของการรับมรดกของเราจนกว่าเราจะได้รับเป็นกรรมสิทธิ์เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์


ตรามัดจำนั้นหมายถึงตราประทับแห่งสิทธิอำนาจ มารร้ายแตะต้องเราไม่ได้ โลกฝ่ายวิญญาณรู้ ไม่ว่าระดับเจ้าแห่งย่านอากาศ อิทธิเทพ ล้วนรู้จักและที่สำคัญวิญญาณเหล่านั้นแตะไม่ได้ (1ยน.5.18) ลบไม่ได้ คนลบได้คนเดียวคือเราเอง วิธีลบไม่ยากครับ ง่ายนิดเดียวปฏิเสธความเชื่อในพระเยซู … คราวนี้ 7 ผีร้ายจะเข้ามาในชีวิต (มธ.12.25)

ทำไมต้องรับการเยียวยาปลดปล่อย

โดยเฉพาะคริสตชนที่เชื่อในเรื่อง ความรอด (Salvation) “ความรอด” มักเชื่อว่า ทุกสิ่งสำเร็จที่กางเขน แล้ว แต่อย่าลืมว่า หลายเรื่องฝ่ายวิญญาณสำเร็จจริงๆ ในนิตินัย แต่ด้านพฤตินัย เราคงรำคาญ กับนิสัย อาการที่เราอ่อนแออยู่ ก็คือ บางเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้ มันกำลังรอด ต้องพึ่งการสารภาพ การบำบัด ปลดปล่อยอย่างเป็นขบวนการ

อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ บาดแผล หรือ การกระทำในวัยเด็ก การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม และสังคมที่เราอยู่ บวกกับความอ่อนแอของเราในตอนนั้นๆ บางคน สามารถชนะได้อย่างง่ายดาย แต่บางคน ไม่สามารถผ่านไปได้ จำเป็นมากที่การให้คำปรึกษา การบำบัดเยียวยาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะอยู่ในระดับไหน แล้วแต่กรณีไป
บางคน บางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องรับการบำบัดจากผู้บำบัด เพราะหลังจากรับความรอด ได้เข้าสู่สังคมใหม่ๆ ของกลุ่มคริสตชน และการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า การอธิษฐาน ภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล การสามัคคีธรรมในกลุ่มย่อย ความรักเหล่านี้สามารถเยียวยา ชดเชยเขาได้และการเจริญเติบโต ผ่านการอ่านวรรณกรรม คำสอนทุกวันอาทิตย์ที่โบสถ์ที่เป็นเหมือนอาหารฝ่ายจิตวิญญาณของเรา เหมือนการรับน้ำใหม่เข้ามา ขับไล่น้ำเก่า แต่นิสัย บาดแผล บางคนต้องการรับการดูแลจากผู้ทำการบำบัดเป็นระยะๆ

ข้อวิพากษ์เกี่ยวกับเรื่องงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขน (Finished work)

1. หากเชื่อในเรื่องการทำสำเร็จแล้วของพระเยซูบนกางเขน เพียงครั้งเดียวเป็นการพอเพียง หมายความว่าในเรื่องอื่นๆ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นคือหลักการเสมอต้นเสมอปลาย เช่น อธิษฐานก็ทำเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอ หรือ สารภาพบาปก็ต้องทำเพียงครั้งเดียวไม่ต้องทำหลายครั้ง สิ่งนี้จะขัดแย้งกับ 1 ยอห์น 1:9 คือสารภาพบาปอย่างเสมอ หรือ เรื่องอื่นๆ เช่นการชำระครั้งเดียวเพียงพอ แสดงว่า การอาบน้ำครั้งเดียวก็เพียงพอ แต่ในความเป็นจริงคือ เราต้องอาบน้ำทุกวัน

2. การพึ่งพาพระคุณของพระเจ้าที่กางเขนเพียงอย่างเดียวจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิต คือ การพึ่งพาแต่พระคุณของพระเจ้า จนทำให้ทำตามใจตนเอง ไม่สนใจการดำเนินชีวิตไปสู่ความบริสุทธิ์ในทางพระเจ้า เพราะคิดว่าพระเยวูคริสต์ทำให้แล้ว ไม่ต้องทำส่วนของตนเอง


3. การพึ่งพาพระคุณของพระเจ้าที่กางเขนเพียงอย่างเดียวจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิต คือ การไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากบุคคลอื่นๆ เช่นการอธิษฐานเยียวยาและปลดปล่อยจะส่งผลเสียในชีวิตฝ่ายวิญญาณ

4. การพึ่งพาพระคุณของพระเจ้าที่กางเขนเพียงอย่างเดียวจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิต คือจะคิดว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องทำวิธีการอื่นๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น