01 พฤศจิกายน 2553

ปลดปล่อยจากป้อมปราการแห่งความมืด (Deliverance from dark strongholds)

(ลงข่าวคริสตชน 3 พ.ย. 2010)

(คัดมาจากการแปลเรื่อง Deliverance from dark strongholds เขียนโดย Dr. Pablo Deiros และ Pablo Bottlari
จากหนังสือ Power,Holiness and Evangelism เรียบเรียงโดย Randy Clark)








ดร.พาโบล เดรอส (Dr.Pablo Deiros) มีประสบการณ์ครั้งแรกในการรักษาภายในและการปลดปล่อย โดยเริ่มเมื่อมีหญิงอายุ 18 ปี ซึ่งถูกวิญญาญชั่วครอบงำ ได้เข้ามาทำลายสำนักงานของเขา ที่คริสตจักร Central Baptist ใน Buenos Aires ที่ประเทศอาเจนติน่า และในเวลานั้นเขารู้ได้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ได้ คริสตจักรของเขาและตัวของเขาก็เริ่มที่จะเรียนรู้อย่างรวดเร็วที่จะปรนนิบัติผู้ถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่ว


นี่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่เราต้องรับการเยียวยารักษาภายในและรับการปลดปล่อยให้เป็นไท ไม่ใช่แต่บริเวณรอบคริสตจักรเท่านั้นแต่เป็นทุกๆที่ที่เขาไปเยี่ยมก็ต้องการ การรับใช้ในด้านนี้ถูกละเลยโดยคริสตจักรมาหลายสิบปี



ในประเทศอาเจนติน่า นักประกาศ คาร์ลอส แอนาคอนเดียร์(Carlos Annacondia) ได้ทำเต็นท์เพื่อทำพันธกิจปลดปล่อยขนาด 150 ฟุต มันถูกจัดวางไว้ข้างๆงานประกาศขนาดใหญ่ เพื่อคนที่ถูกวิญญาญชั่วกดขี่และผู้มีการแสดงออกแปลกๆ ได้เข้ามาที่นี่


เมื่องานเริ่มที่จะมีการปลดปล่อยคนออกจากซาตานวิญญาณชั่ว ที่นั่นก็มีกระแสไฟฟ้าที่รุนแรงเข้าไปในคนที่นั่น มันเป็นเรื่องง่ายในกิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่งานประกาศนั้นมีเสียงกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้งที่คนเป็นร้อยๆได้รับการปลดปล่อย ในเต็นท์ปลดปล่อยทุกๆคน


การฝึกฝนสำหรับพวกเขาก็มีมากขึ้น และระดับการรักษาและการปลดปล่อยก็ลึกขึ้น เป็นเวลาหลายปีที่ Dr.Pablo ได้ถูกฝึกฝนในเต็นท์ปลดปล่อยนั้น ที่ๆคนเป็นร้อยๆ ทั้งผู้เชื่อใหม่และผู้ที่เชื่อนานแล้ว มีปัญหาถูกวิญญาณชั่วครอบงำชีวิต และได้รับการปลดปล่อย โดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงพัฒนาการปลดปล่อย ทั้งในรูปแบบเงียบๆ แบบที่เต็มไปด้วยความรัก แบบที่ลึกมากขึ้น ซึ่งมีประสิทธิภาพ และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ดูแลและสอนเขา


หลังจากประสบการณ์กับผู้หญิงที่สำนักงานครั้งนั้น ผมก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพันธกิจของ



โบตตารี่(Bottari) และโมเดล 10 ขั้นตอนของการปลดปล่อย ซึ่งเราได้ทำตามในคริสตจักรของเรา


เราจะได้เห็นเสรีภาพ ความชื่นชมยินดี และสันติสุขบนผู้ที่ได้รับการปลดปล่อย การเยียวยารักษาภายใน และการปลดปล่อยเป็นสิ่งจำเป็น และเราก็ได้ฝึกให้แก่สมาชิกในคริสตจักร จนเป็นส่วนหนึ่งที่ปกติในคริสตจักร


เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาในงานประกาศใหญ่มีมากกว่าครึ่งที่เข้าไปในเต็นท์และได้รับการปลดปล่อย เรายังคงเห็นในอีกหลายๆที่ที่ได้รับการปลดปล่อย มันไม่ใช่การใช้เฉพาะกับผู้เชื่อใหม่เท่านั้น มันมีความจำเป็นต่อทุกคนแม้ว่าจะเชื่อมาหลายปีแล้ว หรือเป็นผู้นำคริสตจักร ก็ตาม พวกเขารู้ว่างานรับใช้ถูกขัดขวางโดยการครอบงำของวิญญาญชั่ว แต่เขาไม่รู้จะไปหาการช่วยเหลือจากไหน


