11 มกราคม 2554

ความคิดแบบผู้ใหญ่ หัวใจแบบเด็กๆ

ในช่วงวันเด็กที่ผ่านมา เราคงมีความชื่นชมยินดีสำหรับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่มีความสนุกสนาน อันเนื่องมาจากเป็นวันของพวกเขาที่ได้รับของเล่น ได้ไปเที่ยวเล่นในที่อยากไป

หลายคนรวมถึงผมด้วย เมื่อมองไปที่เด็ก เราก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะเป็นวัยที่สนุกสนานไม่ต้องมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย ในขณะที่เมื่อตอนที่เราเป็นเด็ก เราก็เคยคิดว่าอยากจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะไม่ต้องมีใครมาคอยบังคับให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้เพราะเห็นว่าเราเป็นเด็ก
นี่คือมุมมองที่แตกต่างของวุฒิภาวะที่เติบโตต่างกัน

ผมนึกถึงคำสอนของพระเยซูคริสต์ใมาระโกบทที่10:13-16

13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้
14 เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า "จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น
15 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้"
16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้นวางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้

พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ ที่ผู้ปกครองนำเด็กมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์วางมืออวยพรเด็ก แต่สาวกกีดกันไม่ให้มาหาพระเยซูเพราะเกรงว่าจะมารบกวนพระองค์ พระเยซูทรงไม่พอพระทัยที่สาวกมีทัศนคติในเรื่องของเด็กไม่ถูกต้อง พระองค์จึงทรงสอนให้ผู้ใหญ่ให้เรียนรู้จากเด็ก โดยปรับมุมมองใหม่ให้โดยมีความคิดแบบผู้ใหญ่ หัวใจแบบเด็กๆ

เราควรจะมองเด็กแบบพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ให้สิ่งที่ดีแก่เด็ก(ข้อ 16) นั่นคือ พระองค์ทรงอุ้มให้ความใกล้ชิดที่สุด และทรงวางมือให้พรอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

ผมคิดว่าเด็กควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากผู้ใหญ่ ถ้าเด็กได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เขาก็จะมีรากฐานชีวิตที่ดีที่สุดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่สุด สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้

1.เห็นคุณค่าเด็ก (ข้อ 13-14)

พระเยซูทรงเปิดโอกาสให้เด็กๆ เข้ามาหาพระองค์เพราะทรงเห็นคุณค่าเด็ก และต้องการให้สาวกของพระองค์เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เพราะพวกสาวกมองว่าเด็กๆ รบกวนเวลาของพระองค์ แต่พระองค์กลับเห็นความสำคัญของการให้เวลาแก่เด็ก แม้พระองค์จะมีภารกิจที่ต้องทำมากมายก็ตาม การให้เวลาแก่เด็กเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยกว่าสิ่งอื่นๆ

เราทุกคนจึงควรเห็นคุณค่าของเด็กอย่างจริงจัง อย่ามองเด็กเป็นเด็ก มีคำสุภาษิตที่ว่า "อย่าคบเด็กสร้างบ้าน" ทำให้ผู้ใหญ่จึงมองเด็กทำตัวไร้สาระ แต่ถ้าบ้านขาดเด็กก็ไม่มีสีสัน เพราะเด็กจะทำให้เรามีรอยยิ้มเสมอ เมื่อเราเห็นความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมา

เราควรจะต้องมีเวลาการแสดงความสามารถให้กับพวกเขาแสดง ไม่อย่างนั้นความสามารถของเขาจะถูกละเลย และนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกที่ควร เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น เช่น เด็กที่ไปเขียนฝาผนังที่สาธารณะ หรือ ไปแข่งรถ เป็นเด็กแว้นซ์บอย และสก๊อยเกิร์ล สร้างปัญหาในสังคม

ในครอบครัวของเราควรต้องให้เวลาและสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของเด็กด้วย ในชุมชน ในคริสตจักรและในทุกส่วนต้องจัดสรรคนที่ดีมีคุณภาพเพื่อสร้างเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของอาณาจักรพระเจ้า

2. เรียนรู้จากเด็ก (ข้อ 14-15)

พระเยซูคริสต์ใช้เด็กเป็นตัวอย่างในการสอนพวกสาวกให้มีความเชื่อและถ่อมใจเรียนรู้จากเด็ก เพราะผู้ที่ถ่อมใจมีหัวใจเชื่อฟังแบบเด็ก แผ่นดินสวรรค์ก็จะเป็นของคนเหล่านั้น

แท้จริงเด็กมีสิ่งดีมากมายที่เราสามารถเลียนแบบได้ เราไม่ควรเป็นผู้ใหญ่ที่หยิ่ง ไม่รับฟังหรือยอมรับสิ่งที่ดีจากผู้ที่อายุน้อยกว่า

ผู้นำสามารถเรียนรู้สิ่งดีจากผู้ที่อยู่ในการอภิบาลของตนได้เช่นกัน อย่าคิดว่าเราอาบน้ำร้อนมาก่อน รับบัพติศมาในน้ำมาก่อนพวกเขา

ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีความคิดความอ่านที่ดี เราควรจะเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและนำสิ่งที่ดีของเขามาปรับใช้ได้

ในปีใหม่นี้ขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้มีความคิดแบบผู้ใหญ่ ที่มีความรับผิดชอบ และมีหัวใจแบบเด็กๆที่เชื่อฟังพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

........................

ลงข่าวคริสตชนวันที่ 12/1/11

1 ความคิดเห็น: