12 ธันวาคม 2561

งูกับความมืดไม่ได้มีความหมายแย่เสมอไป

เรื่องเล่าจากนักธุรกิจ
มีพี่น้องท่านหนึ่งได้ใช้ของประทานการเผยพระวจนะให้กับนักธุรกิจคริสเตียนคนหนึ่ง เมื่อพี่น้องท่านนี้กำลังเผยพระวจจนะ เขาก็เรียกร้องให้นักธุรกิจคริสเตียนผู้นี้กลับใจจากความบาปลับๆที่แอบทำอยู่ แต่นักธุรกิจคริสเตียนก็เอ่ยกับพี่น้องที่กำลังเผยพระวจนะว่า เขาไม่ได้มีด้านมืดในชีวิตและไม่ได้มีบาปที่แอบทำอย่างลับๆ แต่พี่น้องที่เผยพระวจนะก็ยังยืนกรานให้นักธุรกิจสะสางด้านมืดในชีวิต ทั้งนี้พี่น้องที่กำลังเผยพระวจนะนั้น ได้เล่าว่าขณะที่เขากำลังใช้ของประทานการเผยพระวจนะ เขาได้มองเห็นเมฆดำๆสีเทาๆที่อยู่บนศีรษะของนักธุรกิจ เขาจึงตีความนิมิตที่เห็นว่า นักธุรกิจผู้นี้คงมีด้านมืดบางอย่างในชีวิตที่ไม่ได้กลับใจ แต่นักธุรกิจก็มั่นใจว่าตัวเขาไม่ได้มีด้านมืดในชีวิตแบบนั้น

            วันเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผลปรากฏว่ามีพนักงานคนหนึ่งในบริษัทของนักธุรกิจที่ได้ยักยอกเงินบริษัท โดยที่นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของบริษัทกลับไม่รู้ถึงการยักยอกนี้ แต่สุดท้ายพนักงานคนนี้ก็ถูกจับได้และถูกดำเนินการตามระเบียบของบริษัท ทันใดนั้นเอง นักธุรกิจก็เข้าใจว่า นิมิตที่พี่น้องเห็นเป็นเมฆดำๆนั้นไม่ได้หมายถึงชีวิตส่วนตัวของเขา แต่หมายถึงมีความอธรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ในบริษัทต่างหาก

 เห็นนิมิต แต่ตีความผิด
เรื่องเล่านี้ให้ข้อคิดว่า บางครั้งนิมิตที่เราเห็นก็เป็นนิมิตที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เราอาจจะตีความนิมิตผิดพลาดไป จึงเผยพระวจนะออกไปอย่างไม่แม่นยำ ดังนั้นเมื่อคนเราใช้ของประทานการเผยพระวจนะ สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือการตีความนิมิตที่มองเห็น บางครั้งเมื่อเราเห็นนิมิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงต้องการสื่อสารเรื่องหนึ่ง แต่เรากลับตีความและเข้าใจไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยการคุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรียบร้อยก่อนว่า นิมิตที่มองเห็นนั้น พระองค์ต้องการสื่อสารอะไร? บางครั้งเมื่อเราเห็นนิมิตก็ไม่จำเป็นต้องรีบด่วนในการพูดออกไป แต่ให้ลงลึกกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อน แล้วค่อยพูดการสำแดงออกไป

งูกับความมืด
บางครั้งเมื่อคนเราเห็นนิมิตเกี่ยวกับ งูหรือความมืด โดยพื้นเพแล้ว คนเราก็มักจะตีความเรื่องความมืดกับงูในแง่ลบ แต่บางครั้งเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานนิมิตเกี่ยวกับงูหรือความมืดนั้น พระองค์ก็ไม่ได้สื่อสารในความหมายด้านลบทุกครั้ง มีบางครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสื่อสารนัยยะด้านบวกผ่านความมืดและงูด้วย
 จากพระคัมภีร์ งูก็ไม่ได้มีความหมายเป็นลบเสมอไป ในด้านบวก งูเป็นสัญลักษณ์ที่เล็งถึงปัญญา ส่วนความมืดก็ไม่ได้มีความหมายในด้านลบเสมอไป ในพระคัมภีร์ก็ได้อธิบายว่า บางครั้งพระเจ้าก็เสด็จมาในความมืด (ดู สดุดี 18:9-11; 97:2) จึงกล่าวได้ว่า ความมืดก็มีความหมายที่สื่อถึงการทรงสถิตของพระเจ้า 
ดังนั้นเมื่อเพื่อนๆเห็นนิมิตเป็นงูหรือความมืด เพื่อนๆก็อย่าเพิ่งรีบตีความในด้านลบ แต่ให้สอบถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนว่า พระองค์ต้องการสื่อสารอะไรผ่านนิมิตนี้ เพราะบางทีพระองค์อาจสื่อสารในแง่ของปัญญาหรือในแง่ของการทรงสถิตก็ได้ 

ความสว่างก็ไม่ใช่ด้านบวกเสมอไป
และบางครั้งเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานนิมิตเกี่ยวกับความสว่างหรือสิงโต ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความหมายแง่บวกเสมอไป บางเวลาพระองค์ประทานนิมิตที่เป็นแสงสว่างเพื่อต้องการสื่อสารว่า ตอนนี้มีซาตานกำลังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ของความสว่างอยู่ ส่วนสิงโตนั้น บางทีก็มีความหมายที่สื่อถึงสิงห์แห่งเผ่ายูดาห์ที่สรรเสริญพระเจ้า แต่บางทีก็หมายถึงมารที่วนเวียนดุจสิงคำราม

คุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เกี่ยวกับนิมิตก่อน
ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ว่า เมื่อคนเราเห็นนิมิตแล้ว ก็อย่าเพิ่งรีบตีความแต่ควรสอบถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนว่า นิมิตที่เรามองเห็นนั้นมีความหมายสื่อถึงอะไร? บางครั้งนิมิตที่ดูเหมือนจะมีความหมายลบสุดๆ ก็อาจเป็นนิมิตที่มีความหมายบวกสุดๆก็ได้

           
พระคุณของพระเยซูคริสต์จงมีแด่เพื่อนๆ
Philip Kavilar



Philip Kavilar นักวิชาการด้านฟิสิกส์ ผู้ศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานอดิเรก เป็นผู้ที่มีของประทานด้านวิชาการและการเผยพระวจนะผสมผสานกัน  ท่านมีความปรารถนาที่จะเห็นการร่วมประสานกันระหว่างพี่น้องในสายวิชาการกับพี่น้องในสายฤทธิ์เดช และหนุนใจให้คริสตจักรขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะและการแปลภาษาแปลกๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น