เราเรียกมันว่า คลินิกในการปลดปล่อยผู้นำคริสตจักร ในงานประกาศเล็กๆ เราจัดเป็น 2 เต็นท์ มี 1 เต็นท์สำหรับผู้นำโดยเฉพาะ


คริสตจักรจำเป็นต้องถูกชำระให้บริสุทธิ์ เหมือนเจ้าสาวของพระคริสต์และพระเจ้าจะไม่เริ่มต้นที่แกะ(สมาชิก) แต่จะเริ่มต้นที่ผู้นำคริสตจักรก่อน ผู้นำที่ได้รับการรักษาและปลดปล่อยแล้วเขาจะเป็นผู้นำที่มีเสรีภาพ และจะเป็นผู้นำเสรีภาพ ปลดปล่อย และสันติสุข นี่คือเหตุผลว่าทำไม พวกเราจึงดูแลจัดการคลินิกและมีศิษยาภิบาลเกือบร้อยคน พวกเขาหิวกระหาย และพวกเขากล่าวว่า ต้องมีคนที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เขามาทำร้าย ปิดตา และปิดบังฉัน จากการรับใช้ของฉันซึ่งเป็นทางที่พระเจ้าต้องการให้ฉันรับใช้


พี่น้องในสหรัฐจะคิดว่าพวกเขาต้องไปข้ามทวีปเพื่อเห็นการงานของวิญญาญชั่ว นี่เป็นสิ่งที่หลอกลวง ซึ่งจริงๆแล้วเท่าที่เขาทำงานกับพันธกิจในอเมริกาเหนือ เขาเห็นงานของวิญาณชั่วในผู้เชื่อที่สหรัฐมากกว่าที่ไหนในโลก


เหตุผลที่เราไม่เห็นการแสดงออกมามากใน สหรัฐ เพราะว่าวิญญาญชั่วมันทำงานอย่างๆสบายๆ และเราก็ไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญมัน ถ้าเราเริ่มตระหนักถึงวิญญาณชั่วมากขึ้น เราขับไล่มัน เรามีการสอนการประกาศและขยายออกไปมาก แต่น้อยมากที่จะสอนในด้านการรักษาภายในและการปลดปล่อย


ในส่วนถัดไปของบทนี้ จะเป็นโมเดลที่อัศจรรย์ที่วิทยาลัยและ bottari ได้พัฒนาและปลดปล่อยคนจากป้อมปราการแห่งความมืด



โมเดลในพันธกิจการปลดปล่อย


เมื่อไรก็ตามที่ ผม(Pablo Bottari) ได้เข้าสู่พันธกิจการปลดปล่อย ผมก็สันนิษฐานว่าการถูกกดขี่ของวิญยาณชั่วได้เข้ามาทางประตู”ที่เปิดอยู่” เช่นความเจ็บปวดทางความสัมพันธ์ ประสบการณ์ที่ไม่ดี ความเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือลักษณะชีวิตที่เป็นความบาป


ผมได้สำรวจสิ่งนี้ ถ้าประตูที่เปิดออกนั้นไม่ได้ปิด การปลดปล่อยเป็นไปได้ยาก หรือเป็นแค่ชั่วคราว หรือเปลี่ยนแค่เปลือกแต่ภายในยังไม่เปลี่ยน แต่ในอีกทางหนึ่งหากประตูทั้งหมดที่เปิดอยู่ถูกปิดลง มันจะเป็นการง่ายในการปลดปล่อย และรวดเร็ว และไม่ใช่แค่ชั่วคราว หรือเปลี่ยนแค่ภายนอกเท่านั้น แต่จะสามารถปลดปล่อยได้อย่างถาวร


ในโมเดลนั้นถ้าจะให้เหมาะสมกับงานประกาศใหญ่ๆ ควรมีการจัดที่ส่วนตัวหรือคริสตจักรท้องถิ่นไว้ สำหรับที่ๆวิญญาณชั่วจะถูกขับออกและมีอาการแปลกๆเช่น กรีดร้อง สั่น หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นที่ๆผู้เชื่อจะได้ถาม พูดคุยให้เขาหลุดออกจากปัญหาตรงนั้น เป็นที่ๆจะไม่มีการต่อต้าน ซึ่งเป็นสิ่งทั่วๆไปที่จะต้องมีในการช่วยผู้รับการปลดปล่อย และผู้รับการรักษาภายใน



