มีพี่น้องท่านหนึ่งได้ใช้ของประทานการเผยพระวจนะให้กับนักธุรกิจคริสเตียนคนหนึ่ง
เมื่อพี่น้องท่านนี้กำลังเผยพระวจจนะ
เขาก็เรียกร้องให้นักธุรกิจคริสเตียนผู้นี้กลับใจจากความบาปลับๆที่แอบทำอยู่
แต่นักธุรกิจคริสเตียนก็เอ่ยกับพี่น้องที่กำลังเผยพระวจนะว่า เขาไม่ได้มีด้านมืดในชีวิตและไม่ได้มีบาปที่แอบทำอย่างลับๆ
แต่พี่น้องที่เผยพระวจนะก็ยังยืนกรานให้นักธุรกิจสะสางด้านมืดในชีวิต
ทั้งนี้พี่น้องที่กำลังเผยพระวจนะนั้น
ได้เล่าว่าขณะที่เขากำลังใช้ของประทานการเผยพระวจนะ
เขาได้มองเห็นเมฆดำๆสีเทาๆที่อยู่บนศีรษะของนักธุรกิจ เขาจึงตีความนิมิตที่เห็นว่า
นักธุรกิจผู้นี้คงมีด้านมืดบางอย่างในชีวิตที่ไม่ได้กลับใจ
แต่นักธุรกิจก็มั่นใจว่าตัวเขาไม่ได้มีด้านมืดในชีวิตแบบนั้น
วันเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
ผลปรากฏว่ามีพนักงานคนหนึ่งในบริษัทของนักธุรกิจที่ได้ยักยอกเงินบริษัท
โดยที่นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของบริษัทกลับไม่รู้ถึงการยักยอกนี้
แต่สุดท้ายพนักงานคนนี้ก็ถูกจับได้และถูกดำเนินการตามระเบียบของบริษัท
ทันใดนั้นเอง นักธุรกิจก็เข้าใจว่า
นิมิตที่พี่น้องเห็นเป็นเมฆดำๆนั้นไม่ได้หมายถึงชีวิตส่วนตัวของเขา
แต่หมายถึงมีความอธรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในบริษัทต่างหาก
เห็นนิมิต แต่ตีความผิด
เรื่องเล่านี้ให้ข้อคิดว่า
บางครั้งนิมิตที่เราเห็นก็เป็นนิมิตที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่เราอาจจะตีความนิมิตผิดพลาดไป จึงเผยพระวจนะออกไปอย่างไม่แม่นยำ
ดังนั้นเมื่อคนเราใช้ของประทานการเผยพระวจนะ สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือการตีความนิมิตที่มองเห็น
บางครั้งเมื่อเราเห็นนิมิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงต้องการสื่อสารเรื่องหนึ่ง
แต่เรากลับตีความและเข้าใจไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
โดยการคุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรียบร้อยก่อนว่า นิมิตที่มองเห็นนั้น พระองค์ต้องการสื่อสารอะไร?
บางครั้งเมื่อเราเห็นนิมิตก็ไม่จำเป็นต้องรีบด่วนในการพูดออกไป
แต่ให้ลงลึกกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อน แล้วค่อยพูดการสำแดงออกไป
งูกับความมืด
บางครั้งเมื่อคนเราเห็นนิมิตเกี่ยวกับ
งูหรือความมืด โดยพื้นเพแล้ว คนเราก็มักจะตีความเรื่องความมืดกับงูในแง่ลบ
แต่บางครั้งเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานนิมิตเกี่ยวกับงูหรือความมืดนั้น
พระองค์ก็ไม่ได้สื่อสารในความหมายด้านลบทุกครั้ง
มีบางครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสื่อสารนัยยะด้านบวกผ่านความมืดและงูด้วย
จากพระคัมภีร์
งูก็ไม่ได้มีความหมายเป็นลบเสมอไป ในด้านบวก งูเป็นสัญลักษณ์ที่เล็งถึงปัญญา
ส่วนความมืดก็ไม่ได้มีความหมายในด้านลบเสมอไป ในพระคัมภีร์ก็ได้อธิบายว่า
บางครั้งพระเจ้าก็เสด็จมาในความมืด (ดู สดุดี 18:9-11; 97:2) จึงกล่าวได้ว่า
ความมืดก็มีความหมายที่สื่อถึงการทรงสถิตของพระเจ้า
ดังนั้นเมื่อเพื่อนๆเห็นนิมิตเป็นงูหรือความมืด
เพื่อนๆก็อย่าเพิ่งรีบตีความในด้านลบ แต่ให้สอบถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนว่า
พระองค์ต้องการสื่อสารอะไรผ่านนิมิตนี้
เพราะบางทีพระองค์อาจสื่อสารในแง่ของปัญญาหรือในแง่ของการทรงสถิตก็ได้
ความสว่างก็ไม่ใช่ด้านบวกเสมอไป
และบางครั้งเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานนิมิตเกี่ยวกับความสว่างหรือสิงโต
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความหมายแง่บวกเสมอไป
บางเวลาพระองค์ประทานนิมิตที่เป็นแสงสว่างเพื่อต้องการสื่อสารว่า
ตอนนี้มีซาตานกำลังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ของความสว่างอยู่ ส่วนสิงโตนั้น
บางทีก็มีความหมายที่สื่อถึงสิงห์แห่งเผ่ายูดาห์ที่สรรเสริญพระเจ้า
แต่บางทีก็หมายถึงมารที่วนเวียนดุจสิงคำราม
คุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวกับนิมิตก่อน
ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ว่า
เมื่อคนเราเห็นนิมิตแล้ว
ก็อย่าเพิ่งรีบตีความแต่ควรสอบถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนว่า
นิมิตที่เรามองเห็นนั้นมีความหมายสื่อถึงอะไร?
บางครั้งนิมิตที่ดูเหมือนจะมีความหมายลบสุดๆ
ก็อาจเป็นนิมิตที่มีความหมายบวกสุดๆก็ได้
Philip Kavilar
Philip Kavilar นักวิชาการด้านฟิสิกส์
ผู้ศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานอดิเรก
เป็นผู้ที่มีของประทานด้านวิชาการและการเผยพระวจนะผสมผสานกัน
ท่านมีความปรารถนาที่จะเห็นการร่วมประสานกันระหว่างพี่น้องในสายวิชาการกับพี่น้องในสายฤทธิ์เดช
และหนุนใจให้คริสตจักรขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะและการแปลภาษาแปลกๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น