04 สิงหาคม 2554

นมัสการในมิติสวรรค์

สวัสดีครับผุ้อ่านทุกท่าน ในช่วงวันที่ 4-6 ส.ค.นี้จะมีการจัด สัมมนา "Worship as it is in Heaven" นมัสการในมิติสวรรค์
ในครั้งนี้ ดร.ชัค เพียร์ซ (Dr.Chuck D.Pierce) มาเป็นวิทยากร และได้นำอาจารย์จอห์น ดิคสัน(John Dickson)
ท่านเป็นผู้สอนและผู้นำทีมนมัสการของ Glory of Zion
ผมเชื่อว่าเมื่อเสียงแห่งการนมัสการของ คริสตจักรต่างๆ ในประเทศไทยได้เปล่งออกมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราทั้งหลายจะได้เห็นพระพรของพระเจ้าเจิมลงมาสู่ประเทศไทย ดังคำเผยพระวจนะของดร.ชัค เพียร์ซ ที่เคยกล่าวไว้ว่า
จงเตรียมตัวให้พร้อมเพราะเจ้าจะเป็นผู้เปิดประตูนำไปสู่การนมัสการ นมัสการ และนมัสการโลกนี้จะรู้จักประเทศไทยว่าเป็นแผ่นดินแห่งการนมัสการ

เราจะได้เห็นสิ่งนี้ร่วมกันในอนาคตข้างหน้า สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ ผมเชื่อว่าพี่น้องจากคริสตจักรต่างๆ จะได้รับพระพรกลับไปอย่างมากมาย
การนมัสการในมิติสวรรค์เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายปรารถนาที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา
ในครั้งนี้ผมได้ขอแบ่งปันจากการศึกษาพระธรรมวิวรณ์ในบทที่ 4:1-11 ซึ่งเป็นรูปแบบการนมัสการในมิติสวรรค์ซึ่งอัครสาวกยอห์นได้รับการสำแดงและเขียนให้เราได้อ่าน
สิ่งที่ยอห์นเขียนถึงการสำแดงเรื่อง "การนมัสการในมิติสวรรค์" ซึ่งมีภาพสัญลักษณ์และความหมายมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ต้องมีการตีความ
แต่ก่อนอื่นใดเราจะมาทำความเข้าใจกับคำว่า "การนมัสการพระเจ้า"

อัครสาวกยอห์นได้เขียนบันทึกคำกล่าวของพระเยซูคริสต์ในเรื่องการนมัสการ ไว้ดังนี้

ยอห์น 4:23-24
23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

ฉะนั้น "การนมัสการ" พระเจ้านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า "จิตใจของเราพร้อมในการนมัสการ" เพราะการนมัสการมาจากส่วนลึกในชีวิตของเรา คือ จิตวิญญาณ หรือ "เราต้องนมัสการที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น" แต่การนมัสการที่แท้จริงนั้น เริ่มต้นมาจากจิตวิญญาณของเราไปสู่มิติแห่งฟ้าสวรรค์ ด้วยความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า
เพราะหาก "ปราศจากความจริง" แล้ว "สิ่งที่พึงกระทำก็คงไม่มีจุดมุ่งหมาย หรือไร้ความหมาย" เหมือนเครื่องดนตรี ฆ้อง ฉาบที่เปล่งเสียงอย่างไร้ความหมาย(1คร.13:1) แต่การนมัสการมาจากเครื่องดนตรีที่อยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา
พระเยซูคริสต์พระองค์ทรงกำหนดนิยาม "การนมัสการ" อย่างสั้นๆ และเข้าใจง่ายๆ โดยให้กับหญิงชาวสะมาเรียว่า "ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

การนมัสการพระเจ้าเป็นการแสดงรู้สึกต่อพระเจ้าจากจิตวิญญาณภายในเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติ, เห็นคุณค่าและรู้สึกขอบพระคุณพระเจ้า เป็นต้น
โดยสรุปคือ การนมัสการเป็นการนมัสการในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นในชีวิตของเรา และการสรรเสริญเป็นการ
สรรเสริญสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา เพราะพระเจ้าทรงรักเราแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์รักเราในตัวตนที่เราเป็น ไม่ใช่ทรงรักเราเพราะสิ่งที่เราทำให้พระองค์
เมื่อผมไปศึกษาคำนิยามจากวิกิพีเดีย สารานุกรม (http://th.wikipedia.org/wiki/การนมัสการ)
การนมัสการ เป็นศัพท์ความหมายเฉพาะของชาวคริสศาสนา นิกายโปรเตสเตนท์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “worship” มาจากภาษา Anglo-Saxon ว่า “worthscipe” หรือ “worthship” หมายถึง การตอบสนองภายในจิตใจด้วยการแสดงออกมา อันเนื่องมาจากการที่เห็นความสำคัญและคุณค่าของสิ่งนั้นหรือคนนั้น
พระธรรมสดุดีบทที่ 96 ข้อ 8 กล่าวว่า จงถวายพระสิริ ซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระเจ้า จงนำเครื่องบูชาและมายังบริเวณพระนิเวศของพระองค์นั่นคือภาพในสมัยก่อนการเสด็จมากำเนิดของพระเยซูคริสต์ คนที่เห็นคุณค่าพระเจ้าจะนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระเจ้าเป็นการนมัสการ