หลักการของการปลดปล่อย


พันธกิจการปลดปล่อย ควรจะถูกนำโดยความรักของพระเจ้า และการที่ให้พระวิญญาณทำงานอย่างเป็นอิสระ ในทุกๆขั้นตอนของกระบวนการ จำไว้ว่า หน้าที่หลักๆของคุณไม่ใช่การขับไล่วิญญาณชั่ว แต่เป็นการช่วยจิตใจที่พระองค์ทรงรักและไม่ต้องการให้บาดเจ็บนั้นให้ได้รับการปลดปล่อย เบื้องหลังการทำพันธกิจนี้ต้องมีหัวใจแบบพระคริสต์ เพื่อช่วยจิตวิญญาณที่โศกเศร้าที่ถูกวิญญาณชั่วทำร้าย อย่าทำเหมือนเขาเป็นวิญญาณชั่ว(เพราะเขาเป็นผู้ถูกทำร้ายจากวิญญาณชั่วต่างหาก)


โดยส่วนใหญ่ ผู้รับการปลดปล่อยเป็นบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บอย่างมาก เราไม่ควรที่จะขัดขวางขั้นตอนด้วยการอธิษฐานทั่วๆไป สำหรับการรักษาความเจ็บปวดและความบาดเจ็บมันจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการปลดปล่อยมากกว่า 1 ครั้ง


พลังในการรักษาและปลดปล่อยในนามพระเยซูคริสต์ เราไม่ควรใช้พระนามพระเจ้าบ่อยครั้ง


10 ขั้นตอนเพื่อปลดปล่อยสู่เสรีภาพ



1. ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว


โดยความรักไม่ใช่คำสั่ง การสั่งเป็นสิ่งสำคัญในการนำวิญญาณชั่วร้ายให้ อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระคริสต์ แต่ผู้รับการปลดปล่อยเขาต้องการสัมผัสความรัก การยอมรับ ผู้รับการปลดปล่อยอาจถูกพันแผลมานานเป็นปี บางทีเขาอาจยอมรับนักอธิษฐานที่แม้ไม่ใช่นักอธิษฐานที่เก่งแต่ดูไม่คุกคามต่อชีวิตเขา เราควรให้กำลังใจเขาว่าเขายืนอยู่บนเส้นทางแห่งเสรีภาพ


2. ถ้าวิญญาณชั่วมีการแสดงออก นำมันให้อยู่ภายใต้ โดยนามพระเยซูคริสต์


ให้สิทธิอำนาจอยู่เหนือวิญญาณที่แสดงอาการ และให้มันเงียบ ให้พูดว่าจงยอมรับ ในนามพระเยซูคริสต์ หรือจงเงียบในนามพระเยซู ฉันต้องการจะพูดกับ ... พูดซ้ำ สั่งจนกว่าวิญญาณนั้นจะเงียบ



ไม่ต้องตกใจหากมันใช้เวลา มันเป็นการช่วยอย่างมากในการพูดกับผู้รับการปลดปล่อย ว่าเรากำลังพูดกับวิญญาณชั่วที่แสดงอาการ ไม่ใช่พูดกับเขา และขอให้คนอื่นๆไม่ไปสัมผัสหรือพูดคุยกับผู้ที่รับการปลดปล่อย หรืออธิษฐานเสียงดัง เพราะมันจะยากที่จะทำให้วิญญาณชั่วสงบ



3. สร้างความสัมพันธ์และรักษาความสัมพันธ์ในระหว่างสนทนา



การมีส่วนร่วมกับผู้ถูกปลดปล่อย มีความสำคัญมากเพราะว่าเขาจะเป็นคนช่วยเราในการหาประตูที่เปิดอยู่และช่วยกันปิดพวกมัน นั่นคือคุณต้องสามารถพูดคุยกับเขา และคุณจะทำเช่นนั้นไม่ได้ถ้าวิญญาณชั่วกำลังแสดงอาการ



เราต้องรักษาการสนทนาระหว่างการทำพันธกิจนี้ บางครั้งก็ต้องมีการสั่งให้วิญญาณยอมรับ เราอย่าพูดกับวิญญาณอื่นๆ นอกจากให้มันอยู่ในคำสั่งในนามพระเยซู




