เนื่องในวันที่ 16 มกราคมของทุกปี เป็นวันครูแห่งชาติ ขอเทิดทูนพระคุณคุณครูทุกท่านและขอเป็นกำลังใจในการทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ที่ถ่ายทอดคำสอนจากชีวิต
รวมถึงคุณครูผู้สอนพระวจนะในคริสตจักรและครูรวีวารศึกษาในคริสตจักรเด็ก (ที่เรามักจะชอบเรียกว่า "ครูราวี-วานรศึกษา" ผู้ทำหน้าที่ตามราวี จับวานรคือเด็กๆที่ซนเป็นลิง วิ่งเล่นในโบสถ์ มาอบรมจนเป็นเด็กที่ดีในทางพระเจ้า)
ในครั้งนี้ ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระราชทานพระราชดำรัสในโอกาสที่ประธานกรรมการประสานงานส่วนภูมิภาค ภาค 2 สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ นำคณะผู้แทนครูจีน เข้าเฝ้าฯ ในวันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2524 ดังนี้
˜ “คำว่า "ครู" นั้นเป็นคำที่สูงยิ่ง เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพบูชาได้ ฉะนั้น ได้ชื่อ หรือเรียกตัวว่าเป็นครู ก็จะต้องบำเพ็ญตนให้ดี บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ บำเพ็ญตนให้เป็นที่นับถือได้ เพราะว่าผู้ใดเป็นครูแล้วไม่บำเพ็ญตนให้เป็นที่นับถือได้ก็เท่ากับบกพร่อง”
˜ “ครูเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาการและเป็นผู้ถ่ายทอดความประพฤติ วิธีประพฤติตน วิธีคิด และความดีงามทุกอย่าง ซึ่งจะสร้างให้บุคคลเป็นคนที่ดี เป็นคนที่ไม่เป็นภัยต่อผู้อื่น ตรงกันข้ามเป็นผู้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวม และตัวเองก็จะได้รับประโยชน์ว่าเป็นคนที่เจริญ”
เราทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องมี “ครู” เป็นผู้อบรมสั่งสอน และพัฒนาชีวิตของเรา ตั้งแต่วัยเยาว์ บิดามารดาเปรียบเสมือนครูคนแรกที่วางรากฐานลักษณะชีวิตและลักษณะนิสัยให้แก่เรา ต่อมา ครูอาจารย์ก็เป็น ผู้สั่งสอน อบรม แนะนำเราให้มีความรู้ในวิทยาการสาขาต่างๆ
สำหรับในชีวิตก็ได้รับการถ่ายทอดตามแบบครูของตน
ในพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงทรงตรัสว่า ครูไม่เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ถ่ายทอดความประพฤติ วิธีประพฤติ วิธีคิดและความดีงามทุกอย่าง
ครูอาจารย์จึงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการสร้างชีวิตของเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นเป็นอนาคตของชาติต่อไป
ดังนั้น ครูอาจารย์จึงเป็นกลไกหลักและเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า เพราะครูอาจารย์คือบุคลากรวิชาชีพซึ่งทำหน้าที่หลักด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย วิธีการต่างๆ
การสอนจึงไม่ใช่เพียงแค่ให้ความรู้แต่ต้องพัฒนาลักษณะชีวิต รวมทั้งสามารถคิด วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้ความรู้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของครูที่ดี ใช้วิธีการสอนที่เกิดผล ทำให้ผู้รับการสอนจากพระองค์สามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่สามารถสั่งสอนผู้อื่นต่อไปได้ด้วย
2ทิโมธี 2:2 จงมอบคำสอนเหล่านั้น ซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายคน ไว้กับคนที่ซื่อสัตย์ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย
เราในฐานะของผู้เชื่อจึงต้องนำคำสอนของพระองค์มาใช้ในชีวิตประจำวันและสอนต่อไปให้ผู้เชื่อต่อไปเพราะเป็นพระมหาบัญชาของพระเจ้าที่ให้เราออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ
มัทธิว 28:19-20 19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
หากเราจะเป็นผู้สอน เราต้องเลียนแบบการสอนของพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นครูต้นแบบที่เราควรจะเรียนรู้จากพระองค์
ในครั้งนี้ ขอนำหลักการการสอนของพระองค์มาแบ่งปัน เป็นข้อคิดในชีวิต อันที่จริงมีหลายประการ แต่ขอสรุปเป็น 3 ข้อหลักๆดังนี้
1.สอนให้คิด วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้เป็น
พระเยซูคริสต์ได้ใช้คำอุปมาเป็นวิธีการสอนสาวกอย่างหนึ่งในสมัยของพระองค์ เมื่อเหล่าศิษย์หรือประชาชนมาฟังคำสอนจากพระองค์นั้น ไม่ได้มีการจดบันทึกไว้เหมือนดังสมัยนี้ ดังนั้น คำอุปมาจึงช่วยให้ผู้ฟังจดจำคำสอนได้ง่ายขึ้น และยังทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและเข้าใจสิ่งที่พระองค์สื่อสารชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อพระองค์ทรงสอนสาวกด้วยคำอุปมา สิ่งนี้ก็จะกระตุ้นให้เขาฝึกคิดใคร่ครวญถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำอุปมานั้นอีกด้วย
นอกจากพระองค์ทรงฝึกให้พวกเขาคิดวิเคราะห์แล้วนั้น พระองค์ยังทรงสอนให้เขาประยุกต์ใช้ พระองค์ทรงสอนพระวจนะให้แก่สาวกของพระองค์ และทรงเป็นแบบอย่างในการทำพระราชกิจ เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์และมีประสบการณ์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในการรับใช้คนทั้งปวง เช่น การวางมือรักษาโรค การถูกข่มเหงจากคนที่เกลียดชัง การเผชิญกับคนผีสิง เป็นต้น
พระเยซูคริสต์จึงเปิดโอกาสให้เขาได้ฝึกฝนในสิ่งที่เรียนรู้จากพระองค์ด้วยตัวของเขาเอง พระองค์เปิดโอกาสให้เขาได้ประยุกต์ใช้ความรู้ที่เรียนรู้จากการรับใช้ร่วมกับพระองค์ พระองค์ทรงพวกเขาไปรับใช้และให้กลับมารายงานพระองค์
2.สอนจากชีวิตที่เป็นแบบอย่าง
ในพระวจนะพระเจ้าก็ได้กล่าวไว้หลายข้อหลายตอน ย้ำให้ผู้สอนเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะคนมักจะทำตาม
ในสิ่งที่เรากระทำมากกว่าสิ่งที่เราพูด เหมือนข้อคิดที่กล่าวไว้ว่า "ชีวิตดังกว่าคำพูด"
สุภาษิต 29:19 สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้นจะฝึกสอนคนใช้ไม่ได้เพราะถึงแม้เขาจะเข้าใจ แต่เขาก็ไม่ฟัง
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สาวกของพระองค์ โดยผมขอยกตัวอย่างบางประการดังนี้
เมื่อพระองค์ทรงสอนศิษย์ของพระองค์เรื่องการถ่อมใจรับใช้คนทั้งปวง พระองค์ทรงล้างเท้าสาวก(ยน.13:4-5)
สาวกได้เห็นคำสอนของพระองค์ที่สำแดงออกเป็นวิถีชีวิตของพระองค์
3.สอนอย่างครบถ้วนสมดุล
ในการสอนนั้น เราจึงจำเป็นต้องสอนเขาอย่างครบถ้วนทั้ง 3 ด้านคือ ความรู้ คุณลักษณะชีวิต และทักษะ เพื่อจะส่งเสริมให้เขาประสบความสำเร็จได้สูงสุดตามศักยภาพของเขา
เมื่อพระองค์ทรงสอนสาวกอธิษฐาน ใน มธ.6:5-15 นั้น สามารถสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้
- พระองค์ทรงสอนด้านลักษณะชีวิต โดยการสอนถึงท่าทีที่ถูกต้องในการอธิษฐาน เช่นใน มธ.6: 5 คือ ไม่อธิษฐานด้วยท่าทีโอ้อวดเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชมในการกระทำดีของตน
- พระองค์ทรงสอนโดยให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการอธิษฐาน ใน มธ.6:6-8 พระองค์ทรงสอนให้รู้ว่า เราควร อธิษฐานเป็นการส่วนตัวกับพระเจ้า และไม่ควรอธิษฐานแบบท่องจำซ้ำซาก เพราะพระเจ้าทรงฟังคำร้อง ทูลของเราและทรงทราบสิ่งที่เราปรารถนา
- นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสอนเราด้านทักษะ โดยยกตัวอย่างคำอธิษฐานใน มธ.6:9-12 เพื่อช่วยให้เราเข้าใจการอธิษฐานและเรียนรู้ในการอธิษฐานภาคปฏิบัติได้ โดยเริ่มต้นคำอธิษฐานด้วยการ
- เราจึงควรเลียนแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ ในการสอนเพื่อเราจะสามารถ ถ่ายทอดคำสอนได้อย่าง
- ครบถ้วนทั้ง 3 ด้านดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นแบบการสอน เราควรจะเป็นศิษย์ที่ ดีของพระองค์ เพื่อจะเป็นครูแบบพระองค์
ลูกา 6:40
ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้ว ก็จะเป็นเหมือนครูของตน
ลงใน web. ของคริสตจักรวังธรรรม จ.เชียงราย ลงในบทความของ web.cbnsiam
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น