06 พฤศจิกายน 2553

I HAVE A DREAM

สุนทรพจน์ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่ได้รับการยกย่องถึงความงดงามทางภาษา เนื้อหากล่าวถึงพระเจ้า ผู้จะประทานเสรีภาพแก่ผู้ที่ถูกกดขี่ เสรีภาพที่คนผิวสีจะได้รับ

I HAVE A DREAM :Martin Luther King Jr.

ประวัติผู้เขียนและที่มาที่ไปของ I have a dream (http://th.wikipedia.org)
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (อังกฤษ: Martin Luther King, Jr.; 15 มกราคม พ.ศ. 2472 - 4 เมษายน พ.ศ. 2511)

เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง และหมอสอนศาสนานิกาย แบปติสต์ เกิดที่นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เป็นบุตรชายของพระแบปติส ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัย มอร์เฮาส์ แอตแลนตา จากวิทยาลัยการศาสนาโครเซอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย และจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ต่อมาได้กลายเป็นผู้นำขบวนการเรียกร้องสิทธิเสมอภาคของชาวผิวดำ โดยใช้นโยบาย และแนวทางต่อต้านที่ใช้ความนุ่มนวลตามแนวทางของมหาตมะ คานธี และจากทักษะการพูดต่อสาธารณะที่เป็นที่เลื่องลือ

คิงได้เป็นผู้นำในการคว่ำบาตรไม่ยอมรับการแบ่งแยกคนผิวดำที่ไม่ให้โดยสารรถประจำทางร่วมกับคนผิวขาว ที่เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละบามา และจัดประชุมผู้นำศาสนาคริสเตียนตอนใต้ ในระหว่างนี้เขาถูกจับขังคุกหลายครั้ง

ในปี พ.ศ. 2506 คิงเป็นผู้นำในการเดินขบวนอย่างสันติที่อนุสาวรีย์ลิงคอล์นในวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีผู้เข้าร่วมเดินมากถึง 200,000 คน ในการประชุมครั้งนี้เองที่คิงได้แสดงสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงคือ "ข้าพเจ้ามีความฝัน" (I Have a Dream) ในโอกาสนี้เขายังได้ประกาศว่า อเมริกาจะปราศจากความลำเอียงและไม่มีอคติต่อคนผิวสีในปี พ.ศ. 2507

ในปี พ.ศ. 2507 มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับรางวัลสันติภาพเคเนดี (Kennedy Peace Prize) รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ความสำเร็จสูงสุดของเขาได้แก่การท้าทายอำนาจของกฎหมายแบ่งแยกผิวในภาคใต้ของสหรัฐฯ หลังจากปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นไป มาร์ติน ลูเธอร์ คิงได้หันความสนใจไปเน้นการรณรงค์ให้มีการปรับปรุงสภาพสังคมของคนผิวดำ และคนยากจนในภาคเหนือของประเทศซึ่งพบว่าง่ายกว่า นอกจากนี้ คิงได้รณรงค์ต่อต้านการทำสงครามเวียดนาม และจะจัดการชุมนุมใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อีกครั้งหนึ่ง

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกลอบยิงถึงแก่ชีวิตที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี โดยเจมส์ เอิร์ล เรย์ ชาวผิวขาว ซึ่งต่อมาถูกจับกุมได้ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและถูกศาลพิพากษาจำคุก 99 ปี

หลังจากที่เขาถูกลอบสังหารในปี พ.ศ. 2511 เขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติจวบจนทุกวันนี้
วันที่ 15 มกราคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับการประกาศให้เป็น
"วันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง"
อันเป็นวันนักขัตฤกษ์ระดับชาติของสหรัฐอเมริกา และได้รับทยอยการยอมรับจากรัฐต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่ พ.ศ. 2529 เป็นต้นมา


คิงมีชื่อเสียงในเรื่องการพูดต่อสาธารณชน สุนทรพจน์ "I Have a Dream" ที่เขากล่าวในการเดินขบวนปี พ.ศ. 2506 ได้รับการยกย่องอย่างสูง ว่าทรงพลังและเป็นแบบอย่างของการพูดในที่สาธารณะ


บทแปลภาพรวม

ข้าพเจ้ายินดีที่ได้มาร่วมชุมนุมกับพวกท่านในวันนี้ ซึ่งจักกลายหน้าประวัติศาสตร์การชุมนุมเรียกร้องเสรีภาพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติเรา

เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ผู้ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์แผ่ร่มเงาแก่ผองเราซึ่งยืนอยู่ในที่แห่งนี้ ได้ลงนามในคำประกาศเลิกทาส กฎหมายฉบับนี้ประดุจดังดวงประทีปแห่งความหวังของทาสนิโกรนับล้าน ผู้ซึ่งถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอยุติธรรมที่เหยียดหมิ่น มันมาถึงประหนึ่งยามอรุณรุ่งอันน่าปรีดา ที่จะยุติค่ำคืนอันยาวนานแห่งการจองจำ

หากร้อยปีถัดมา, เราพานพบความจริงอันโหดร้ายว่าชาวนิโกรยังไม่เป็นไท ร้อยปีให้หลัง, ชีวิตของนิโกรยังคงถูกพันธนาการด้วยการเหยียดผิว และถูกจองจำด้วยตรวนแห่งการเหยียดจำแนก ร้อยปีถัดมา, ชนนิโกรยังดำรงชีพบนเกาะแห่งความจนยากอันโดดเดี่ยว ท่ามกลางมหาสมุทรที่ไพศาลไปด้วยความมั่งคั่งทางวัตถุ
ร้อยปีให้หลัง, นิโกรยังอ่อนระโหยอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของสังคมอเมริกา และพบว่าตนถูกเนรเทศพ้นไปจากแผ่นดินของเขาเอง ดังนั้นเราทั้งหลายมาชุมนุมในวันนี้ เพื่อแสดงให้เห็นสภาพอันน่าอดสูนี้

ในฐานะที่เราเข้ามาในเมืองหลวงของชาติเราเพื่อเอาเช็คมาขึ้นเงินสด เมื่อครั้งที่เหล่าสถาปนิกแห่งสาธารณรัฐของเราจารึกถ้อยคำน่าประทับใจในรัฐธรรมนูญและประกาศอิสรภาพ นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ลงนามในพันธสัญญาที่คนอเมริกันทุกผู้ต้องสืบทอดปณิธาน นี่เป็นบันทึกอันเป็นพันธะว่าเราทุกคนจะได้รับการประกันสิทธิ์ อันหาเพิกถอนได้แห่งชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาซึ่งความสุข หากวันนี้ประจักษ์ชัดว่า อเมริกาได้บิดพลิ้วต่อพันธสัญญานี้ ตราบเท่าที่ยังคำนึงถึงสีผิวของพลเมืองในประเทศ แทนที่่จะเคารพข้อผูกพันอันศักดิ์สิทธิ์ อเมริกากลับให้เช็คเสียกับประชาชนนิโกร เช็คนี้ถูกส่งคืนพร้อมกับตราประทับว่า “เงินไม่เพียงพอ” แต่เราปฏิเสธจะเชื่อว่าธนาคารแห่งความยุติธรรมได้ล้มละลายไปเสียแล้ว เราปฏิเสธจะเชื่อว่าไม่มีเงินเพียงพอภายใต้หลังคาที่ยิ่งใหญ่แห่งโอกาสของชาติเรา ดังนั้นเราจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อขอขึ้นเงิน — กับเช็คที่ตอบรับความต้องการในความมั่งคั่งแห่งเสรีภาพ และความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม เรามายังสถานศักดิ์สิทธิ์นี้ เพื่อเตือนอเมริกาให้ระลึกถึงความเร่งด่วนอันร้อนแรงในทันทีนี้ หามีเวลาจะยึดติดความฟุ่มเฟือย หรือให้ยาระงับประสาทเพื่อให้เรื่องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องทำให้คำมั่นแห่งประชาธิปไตยเป็นจริงขึ้นมา
บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องลุกขึ้นจากความมืดมน และหุบผาที่ถูกทิ้งร้างแห่งการแบ่งแยกสีผิว ไปบนหนทางอันเจิดจรัสแห่งความยุติธรรมทางเชื้อชาติ
บัดนี้เป็นเวลาที่จะเปิดประตูแห่งโอกาสให้แก่บุตรของพระผู้เป็นเจ้าทุกผู้ทุกนาม
บัดนี้เป็นเวลาที่จะยกระดับชาติของเราจากหล่มปลักแห่งความยุติธรรมทางเชื้อชาติ ไปยังภูผาอันแกร่งกล้าแห่งภราดรภาพ
มันจะกลายเป็นหายนะแก่ประเทศชาติหากมองข้ามห้วงยามแห่งความเร่งด่วน และประเมินความต้องการของชาวนิโกรต่ำไป คิมหันต์อันอบอ้าวจากความไม่พอใจอันชอบธรรมของชาวนิโกรจะไม่ผ่านพ้นไป ตราบจนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงอันมีชีวิตชีวาแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมกันจะมาถึง ปี 1963 หาใช่จุดสิ้นสุด

หากแต่เป็นจุดเริ่ม ผู้ที่หวังว่านิโกรต้องการเพียงที่จะระเบิดอารมณ์แล้วก็จะพอใจ คนกลุ่มนั้นจะอยู่ในสภาพตะลึงงันหากประเทศชาติยังคงดำเนินไปตามที่มันเป็น จะไม่มีการหยุดพักหรือความสงบในประเทศอเมริกาจนกว่าชนนิโกรจะได้รับสิทธิ์ในความเป็นพลเมืองอย่างแท้จริง ความปั่นป่วนจากการจลาจลจะดำเนินต่อไปเพื่อสั่นคลอนรากฐานของชาติเรา จนกว่าวันที่สดใสแห่งความยุติธรรมจักปรากฏ

แต่มีบางสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากกล่าวกับประชาชนของข้าพเจ้าผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงธรณีประตูอันอบอุ่น ซึ่งจะนำเราไปยังพระราชวังแห่งความยุติธรรม ในขั้นตอนการได้มาซึ่งสถานะอันมีสิทธิ์ เราต้องปราศจากมลทินแห่งการกระทำอันผิดพลาด เราต้องไม่แสวงหาความพอใจในการดับความกระหายเสรีภาพของเรา ด้วยการดื่มกินจากถ้วยแห่งความขมขื่นและความเกลียดชัง
เราต้องดำเนินการต่อสู้ตลอดไปบนพื้นฐานอันสูงส่งของเกียรติยศและวินัย เราต้องไม่อนุญาตให้การประท้วงที่สร้างสรรค์ของเรากลายเป็นการใช้ความรุนแรงทางกายภาพ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม เราต้องยืนหยัดอย่างสง่างาม ในหลักการหลอมรวมระหว่างพลังทางกายและพลังทางจิตวิญญาณอันสูงส่ง
ความเข้มแข็งอันน่าอัศจรรย์ครั้งใหม่ ซึ่งมันปกคลุมทั้งผองชนนิโกร จะต้องไม่นำเราไปสู่ความไม่ไว้วางใจของคนขาวทั้งปวง เพราะพี่น้องคนขาวหลายคน ดังประจักษ์พยานของการปรากฎตัวของพวกเขาในวันนี้ ได้ยืนยันว่าโชคชะตาของพวกเขาได้ผูกพันกับโชคชะตาของเรา และเสรีภาพของพวกเขา เป็นพันธะที่ตรึงแน่นกับเสรีภาพของเรา
เราไม่อาจเดินได้เพียงลำพัง ขณะที่เราเดิน เราต้องให้คำมั่นว่าเราก้าวไปข้างหน้า เราไม่อาจหันหลังกลับได้ มีคนถามผู้นับถือสิทธิพลเมืองว่า “เมื่อไหร่พวกคุณจึงจะพอใจ?”
เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่ชาวนิโกรยังเป็นเหยื่อจากความหวาดกลัวอันไม่อาจเอ่ยถึงของตำรวจที่โหดร้าย เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่ร่างกายเราอันเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แล้วยังไม่อาจเข้าพักในโรงแรมบนทางหลวง หรือโรงแรมในตัวเมืองได้ เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่ยังมีการเคลื่อนย้ายฐานของพวกนิโกรออกจากพื้นที่ชุมชนแออัดไปจนถึงชุมชนขนาดใหญ่ เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่ลูกหลานเรายังถูกปลดเปลือยตัวตน และถูกช่วงชิงศักดิ์ศรีไปด้วยการแขวนป้ายที่ระบุว่า “สำหรับคนขาวเท่านั้น” เราไม่อาจพอใจได้ ตราบใดที่คนนิโกรในมิซซิสซิปปี้ ปราศจากสิทธิ์ออกเสียง และคนนิโกรในนิวยอร์คเชื่อว่าไม่มีใครที่ควรจะลงคะแนนให้ ไม่หรอก ไม่มีทางที่เราจะพอใจ และเราไม่อาจพอใจตราบจนความยุติธรรมหลั่งรินลงมาดุจหยาดน้ำ และความเที่ยงธรรมหลั่งไหลดุจสายน้ำอันเชี่ยวกราก ข้าพเจ้าไม่อาจเมินเฉยต่อความจริงที่ว่า พวกท่านบางคนมาถึงนี่ด้วยความทรมาน และความยากแค้น พวกท่านบางคนเพิ่งมาจากห้องขังอันคับแคบ พวกท่านบางคนมาจากท้องที่ซึ่ง การแสวงหาซึ่งเสรีภาพได้ทิ้งท่านไว้ กับการทุบตีด้วยพายุแห่งการข่มเหง และการต้องโซซัดโซเซจากสายลมแห่งความป่าเถื่อนของตำรวจ ท่านกลายเป็นผู้ทุกข์ทรมานมามาก จงดำเนินการต่อไปด้วยความศรัทธาว่าความทุกข์ยากที่มิได้ก่อนี้จะถูกปลดเปลื้อง
จงกลับไปยังมิสซิสซิปปี้ จงกลับไปยังอลาบาม่า จงกลับไปยังเซาธ์แคลิฟอร์เนีย จงกลับไปยังจอร์เจีย จงกลับไปยังหลุยเซียน่า
จงกลับไปยังสลัมและชุมชนแออัดในเมืองทางเหนือของเรา และจงรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้สามารถและจักเปลี่ยนแปลงไปด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง
จงอย่าจมปลักอยู่ในหุบผาแห่งความหดหู่ ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกท่านในวันนี้ เพื่อนเอ๋ย – หากแม้ความลำบากที่เราเผชิญในวันนี้และวันพรุ่ง ข้าพเจ้าจะยังมีความฝัน ความฝันซึ่งฝังรากลึกอยู่ในความฝันแห่งอเมริกันชน ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่งประเทศนี้จะหยัดยืนขึ้นและจรรโลงความหมายที่แท้จริงของบทบัญญัติทางศาสนาที่ว่า “เรายึดถือความจริงเหล่านี้เป็นการยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน” ข้าพเจ้ามีความฝันว่าวันหนึ่งบนเนินเขาสีแดงในจอร์เจีย บุตรของทาสกับบุตรของอดีตเจ้าทาสจะนั่งร่วมโต๊ะแห่งภราดรภาพได้
ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่งแม้แต่รัฐมิสซิสซิปปี้ซึ่งอวลไปด้วยไอแห่งอยุติธรรม ระอุไปด้วยความร้อนแรงแห่งการกดขี่ จะแปรเปลี่ยนเป็นที่ชุ่มชื้นแห่งเสรีภาพและความยุติธรรม
ข้าพเจ้ามีความฝันว่าในวันหนึ่งลูกๆ ทั้งสี่คนของข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในชาติที่พวกเขาไม่ถูกพิพากษาจากสีผิว แต่ด้วยสาระแห่งอุปนิสัยของเขา
ข้าพเจ้ามีความฝันในวันนี้ ข้าพเจ้ามีความฝันว่า วันหนึ่งในอลาบาม่า ที่ซึ่งมีการเหยียดชาติอย่างชั่วร้าย ที่ซึ่งมีผู้ว่าการรัฐกำลังเปล่งวาจาขัดขวางและล้มล้างเราอยู่นั้น สักวันหนึ่งเด็กชายผิวดำและเด็กหญิงผิวดำตัวน้อย จะสามารถเกี่ยวก้อยกับเด็กชายผิวขาวและเด็กหญิงผิวขาวตัวน้อย ได้ดุจดังพี่น้องกัน
ข้าพเจ้ามีความฝันในวันนี้ ข้าพเจ้ามีความฝันว่าวันหนึ่งทุกหุบผาจะถูกยกให้สูงขึ้น พร้อมกันนั้นทุกเนินเขาและภูผาจะถูกทำให้ราบลงมาเสมอกัน พื้นที่อันขรุขระถูกถางเป็นทางราบ ทางคดเคี้ยวถูกทำให้เป็นเส้นตรง เมื่อนั้นเสียงแซ่ซ้องแห่งพระเป็นเจ้าจะถูกเปล่งขึ้น และผองเราจะเห็นเวลานั้น นี่เป็นความหวังของเรา นี่เป็นศรัทธาของเราซึ่งข้าพเจ้าจะนำกลับไปทางใต้ ด้วยศรัทธานี้เราจะสกัดหุบเขาแห่งความหดหู่ ออกเป็นศิลาแห่งความหวัง ด้วยศรัทธานี้เราจะเปลี่ยนเสียงเสียดหูแห่งความบาดหมางในชาติเรา ให้เป็นเสียงเพลงอันแสนหวานแห่งภราดรภาพ ด้วยศรัทธานี้เราจะสามารถทำงานร่วมกัน สวดมนต์ด้วยกัน ต่อสู้ร่วมกัน ถูกจองจำร่วมกัน หยัดยืนเพื่อเสรีภาพร่วมกัน เพราะเรารู้ว่าเราจะมีเสรีภาพไม่วันใดก็วันหนึ่ง วันนี้ก็คือวันที่ว่า, นี่เป็นวันที่บุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้าจะขับขานด้วยความหมายใหม่กับบทเพลงที่ว่า “ประเทศของข้าฯ ข้าฯขอขับขานบทเพลงแห่งเสรีภาพอันแสนหวานแด่ท่าน ดินแดนที่บรรพบุรุษของข้าฯฝังร่าง ดินแดนแห่งความภาคภูมิใจของผู้แสวงบุญ ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานจากทุกขุนเขา”
และหากอเมริกาจะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นจริง
ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากยอดเขาอันไพศาลแห่งนิวแฮมเชียร์ ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากภูเขาที่ทรงพลังแห่งนิวยอร์ค ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากที่ราบสูงอัลเลเกนิสแห่งเพนซิลวาเนีย ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากขุนเขาร็อคกี้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะแห่งโคโลราโด ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากเนินเขาอันคดเคี้ยวแห่งแคลิฟอร์เนีย ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากภูเขาสโตนแห่งจอร์เจีย ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากภูเขาลุคเอ๊าท์แห่งเทนเนสซี ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวานไปจากทุกด้าน และทุกเนินเขาและทุกเนินดินทุกแห่งในมิสซิสซิปปี้ ขอให้เสรีภาพจงก้องกังวาน และเมื่อสิ่งนี้บังเกิดขึ้น เมื่อเราบันดาลให้เสรีภาพดังกังวาน – เมื่อเราให้เสรีภาพก้องกังวานจากทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน จากทุกรัฐ ทุกเมือง เราอาจจะเร่งวันเวลาที่บุตรของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งคนดำคนขาว ทั้งพวกยิว คนศาสนาอื่น ทั้งแคธอลิคทั้งโปรเตสแตนท์ จะสามารถจับมือกันและขับขานบทเพลง

เป็นถ้อยคำจากบทสวดในทางจิตวิญญาณอันเก่าแก่ของพวกคนผิวสีได้ว่า “เสรีภาพในที่สุด เสรีภาพในที่สุด ขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธานุภาพ พวกเราจะมีเสรีภาพในที่สุด”

……………………………………




เนื้อหาต้นฉบับภาพรวม


I am happy to join with you today in what will go down in history as the greatest demonstration for freedom in the history of our nation.
Five score years ago, a great American, in whose symbolic shadow we stand signed the Emancipation Proclamation. This momentous decree came as a great beacon light of hope to millions of Negro slaves who had been seared in the flames of withering injustice. It came as a joyous daybreak to end the long night of captivity.
But one hundred years later, we must face the tragic fact that the Negro is still not free. One hundred years later, the life of the Negro is still sadly crippled by the manacles of segregation and the chains of discrimination. One hundred years later, the Negro lives on a lonely island of poverty in the midst of a vast ocean of material prosperity. One hundred years later, the Negro is still languishing in the corners of American society and finds himself an exile in his own land. So we have come here today to dramatize an appalling condition.
In a sense we have come to our nation's capital to cash a check. When the architects of our republic wrote the magnificent words of the Constitution and the declaration of Independence, they were signing a promissory note to which every American was to fall heir. This note was a promise that all men would be guaranteed the inalienable rights of life, liberty, and the pursuit of happiness.
It is obvious today that America has defaulted on this promissory note insofar as her citizens of color are concerned. Instead of honoring this sacred obligation, America has given the Negro people a bad check which has come back marked "insufficient funds." But we refuse to believe that the bank of justice is bankrupt. We refuse to believe that there are insufficient funds in the great vaults of opportunity of this nation. So we have come to cash this check -- a check that will give us upon demand the riches of freedom and the security of justice. We have also come to this hallowed spot to remind America of the fierce urgency of now. This is no time to engage in the luxury of cooling off or to take the tranquilizing drug of gradualism. Now is the time to rise from the dark and desolate valley of segregation to the sunlit path of racial justice. Now is the time to open the doors of opportunity to all of God's children. Now is the time to lift our nation from the quicksands of racial injustice to the solid rock of brotherhood.
It would be fatal for the nation to overlook the urgency of the moment and to underestimate the determination of the Negro. This sweltering summer of the Negro's legitimate discontent will not pass until there is an invigorating autumn of freedom and equality. Nineteen sixty-three is not an end, but a beginning. Those who hope that the Negro needed to blow off steam and will now be content will have a rude awakening if the nation returns to business as usual. There will be neither rest nor tranquility in America until the Negro is granted his citizenship rights. The whirlwinds of revolt will continue to shake the foundations of our nation until the bright day of justice emerges.
But there is something that I must say to my people who stand on the warm threshold which leads into the palace of justice. In the process of gaining our rightful place we must not be guilty of wrongful deeds. Let us not seek to satisfy our thirst for freedom by drinking from the cup of bitterness and hatred.
We must forever conduct our struggle on the high plane of dignity and discipline. We must not allow our creative protest to degenerate into physical violence. Again and again we must rise to the majestic heights of meeting physical force with soul force. The marvelous new militancy which has engulfed the Negro community must not lead us to distrust of all white people, for many of our white brothers, as evidenced by their presence here today, have come to realize that their destiny is tied up with our destiny and their freedom is inextricably bound to our freedom. We cannot walk alone.
And as we walk, we must make the pledge that we shall march ahead. We cannot turn back. There are those who are asking the devotees of civil rights, "When will you be satisfied?" We can never be satisfied as long as our bodies, heavy with the fatigue of travel, cannot gain lodging in the motels of the highways and the hotels of the cities. We cannot be satisfied as long as the Negro's basic mobility is from a smaller ghetto to a larger one. We can never be satisfied as long as a Negro in Mississippi cannot vote and a Negro in New York believes he has nothing for which to vote. No, no, we are not satisfied, and we will not be satisfied until justice rolls down like waters and righteousness like a mighty stream.
I am not unmindful that some of you have come here out of great trials and tribulations. Some of you have come fresh from narrow cells. Some of you have come from areas where your quest for freedom left you battered by the storms of persecution and staggered by the winds of police brutality. You have been the veterans of creative suffering. Continue to work with the faith that unearned suffering is redemptive.
Go back to Mississippi, go back to Alabama, go back to Georgia, go back to Louisiana, go back to the slums and ghettos of our northern cities, knowing that somehow this situation can and will be changed. Let us not wallow in the valley of despair.
I say to you today, my friends, that in spite of the difficulties and frustrations of the moment, I still have a dream. It is a dream deeply rooted in the American dream.
I have a dream that one day this nation will rise up and live out the true meaning of its creed: "We hold these truths to be self-evident: that all men are created equal."
I have a dream that one day on the red hills of Georgia the sons of former slaves and the sons of former slaveowners will be able to sit down together at a table of brotherhood.
I have a dream that one day even the state of Mississippi, a desert state, sweltering with the heat of injustice and oppression, will be transformed into an oasis of freedom and justice.
I have a dream that my four children will one day live in a nation where they will not be judged by the color of their skin but by the content of their character.
I have a dream today.
I have a dream that one day the state of Alabama, whose governor's lips are presently dripping with the words of interposition and nullification, will be transformed into a situation where little black boys and black girls will be able to join hands with little white boys and white girls and walk together as sisters and brothers.
I have a dream today.
I have a dream that one day every valley shall be exalted, every hill and mountain shall be made low, the rough places will be made plain, and the crooked places will be made straight, and the glory of the Lord shall be revealed, and all flesh shall see it together.
This is our hope. This is the faith with which I return to the South. With this faith we will be able to hew out of the mountain of despair a stone of hope. With this faith we will be able to transform the jangling discords of our nation into a beautiful symphony of brotherhood. With this faith we will be able to work together, to pray together, to struggle together, to go to jail together, to stand up for freedom together, knowing that we will be free one day.
This will be the day when all of God's children will be able to sing with a new meaning, "My country, 'tis of thee, sweet land of liberty, of thee I sing. Land where my fathers died, land of the pilgrim's pride, from every mountainside, let freedom ring."
And if America is to be a great nation this must become true. So let freedom ring from the prodigious hilltops of New Hampshire. Let freedom ring from the mighty mountains of New York. Let freedom ring from the heightening Alleghenies of Pennsylvania!
Let freedom ring from the snowcapped Rockies of Colorado!
Let freedom ring from the curvaceous peaks of California!
But not only that; let freedom ring from Stone Mountain of Georgia!
Let freedom ring from Lookout Mountain of Tennessee!
Let freedom ring from every hill and every molehill of Mississippi. From every mountainside, let freedom ring.
When we let freedom ring, when we let it ring from every village and every hamlet, from every state and every city, we will be able to speed up that day when all of God's children, black men and white men, Jews and Gentiles, Protestants and Catholics, will be able to join hands and sing in the words of the old Negro spiritual, "Free at last! free at last! thank God Almighty, we are free at last!"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น