4. ถามผู้รับการปลดปล่อยว่าอยากมีเสรีภาพ หรือย้ำให้มั่นใจว่าเขาต้องการมีเสรีภาพจริงๆ


มันมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการปลดปล่อยอย่างถาวร แต่เขาต้องมีความต้องการที่จะมีเสรีภาพ



ความสำเร็จของการปลดปล่อยคือ การได้รับการอภัยอย่างไม่มีเงื่อนไข การสารภาพกลับใจจากบาป การรือฟื้นจากความคิดหรือทัศนคติที่ผิด มันต้องการความตั้งใจที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ปล่อยให้วิญญาณชั่วแทรกผ่านเข้ามา ถ้าผู้รับการปลดปล่อยแสวงหาการปลดปล่อยแต่ขาดสิ่งนี้ เขาก็จะกลับมาเป็นแบบเดิมอีกแม้ว่าการปลดปล่อยจะสำเร็จ



ถ้าคุณเจอคนที่รับการปลดปล่อยที่ไม่มีความตั้งใจหรืออยากมีเสรีภาพไม่ว่าเหตุผลใด เราไม่ควรไล่เขา แต่เราควรอธิษฐานและอวยพรเขา แต่เราอย่าอธิษฐานเพื่อปลดปล่อยเขา ควรแนะนำให้เขากลับมาภายหลังเพื่อรับการปลดปล่อยเมื่อเขาต้องการที่จะมีเสรีภาพจริงๆ


5. สร้างความมั่นใจที่คนรับการปลดปล่อย ว่าคุณได้รับการยอมรับจากพระเยซูในฐานะเป็นพระผู้ช่วยให้รอด


ผู้รับการปลดปล่อย ต้องการความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะมีเสรีภาพ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องอธิบายต่อเขา ถ้าเขาไม่ใช่ผู้เชื่อ บางทีคุณต้องนำเขารับเชื่อมาหาพระเยซูคริสต์ ถ้าคุณไม่สามารถ ก็อธิษฐานให้เขาเผื่อการรักษา แต่อย่าอธิษฐานปลดปล่อย ให้คำแนะนำเขาว่าเชาควรที่จะให้พระเยซูเป็นพระเจ้าของเขาก่อนแล้วค่อยกลับมารับการปลดปล่อยรักษา



เราจะไปสู่ขั้นต่อไปได้ถ้าเขาต้องการมีเสรีภาพจริงๆ และต้องรับพระเยซูเป็นพระเจ้าในชีวิตเขาเท่านั้น






6. สัมภาษณ์ ผู้รับการปลดปล่อย ที่จะค้นหาเหตุการณ์ หรือความสัมพันธ์ ที่นำเขาไปสู่ความบาดเจ็บ



เป้าหมายของการสัมภาษณ์เพื่อหาสถานที่ๆจำเป็นต้องได้รับการให้อภัย ที่ๆจำเป็นต้องรับการรักษา และที่ๆต้องกลับใจและเป็นประตูที่เปิดอยู่



ถ้านี่เป็นสิ่งเจาะจงที่คนนั้นต้องการมีเสรีภาพ เราจะเริ่มจากตรงนั้น ถ้าเราหาจุดเริ่มต้นไม่เจอ เราต้องเริ่มค้นหาที่ความสัมพันธ์กับพ่อแม่ และต่อด้วยความสัมพันธ์กับคนอื่นๆและขยายไปพื้นที่อื่นๆ มองเข้าไปยังที่ๆคนรับการปลดปล่อยมีปัญหาและยาดเจ็บ หรือเส้นทางที่เขาอยู่ในความบาป ยิ่งลึกในการสัมภาษณ์ และมีรายละเอียดมากขึ้นในการให้อภัยและกลับใจ ก็ยิ่งดี



การสัมภาษณ์ในพื้นที่เป็นการสร้างความมั่นใจว่าเราได้สัมภาษณ์ถูกทาง พันธกิจควรจะครอบคลุมพื้นที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะไปสู่อีกพื้นที่หนึ่ง(เรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง)



พื้นที่จะรวมไปถึง ความสัมพันธ์ ,การเสพติด ,มีเพศสัมพันธ์นอกคู่สมรส,คำสาปแช่ง ,ชีวิตที่เป็นบาป หรือเป็นความโลภ การต้องการควบคุมคนอื่น




ในพื้นที่เรื่องความสัมพันธ์ ผู้สัมภาษณ์จะต้องหาจุดที่ไม่ได้รับการรักษาของผู้รับการบำบัด และผลของความบาดเจ็บหรือทัศนคติที่ผิด ในพื้นที่อื่นๆเขามองหาการมีส่วนร่วม ต้องการมีส่วนร่วม(คนที่ต้องการการอภัย) และบางครั้งผู้รับการปลดปล่อยมีความบาดเจ็บจากผู้อื่น


7. นำผู้รับการบำบัดเข้าไปใกล้ประตูนั้น เพื่อจะจัดการกับวิญญาณการนำ


ในที่นี้หมายถึงการที่ผู้รับการบำบัดได้พูดถ้อยคำตามที่คุณนำ และเมื่อเริ่มต้นขึ้นบางทีเขาสามารถนำเข้าสู่ขั้นตอนของเขา ที่จะปิดประตู ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอน 3-4 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งขั้นตอน B,C D ข้างล่างนี้บ่อยครั้งที่ได้ถูกสรุป ถ้าคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ขั้นตอน A ก็มีความจำเป็น


A การอภัย


ผู้รับการปลดปล่อย ไม่ได้ให้อภัยผู้ซึ่งทำใหเขาบาดเจ็บหรือนำเขาไปผิดทาง การกระทำต่างๆ การวิพากวิจารณที่ทำให้บาดเจ็บ เป็นต้น ที่พระวิญญาณบริสุทธ์นำสิ่งเหล่านั้นมาในความคิดของเขา หลังจากการให้อภัยแล้ว เขาควรบอกกับพระเจ้าที่เขาจะไม่พยายามที่จะเปลี่ยนคนแต่ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าเขาจะรักคนๆนั้นในสิ่งที่เขาเป็นได้ แล้วเมื่อผู้รับการปลดปล่อยอธิษฐานให้พระเจ้าอวยพรคนๆในทุกๆทาง การปลดปล่อยและการอวยพรก็จะเกิดขึ้นผ่านการให้อภัย



หลายครั้งที่ผู้รับการปลดปล่อยได้รับบาดเจ็บที่ลึกมาก ที่เขาไม่สามารถให้อภัยคนที่ทำร้ายเขาได้ง่าย เราต้องอธิบายกับเขาว่าการให้อภัยเป็นการตัดสินใจที่เขาต้องทำ ไม่ใช่ความรู้สึก อธิบายว่าถ้าเขาไม่ให้อภัย เขาก็จะไม่ได้รับการอภัย ถ้าเขายังคงไม่สามารถให้อภัยลองถามเขา ว่าเราจะอธิษฐานเผื่อเขาได้หรือไม่ ถ้าได้ให้เราอธิษฐานอย่างเงียบๆในการผูกมัดวิญญาณที่ไม่ให้อภัยในชีวิตเขา และสั่งให้มันออกไปในนามพระเยซู แล้วลองดูว่าเขาสามารถให้อภัยได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามหากเขาไม่สามาถมาถึงจุดที่ให้อภัยได้ เราต้องพูดอย่างสุภาพและด้วยความรักที่จะจบพันธกิจการปลดปล่อย เพราะถ้าเขาไม่ให้อภัยก็จะเปิดประตูให้มารได้กลับเข้ามา



การสัมภาษณ์และกระบวนการปิดประตูนั้นสามารถที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมากเหมือนเขาได้กลับไปเจอกับความเจ็บปวดที่อยู่ลึกอีกครั้ง คุณควรมอง คุณสามารถใช้ความรักอยุดมันและขอพระเจ้าที่จะรักษาบาดแผลและหัวใจที่สลายนั้น ไม่ต้องรีบในการอธิษฐาน คุณควรเปิดตาเพื่อดูบันทึก และอย่าพูดเพื่อตอบสนองเราเอง


B กลับใจและขอการอภัย


ผู้รับการอธิษฐานต้องกลับใจจากทัศนะคติเดิม ความรู้สึกและการกระทำที่ไม่มีพระเจ้า นี่เป็นการกลับใจที่รวมตัวเอง เช่นการไม่ให้อภัย ความโกรธ การนำการปฏิเสธหรือความเสียใจเก็บไว้ โดยทัศนะคติของเขาและความรู้สึกนั้นจะต้องสามารถเข้าใจได้ ถ้าพวกมันไม่ได้มาจากพระเจ้า มันก็มาจากศัตรู และพยายามกลับจากสิ่งนั้น ผู้รับการปลดปล่อยต้องอธิษฐานขอพระเจ้าให้อภัยเขา นี่จะเป็นการกลับใจจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง


C ชำระความบาปและวิญญาณที่เกี่ยวข้องโดยนามพระเยซู


ผู้รับการบำบัดต้องขอพระเจ้าตัดความสัมพันธ์ จากผลกระทบของความบาป และความบาดเจ็บ


ยกตัวอย่างเช่น



ในพระนามพระเยซู เราขอตัดความสัมพันธ์ความกลัวที่เข้ามาในชีวิตเมื่อ...


ในนามพระเยซู เราขอการตัดความสัมพันธ์ในการที่เราใช้ร่างกายเราร่วมกับคนอื่น (ชื่อของคนนั้น)และวิญญาณเพศสัมพันธ์ที่ไม่บริสุทธิ์ ขอชำระจากภาพลามก จินตนาการในเรื่องเพศ และทุกๆวิญญาณที่เกี่ยวข้อง


ในนามพระเยซู ขอตัดความสัมพันธ์ที่นำเราอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของมัน(แม่มด การดูดวง พลังจิต)


ในนามพระเยซู เราขอตัดความสัมพันธ์กับการถูกปฏิเสธ ความโดดเดี่ยว การเจ็บปวด ความสิ้นหวัง ความสับสน...



D ผู้ทำพันธกิจต้องหยุดอำนาจของทุกวิญญาณ



สร้างการประสานสายตากับผู้อธิษฐานเผื่อและทำการหยุด ในนามพระเยซู พลังของการตัดความสัมพันธ์กับวิญญาณและและสิ่งที่ผูกมันชีวิตของผู้รับการปลดปล่อย คุณควรอธิษฐานว่า “ในนามพระเยซู เราขอปลดปล่อยวิญญาณความกลัว ความเกลียดชัง ความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่ถูกต้อง ความโกรธ(อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง) เหนือชีวิตของ(ชื่อผู้รับการปลดปล่อย) และเมื่อมันได้ถูกไล่ออกไปมันจะไม่กลับมาอีก”


เราจะไม่ขับไล่วิญญาณชั่วจนกว่าประตูทั้งหมดถูกปิด หรืออย่างนั้นประตูเกือบทั้งหมดถูกปิด บางครั้งวิญญาณที่ถูกขับไล่จะไล่ยาก และมีการแสดงออก



8.เมื่อประตูถูกปิดและเราไล่วิญญาณที่ไม่สะอาดออก



มันเป็นการง่ายที่ไล่มันออก ในนามพระเยซู มันไม่ใช่การย้ายพวกมันไปไว้บางที่ ถ้าประตูยังคงปิดอยู่ พวกวิญญาณนั้นจะออกไปอย่างเงียบและรวดเร็ว ด้วยการสั่ง 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ได้ แสดงว่ามีสัญญาณบางอย่างว่าประตูทั้งหมดยังไม่ถูกปิดลง เราต้องกลับไปสัมภาษณ์กันใหม่ ค้นหาและปิดประตู



ผู้รับการอธิษฐานบางครั้งไม่แสดงอาการของการที่วิญญาณชั่วถูกขับ อย่างไรก็ตามเขาจะต้องมีความรู้สึกมีเสรีภาพ มีความสว่าง เหมือนหัวเราะ และมีสันติสุข



เมื่อทำถึงขั้นนี้ ให้เราถามพระวิญญาณว่าจะสำแดงสิ่งใดแก่เรา มีอะไรไหมที่เราต้องไล่มันออกอีก รอจนพระวิญญาณสำแดงบางสิ่ง แล้วลองถามผู้รับการอธิษฐานในสิ่งนั้น


9. นำผู้รับการปลดปล่อยนมัสการและขอบคุณพระเจ้าจากการปลดปล่อย



10. ถ้าผู้รับการปลดปล่อยขอให้พระวิญญาณเต็มล้น



ทุกๆส่วนในชีวิตที่ถูกทำโดยวิญญาณชั่ว คุณและผู้ช่วยสามารถอธิษฐานเผื่อเขาได้ที่ช่วง 9-10 นี้

1 ความคิดเห็น:

  1. Thank you so much for this info. It's very interesting and useful for our spirit to make the breakthrough and win in the battle together with God!!!
    hAvE a BleSseD dAy! gRaPe

    ตอบลบ