สดด.5:11-12
11 แต่ให้คนทั้งปวงที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์นั้นเปรมปรีดิ์ ให้เขาร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีอยู่เสมอ และขอทรงป้องกันเขาไว้เพื่อคนที่รักพระนามของพระองค์จะปรีดาปราโมทย์อยู่ในพระองค์
12 ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงอำนวยพระพรแก่คนชอบธรรมพระองค์ทรงคุ้มครองเขาไว้ด้วยความโปรดปรานประดุจเป็นโล่ป้องกันเขา
พระเจ้าจะทรงเป็นโล่ปกป้องและคุ้มครองคริสตจักรนี้ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ เราจึงชื่นชมยินดีที่ได้ลี้ภัยในพระองค์
และในพระธรรม 2โครินธ์ 2:14-17 คริสตจักรนี้จะเป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์ที่แพร่กระจายออกไป
ผมจึงได้นำคำหนุนใจจากพระธรรม 2โครินธ์นี้มาเทศนาในเรื่อง "กลิ่นหอมแห่งพระคุณ" และขอนำมาแบ่งปันตามนี้
2 คร.2:14-17
14 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราเสมอมาโดยพระคริสต์ด้วยความมีชัย และทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง
15 เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวาน ที่พระคริสต์ถวายพระเจ้าในหมู่คนที่กำลังจะรอด และคนที่กำลังประสบความพินาศ
16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้
17 เพราะว่าเราไม่เหมือนคนเป็นอันมาก ที่เอาพระกิตติคุณของพระเจ้าไปขายกิน แต่ว่าเราประกาศด้วยอาศัยพระคริสต์อย่างคนสัตย์ซื่อ อย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอย่างคนที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
ผมประทับใจคำกล่าวของ ชาร์ลส์ เอช. สเปอร์เจียน นักเทศน์ผู้มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ที่ว่า
"จงให้ความคิดของคุณเป็นเพลงสดุดี คำอธิษฐานเป็นเครื่องหอม และลมหายใจเป็นคำสรรเสริญ"
เราจึงต้องให้ความคิด การพูดและการกระทำของเราเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เป็นการดังเครื่องหอมบูชาที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
พระธรรมตอนนี้อัครทูตเปาโลกล่าวขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำในการทำพันธกิจ แม้ว่าท่านต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่พระเจ้าทรงสำแดงพระคุณ กระทำให้คนกลับใจและต้อนรับพระกิตติคุณอย่างมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เปาโลถือว่าเป็นชัยชนะที่มาจากพระเจ้า เป็นดังกลิ่นหอมที่นำความชื่นใจมาถึงชีวิต และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
14 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราเสมอมาโดยพระคริสต์ด้วยความมีชัย
คำว่า นำด้วยความมีชัย ในภาษาเดิม ให้ความหมายว่า เดินขบวนแห่งความมีชัย
สิ่งที่อัครทูตเปาโลกล่าวในที่นี้เป็นภาพของกองทหารโรมันที่เดินขบวนเข้ามาในกรุงโรม เมื่อกลับจากการสู้รบที่มีชัยชนะ ขบวนประกอบด้วยเชลยที่จับมาได้ ข้าวของที่ยึดมาได้ แม่ทัพและทหารที่ร่วมรบ และจะมีคนมากมายยืนต้อนรับขบวนด้วยความยินดีเป็นการให้เกียรติแม่ทัพที่นำชัยชนะมา
เป็นภาพแสดงความยิ่งใหญ่ของชัยชนะ คำว่า มีชัย นี้ยังเป็นคำ ๆ เดียวกับที่ถูกใช้ใน
คส.2:15 พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสียพระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น
ในพระธรรมโคโลสีเป็นภาพของเทพผู้ครอง ศักดิเทพที่ถูกจับมาเป็นเชลยร่วมเดินมาด้วยในขบวน เป็นการถูกประจานให้คนเห็น
อัครทูตเปาโลใช้คำนี้ในพระธรรมตอนนี้เพื่อเป็นภาพของการฉลองชัยชนะ
ปกติขบวนนี้จะเดินเข้ามายังกรุงโรมและเดินไปสิ้นสุดที่ Capitoline Hill (คาปิโตลิเน ฮิลล์)เนินเขาแห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะ
การที่อัครทูตเปาโลใช้ภาพการเดินขบวนเช่นนี้ ก็เพื่อเปรียบเทียบให้เราเห็นว่าชีวิตการเป็นอัครทูต หรือการเป็นผู้รับใช้ เป็นเหมือนกับการเป็นทหารที่ออกรบ การรับใช้พระเจ้าประกาศข่าวประเสริฐเป็นดังการออกศึกสงครามเป็นการต่อสู้ที่จริงแท้ เพราะเรามีศัตรูที่คอยต่อสู้เราเสมอ ศัตรูของเราคือมาร ที่คอยจ้องสู้เราตลอดเวลา การประกาศข่าวประเสริฐเป็นการเข้าไปแย่งเชลยกับมาร เป็นสงครามการแย่งชิงคนโดยตรง
ตามวัฒนธรรมของโรมันในเวลานั้นคือ เมื่อพวกเขาประสบกับชัยชนะในการรบ พวกเขาจะเผาเครื่องหอมอันเป็นการสักการบูชาแด่เทพที่ประทานชัยชนะให้แก่เขา บรรยากาศในเมืองจะเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง เมื่อประชาชนที่อยู่ข้างทางโปรยดอกไม้ วิหารของเทพเจ้าจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเผาบูชาอบอวลไปทั่ว ซึ่งภาพการเฉลิมฉลองเช่นนี้เป็นภาพที่คุ้นตาของคนในเมืองโครินธ์
เมื่ออัครทูตเปาโลได้บรรยายถึงชัยชนะที่ท่านได้รับโดยการทรงนำของ พระเจ้า โดยใช้ภาพกลิ่นหอม ผู้เชื่อชาวเมืองโครินธ์ก็จะเข้าใจภาพแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดีได้โดยง่าย
เมื่อชาวโครินธ์มีชัยชนะในการรบฝ่ายกายภาพ กลิ่นหอมจะอบอวลไปทั่วเมืองโครินธ์ฉันใด
เมื่อผู้รับใช้พระเจ้ามีชัยชนะในการรบฝ่ายวิญญาณ กลิ่นหอมของพระคริสต์ก็จะอบอวลเหนือชีวิตของผู้เชื่อและขจรขจายไปทั่วทุกถิ่น ฉันนั้น
ไม่ว่าคนของพระเจ้าไปที่ใด กลิ่นหอมแห่งชัยชนะก็จะติดตามเขาไปที่นั่น
กลิ่นหอมนั้นเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ก็ส่งอิทธิผลมาถึงชีวิตของเรา
คำว่า “กลิ่นหอม” ในพระธรรมตอนนี้ มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า “ออส-เมย์” (osme) ซึ่งแปลว่า “กลิ่น” หรือ “กลิ่นหอม” และบางครั้งอาจแปลว่า “น้ำมันหอม” ซึ่งคำว่า “ออส-เมย์” มักนำมาใช้ในความหมายของ “กลิ่นหอม” ที่มาพร้อมกับการถวายบูชา
ฉะนั้นพระคุณของพระเจ้าจึงเป็นกลิ่นที่หอมแพร่กระจายไป กลิ่นของดอกไม้หรือกลิ่นหอมจากเครื่องเผาบูชาจะมีการจางไป แต่กลิ่นหอมแห่งพระคุณของพระเจ้าจะคงอยู่นิรันดร์ เป็นกลิ่นหอมที่สำแดงดังนี้
1.กลิ่นหอมแห่งความจริง(ข้อ 14-15) ...ทรงโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์
พระวจนะกล่าวว่า พระเจ้าประทาน “กลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์” ซึ่งคำนี้หมายถึง ความ
จริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ หรือ พระกิตติคุณของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ผู้เชื่อเกิดความประจักษ์และกลับใจบังเกิดใหม่ ไม่ใช่ความรู้แบบปรัชญาหรือศาสนา ที่เป็นความรู้ของชาวกรีก โรมันในสมัยนั้นที่รักในการแสวงหาความรู้ ทำให้เกิดความหยิ่งและทำให้ห่างไกลจากสัจธรรมความจริงของพระเจ้า แต่ความรักของพระเจ้าเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่ประทานให้กับเราโดยพระคุณบนกางเขนทำให้เรากลับใจใหม่(ยน.3:16)
1.1 แพร่ไปทุกแห่งหน (ข้อ 14ข) ...ให้ปรากฏด้วยตัวเราทุกแห่ง
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า กลิ่นหอมแห่งความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์นั้น พระเจ้าทรงสำแดงให้ปรากฏแล้วผ่านผู้เชื่อที่จะนำข่าวประเสริฐนี้ไปถึงผู้คนในทุกที่ทุกแห่ง ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ไม่ควรจำกัดวงอยู่เพียงแค่กลุ่มผู้ที่เชื่อแล้วเท่านั้น แต่ควรขยายวงกว้างออกไปถึงคนทุกเพศ ทุกวัย และทุกชนชั้นในสังคม เพื่อคนเหล่านั้นจะมีชีวิตใหม่ที่เต็มล้นด้วยพระคุณพระเจ้า
ไม่มีที่ใดในโลกที่พระคุณของพระเจ้าไปไม่ถึง เมื่อเราอธิษฐานเผื่อญาติสนิทมิตรสหายของเรา คำอธิษฐานจะเป็นกลิ่นหอมแห่งพระคุณที่ไปถึงเขาเหล่านั้น และเมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐออกไป กลิ่นหอมแห่งความจริงของพระเจ้าที่แพร่ไปทุกหนแห่ง จะนำคนทั้งหลาย กลับใจและกลับมาหาพระเจ้า
1.2 เพื่อทุกคนได้รับ (ข้อ 15) ...คนที่กำลังจะรอด…และคนที่กำลังประสบความพินาศ
การประกาศความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เป็นการนำพระคุณความรักของพระเจ้าออกไป เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักพระองค์ได้รับพระคุณความรอด และมีชีวิตใหม่ที่ก้าวออกจากความมืดสู่ความสว่าง พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมความรอดไว้สำหรับทุกคน และพระองค์มิได้ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศไป (2 ปต.3:9)
2.กลิ่นหอมแห่งชีวิต (ข้อ 16-17) ...ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้
อัครทูตเปาโลเปรียบให้เห็นกลิ่น 2 แบบ คือ กลิ่นแห่งความตาย และกลิ่นหอมแห่งชีวิต กลิ่นแห่งความตาย เป็นภาพเปรียบเทียบให้เห็นชีวิตของผู้ที่ดำเนินในบาป ที่ในวาระสุดท้ายชีวิตจบลงในบึงไฟนรกและพบกับความทุกข์ทรมาน แต่สำหรับผู้ที่เชื่อและยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า เขาเป็นดังกลิ่นหอมแห่งชีวิตที่ได้รับพระคุณความรอดของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ และอยู่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในเมืองบรมสุขเกษมในวันสุดท้าย ผู้เชื่อควรมีส่วนร่วมกันในการนำพระคุณของพระเจ้าออกไปสู่คนในสังคม
ในการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าทุกคนทำบาปจึงเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า โลกจึงเต็มไปด้วยบาปและส่งอิทธิพลต่อเรา เราเป็นเหมือนอยู่ท่ามกลางกองขยะจึงต้องมีการรับการชำระชีวิตเสมอ เหมือนการอาบน้ำเพื่อชำระกลิ่นกายให้สะอาด แม้ว่าเราได้รับการชำระโดยพระโลหิตบนกางเขนของพระเยซูคริสต์แล้วที่ไม้กางเขนโดยสมบูรณ์แล้ว แต่พระเจ้ามีแผนการที่ชำระเราใหบริสุทธิ์ดูจดังทองคำที่ปราศจากตำหนิ ที่ช่างทำทองคำจะนำทองคำไปทดสอบด้วยไฟ ตักสิ่งที่เป็นขี้แร่ออกไป และทองคำที่บริสุทธิ์จะสะท้อนหน้าของช่างทำทองคำ ฉันใดฉันนั้น เมื่อชีวิตของเราได้รับการชำระที่บริสุทธิ์เราจะสะท้อนพระฉายของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรา
อ.Chris Hayward ผู้เป็นประธานพันธกิจ Cleansing Stream กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า
“การปลดปล่อยไม่ควรถูกมองว่าเป็นเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวในชีวิต หากแต่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนหนึ่งคนใดสามารถรับการปลดปล่อยให้มีเสรีภาพทันทีจากพันธนาการที่เจาะจงในชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อย่างไรก็ตามทุกคนซึ่งยังอยู่ในร่างกายนี้จักต้องรุกหน้าต่อไปสู่การมีชีวิตเหมือนพระคริสต์”
ดังนั้นเราต้องรับการขำระชีวิตเพื่อไปสู่ความไพบูลย์ในพระเจ้า
พระเจ้าได้บัญชาให้คนของพระองค์ในยุคพระคัมภีร์เดิมถวายเครื่องบูชาประเภทต่าง ๆ แด่พระองค์ ได้แก่ การถวายสัตวบูชา (ลนต.1:13-17) การถวายธัญญบูชา (ลนต.2) การถวายศานติบูชา (ลนต.3) การถวายเครื่องบูชาไถ่บาป (ลนต.4) และการถวายเครื่องบูชาไถ่กรรมบาป (ลนต.4:14-6:17) ซึ่งเป็นการแสดงออกภายนอกถึงจิตใจภายในที่เชื่อฟังพระเจ้า และยินดีเข้าร่วมในพันธสัญญากับพระองค์ เป็นการคืนดีในความสัมพันธ์กับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
การถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาในพระคัมภีร์เดิมเป็นการเล็งถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่กางเขน พระองค์เปรียบเหมือนแกะที่ถูกเลือกสรร เป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป การหลั่งพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน จึงเป็นการทำพันธสัญญาใหม่กับเรา (1 คร.11:25)
ในปัจจุบันเราไม่ต้องถวายเครื่องเผาบูชาแล้ว เพียงแต่เราเข้ามาสรรเสริญด้วยใจโมทนาพระคุณก็เป็นการถวายเครื่องเผาบูชาที่มีกลิ่นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว เพราะพระองค์ทรงทอดพระเนตรท่าทีในใจของเรามากกว่าการกระทำเพียงรูปแบบพิธีกรรมภายนอก
ในคัวอย่างเหตุการณ์ในพระคัมภีร์มีเครื่องเผาบุชาที่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย เช่นกรณีของคาอิน เหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยเครื่องบูชาของคาอิน ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ได้ไม่ชอบพืชผักที่เขานำมาถวาย แต่เบื้องหลังการถวายของคาอินนั้นคือท่าทีที่ไม่ถูกต้อง คาอินไม่ได้อุทิศทั้งหมดให้กับพระเจ้าเห็นได้จากความจริงที่ว่าเขาไม่ได้ ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์
ปฐมกาล 4:5-7
5 แต่คาอินกับเครื่องบูชาของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธแค้นนัก หน้าบูดบึ้งอยู่
6 พระเจ้าจึงตรัสถามคาอินว่า "เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม
7 ถ้าเจ้าทำดี เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้"
ยูดาเขียนถึงคนที่นับถือศาสนาแต่เปลือกนอก ซึ่งใช้กิจกรรมทางศาสนาอำพรางชีวิตที่เต็มไปด้วยความบาปว่า “วิบัติจงมีแก่เขา เพราะเขาได้ประพฤติตามอย่างคาอิน” (ยด.11) เราสามารถปรนนิบัติพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า และถวายทรัพย์ให้กับงานของพระองค์ด้วยความเสียสละ แต่พระเจ้าไม่ประสงค์สิ่งเหล่านั้นหากไม่ได้ทำออกมาจากใจ
คาอินถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับได้ คาอินเข้ามานมัสการอย่างถูกต้อง เขาสร้างแท่นบูชา ใช้ไฟในการถวายบูชา เข้าก้าวเข้ามาหาพระเจ้า ประสงค์ให้พระองค์พอพระทัย แต่เขาใช้พืชผักเป็นเครื่องบูชาแทนที่จะใช้เลือด เครื่องบูชาของเขาไม่ถูกต้อง คาอินนมัสการ...แต่เป็นการนมัสการที่พระเจ้าไม่ยอมรับ
ความบาปนี้เองที่คาอินไม่กลับใจจึงส่งผลไปสู่ความตาย เขาได้ฆ่าน้องชายของเขาคืออาเบล เพราะอิจฉา และการแช่งสาปก็มาสู่ชีวิตของคาอิน
หากเราเก็บงำความบาปไว้ไม่กลับใจ จะเป็นเหมือนเก็บของเน่าเสียไว้ในชีวิต กลิ่นแห่งความาบาปที่จะไปสู่ความตายจะแพร่ออกไป เราจึงต้องเข้ามาสารภาพบาปเพื่อรับการชำระชีวิตจากพระเจ้า(1ยน.1:9)
ตัวอย่างของบุตรทั้งสองของอาโรน คือ “อาบีฮู กับ นาดับ” เขาได้ถวายเครื่องหอมแด่พระเจ้า ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของพระองค์ ดูเหมือนภายนอกไม่น่าที่จะไม่เป็นที่ยอมรับได้ แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสินว่า เครื่องบูชาใดเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ เขาทั้งสองตายต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า เนื่องจากได้ถวายบูชาแด่พระเจ้าด้วยไฟต้องห้าม
ลนต.10:1-2
1 ฝ่ายนาดับกับอาบีฮูบุตรของอาโรน ต่างนำกระถางไฟของเขามา และเอาไฟใส่ในนั้น แล้วใส่เครื่องหอมลง เอาไฟที่ต้องห้ามมาเผาถวายบูชาแด่พระเจ้า ซึ่งพระองค์มิได้ทรงบัญชาให้เขากระทำเช่นนั้น
2 ไฟก็พุ่งขึ้นมาจากที่พระเจ้าประทับไหม้เขาทั้งสอง และเขาก็ตายต่อพระพักตร์พระเจ้า”
อาบีฮูและนาดับ ใช้ไฟต้องห้าม ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สั่งให้เขาทำ เป็นสิ่งผิดฉันใด เราต้องระวังอย่างมากเช่นกัน เมื่อเราเข้ามาสรรเสริญและนมัสการ ไฟที่นำมาเผาเครื่องหอมบูชา ต้องนำเอามาจากแท่นเผาบูชา (เล็งถึงการกลับใจใหม่) การสรรเสริญและนมัสการของเรา ต้องแน่ใจว่ามาจากจิตใจที่สำนึกผิด และกลับใจใหม่ด้วยความถ่อมใจต่อพระเจ้า จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด
ตัวอย่างของกษัตริย์ชาอูลก็ถวายด้วยท่าทีไม่ถูกต้อง ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยเพราะเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า
1ซามูเอล 15:22-23
22 และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้
23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพเพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์"
พระเจ้าทรงทอดพระเนตรการกระทำของเรา ทั้งจากท่าทีภายในและการกระทำภายนอก
ความบาปนำไปสู่ความตายฉันใด พระคริสต์ก็ทรงเป็นกลิ่นหอมในชีวิตของผู้เชื่อที่นำไปสู่ชีวิตฉันนั้น
เมื่อเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป เราย่อมได้รับผลกระทบจากความบาปนั้น แต่หากเราได้เชื่อวางใจในพระคริสต์ พระองค์ทรงสัญญาว่าเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งมีผลทันทีที่เราเชื่อ คือ เราจะมีชีวิตใหม่ ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัย ท่าที แรงจูงใจ เหมือนดังพระคริสต์
เมื่อเราเป็นของพระคริสต์
ชีวิตเป็นอย่างสุคนธ์
กลิ่นหอมไปทุกแห่งหน
ถวายพระเกียรติเกรียงไกร
(ลงในบทความของ web.CBNSiam)
ขอบคุณครับ สำหรับพระพรแห่งพระวจนะ
ตอบลบYou'll never walk alone เช่นกันครับ