นมัสการในภาษาฮีบรู ถูกใช้ด้วยคำ 2 คำคือ

1.Shachah (ชา-ช่า)שָׁחָה แปลว่า ก้มกราบ หมอบราบลงกับพื้น
2.Abodah (อะ-โบ-ด้า)עֲבֹדָה แปลว่า การปรนนิบัติรับใช้ผู้ที่อยู่สูงกว่าตน แปลความว่าถ้าเรานำเอาสองคำนี้มารวมกัน คนที่นมัสการพระเจ้าก็คือ คนที่ยกชูพระเจ้าในชีวิต ให้เป็นเจ้าชีวิต มีสิทธิอำนาจสูงกว่าตนเอง และแสดงออกมาภายนอกด้วยการกราบไหว้บูชา พร้อมทั้งยอมปรนนิบัติรับใช้พระองค์

คำว่า "นมัสการ" ในภาษากรีก มีคำหลักสองคำด้วยกันคือ

1.Proskuneo (พอส-คูเน-โอ) προσκυνέω แปลว่า เข้ามาอยู่ข้างหน้าเพื่อจูบที่มือ อันเป็นการแสดงถึงการยกย่องเทิดทูนบูชา
2.Latruo (เลส-ทรู-โอ)λατρεύω แปลว่า ปรนนิบัติรับใช้เจ้านาย ในที่นี้จึงอาจมใช้กับพระเจ้าได้

การนมัสการของคริสเตียน มีความหมาย 2 นัยคือ

1.เป็นท่าทีในจิตใจของเรา ที่มีความรักใคร่เทิดทูน เคารพยำเกรง
2.เป็นการแสดงออกด้วยการรับใช้ปรนิบัติ

รูปแบบการนมัสการในมิติสวรรค์จากหนังสือวิวรณ์ในบทที่ 4 ผมขอใช้คำว่า "เห็นนิมิต" ตามที่มีบันทึกในหนังสือวิวรณ์ในบทนี้ กล่าวไว้ว่าในข้อที่ 1

"
ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นประตู สวรรค์เปิดอ้า แลอยู่ และพระสุรเสียงแรกซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้น ได้ตรัสกับข้าพเจ้าดุจเสียงแตรว่า "จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นในภายหน้า"
พระธรรมวิวรณ์ได้บรรยายให้เราเห็นภาพดังต่อไปนี้
2 ...มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ และมีท่านองค์หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น
3 และท่านผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นปรากฏประดุจแก้วมณีโชติและแก้วทับทิม และมีรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งนั้น ดูประหนึ่งแก้วมรกต
4 และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มขาวและสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ

อัครสาวก
ยอห์นเห็นนั้นทำให้เข้าใจว่าบรรยากาศ "ในมิติสวรรค์" ดังนี้
สิ่งแรกที่เห็น คือ "พระที่นั่ง"- "มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ และมีท่านองค์หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น "- ท่านองค์หนึ่ง หมายถึง "พระเยซูคริสต์" ทรงประทับบนพระที่นังสูงสุดด้วยความสง่างาม ความโอ้อ่าตระการของอัญมณีที่ประดับ3 สิ่งซึ่งสะท้อนถึง พระสิริของพระองค์
"แก้วมณีโชติ" คือ เพชรสีน้ำเงินที่สวยที่สุดท่ามกลางอัญมณีทั้งหมด มีน้ำงามส่องประกายด้วยแสงสะท้อนประกายเหนือคำบรรยาย เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระเจ้าสิริของพระเจ้าคือความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระองค์ แก้วมณีโชติเป็นสัญลักษณ์ของการเล็งถึงพระเจ้าพระบิดาด้วย เล็งถึงกษัตริย์ของผู้ประทับบนบัลลังก์

"แก้วทับทิม" สีของแก้วทับทิมเป็นสีคล้ายสีแดงของเลือด เล็งถึงพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะทรงเสด็จเข้ามารับสภาพเป็นมนุษย์ตายบนไม้กางเขน และไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ

"แก้วมรกต" สีเขียวมรกต เปล่งรัศมีรอบๆพระที่นั่งซึ่งเป็นภาพของรู้งกินน้ำ เป็นสัญลักษณ์เล็งถึงพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับมนุษย์ในสมัยโนอาห์(ปฐก.9:9-26)ว่าจะไม่พิพากษาโลกโดยให้น้ำท่วมโลกอีก นอกจากนี้เป็นสัญลักษณ์เล็งถึงการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
จะเห็นได้ว่าที่พระที่นั่งที่ประทับนั้นเป็นภาพสัญลักษณ์การทำงานร่วมกันของตรีเอกนุภาพ

4 และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มขาวและสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ
5 มีฟ้าแลบฟ้าร้อง และเสียงต่างๆดังออกมาจากพระที่นั่งนั้น และมีคบเพลิงเจ็ดดวงจุดไว้ตรงหน้าพระที่นั่ง คบเพลิงเหล่านั้นคือวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า


สิ่งที่ 2
คือ ที่นั่งของ "ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน" นุ่งห่มเสื้อสีขาว และสวมมงกุฎ นักวิชการพระคัมภีร์ได้ตีความไว้หลายความหมายทั้งเรื่องเป็นตัวแทนอัครทูตทั้ง 12 คนในพระคัมภีร์เดิมและ 12 คนในพระคัมภีร์ใหม่ หรือ อาจจะเป็น 24 อัครทูตในอดีตถึงอนาคต บางทัศนะก็ให้ทำความเข้าใจง่ายๆ ก็คือ "ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน" หมายถึง "เวลา 24 ชั่วโมง" ในทัศนะนี้จะสอดคล้องกับหลักข้อเชื่อของคริสเตียนว่า "เมื่อเราไปสวรรค์" มีสิ่งเดียวที่เราจะทำก็คือ "การนมัสการพระเจ้าตลอดวันเวลา 24 ชั่วโมงแบบ Non stop"

สิ่งที่เป็นข้อคิดอีกประการคือเลข 7 จากข้อ 5"และมีคบเพลิงเจ็ดดวงจุดไว้ตรงหน้าพระที่นั่ง คบเพลิงเหล่านั้นคือวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า" เลข 7 หมายถึงคือ "ความสมบูรณ์"และ"การพักสงบ" ของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกนี้หกวัน และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพัก" ฯลฯ เป็นต้น
นอกจากนี้เราจะพบว่า "เลขเจ็ด" นี้เป็นคีย์สำคัญที่จะบ่งบอกถึง "วัน เวลา" หรือ อายุของโลก หรือการสิ้นยุค นั้นเอง...
สรุปเบื้องต้น ณ ที่นี้คือ การนมัสการในมิติสวรรค์คือการนมัสการที่ทะลุมิติแห่งเวลา เรียกว่า 24/7 คือนมัสการตลอดทั้งวันและคืน ที่สวรรค์เป็นที่น่าจะไปสัมผัสจริงๆ
สิ่งที่3 ที่เราเห็นได้จากพระธรรมตอนนี้คือ "สัตว์ทั้งสี่"
6 และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นมีทะเลแก้วดูเหมือนแก้วผลึก และท่ามกลางพระที่นั่งและล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีสัตว์สี่ตัว ซึ่งมีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง (วว. 15:2;) 7 สัตว์ตัวที่หนึ่งนั้นเหมือนสิงโต สัตว์ตัวที่สองนั้นเหมือนลูกโค สัตว์ตัวที่สามนั้นมีหน้าเหมือนมนุษย์ และสัตว์ตัวที่สี่เหมือนนกอินทรีกำลังบิน 8 สัตว์ทั้งสี่นั้นแต่ละตัวมีปีกหกปีกอยู่รอบตัว และมีตาเต็มข้างใน และสัตว์เหล่านั้นร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงสภาพอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงสภาพอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา"
9 เมื่อสัตว์เหล่านั้นถวายคำสรรเสริญ ถวายพระเกียรติ และคำขอบพระคุณแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ 10 ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่นั้นก็ทรุดตัวลงจำเพาะพระพักตร์พระองค์ ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า 11 "โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติ และฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้วและดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของ พระองค์"
สิ่งนี้เป็นข้อสงสัยอย่างมากในการอ่านพระธรรมตอนนี้ ที่ต้องอาศัยการตีความและการรับการสำแดงจากพระเจ้า อัครสาวกยอห์นได้เห็น "สัตว์ทั้งสี" ที่มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

สัตว์ตัวแรก เหมือนกับ "สิงห์" สัตว์ตัวที่สอง เหมือนกับ "ลูกโค" สัตว์ตัวที่สาม มีหน้าเหมือนกับ "มนุษย์" สัตว์ตัวที่สี่ เหมือน "นกอินทรีย์กำลังบิน"
มีแนวความคิดในเรื่องสัตว์ทั้ง 4 ที่ยอห์นได้เห็นเป็นภาพเดียวกับที่เอเสเคียลและดาเนียล ผู้เผยพระวจนะได้เห็น
เอเสเคียล 10:14 มีหน้าสี่หน้าทั้งนั้น หน้าแรกเป็นหน้าเครูบ หน้าที่สองเป็นหน้ามนุษย์ และหน้าที่สามเป็นหน้าสิงห์ และที่สี่เป็นหน้านกอินทรี
นักวิชาการพระคัมภีร์บางท่าน ตีความในเชิงอนาคตศาสตร์ เล็งถึงการปกครองของโลกในช่วงราชอาณาจักรต่างๆ เช่น บาบิโลน กรีก และโรมัน หรืออาจจะหมายช่วงเวลาในยุคสุดท้าย ซึ่งเราต้องศึกษากันต่อไป
ความคิดส่วนตัวของผมเชื่อว่าสิ่งที่ยอห์นเห็นนั้นน่าจะเป็น "ทูตสวรรค์ เสราฟิม" เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า "มี ตาเต็มทั้งข้างหน้า และข้างหลัง และมี สัตว์ทั้งสีนั้นมีปีกหกปีก" ลักษณะดังกล่าวจะไปสอดคล้องกับพระธรรมอิสยาห์บทที่ 6:3 บันทึกไว้

"มีเสราฟิมยืนอยู่ แต่ละตนมีปีกหกปีก ใช้สองปีกบังหน้า และสองปีกคลุมเท้า และด้วยสองปีกบินไป ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ (ภาษาฮีบรู ใช้คำว่า คาโดช kadosh) พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์"
นอกจากนี้ก็อาจจะเป็นทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่ "สรรเสริญพระเจ้า" "อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า" พวกเขาเป็นดังแสงบริสุทธิ์ และติดต่อสื่อสารโดยตรงกับพระเจ้า ซึ่งเราศึกษาเพิ่มเติมได้จากพระคัมภีร์นอกสารบบ (Apocrypha)ทูตสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับ"เสราฟิม" เช่น กาเบรียล (Gabriel), คีมูเอล (Kemuel), นาธานาเอล (Nathanael), และ มาตาตรอน (Matatron) ซึ่งเราไม่สามารถสรุปได้
แต่สิ่งที่เป็นข้อคิดจากการตีความหมายของสัตว์ทั้งสี่ข้อพระธรรมตอนนี้ คือ พระลักษณะของพระเจ้าที่นมัสการ ดังต่อไป
สิงห์ - เล็งถึง "เกียรติยศ และอำนาจ" ลูกโค - เล็งถึง "การเสียสละ" มนุษย์ - เล็งถึง "ความเฉลียวฉลาด" นกอินทรีกำลังบิน - เล็งถึง "ความดีเลิศจากสวรรค์"

จึงขอสรุปสั้นๆ ไว้ในที่นี้ว่า "สัตว์ทั้งสี่" สะท้อน "พระลักษณะของพระเจ้า" ที่เรานมัสการคือพระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยเกียรติยศ อำนาจ, เสียสละ, ความเฉลียวฉลาด หรือ ความดีเลิศจากสวรรค์ เป็นต้น

ผมเชื่อว่าการสัมมนา "Worship as it is in Heaven" นมัสการในมิติสวรรค์ ในครั้งนี้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างๆ ที่เราจะได้เรียนรู้ร่วมกันในการนมัสการพระเจ้าที่เป็นการทะลุทะลวงไปสู่มิติสวรรค์
ในข้อ 11 กล่าวต่อไปว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญ พระเกียรติและฤทธิ์เดช เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงนั้นก็ทรงสร้างขึ้นแล้ว และดำรงอยู่ตามชอบพระทัยของพระองค์"

เราทั้งหลายถูกสร้างโดยพระเจ้าและพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และสมควรแก่การสรรเสริญนมัสการ ฮาเลลูยา!

1 ความคิดเห็น: