ทรัมพ์ยอมรับกรุงเยรูซาเล็ม(Trump’s Recognition of Jerusalem)
โดย รอน แคนเทอร์(Ron Cantor)
เมื่อวันพุธที่ผ่าน (6 ธ.ค.) มาประธานาธิบดีทรัมพ์ได้ยอมรับสิ่งที่เป็นความจริงมานับทศวรรษ นั่นคือกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เขาได้ประกาศเจตจำนงที่จะยกเลิกการชะลอวาระตามสิทธิประธานาธิบดีซึ่งมีการผัดผ่อนมาหลายสิบปี คือที่จะย้ายสถานทูตจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเล็ม โดยวาระดังกล่าว สภาคองเกรสได้ลงมติยอมรับอย่างท่วมท้นในปี1995
ปฏิกิริยาของคนในโลกมีหลากหลายทั้งตื่นเต้น ผิดหวัง และโกรธเกรี้ยว บ้างก็อ้างว่านี่เป็นไปตามคำพยากรณ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ว่านี่คือหายนะ และนี่เป็น 7 ประเด็นที่จะช่วยให้เราคิดและอธิษฐาน
1. อิสราเอลประกาศไว้ในปี 1950ว่ากรุงเยรูซาเล็มคือเมืองหลวง ทว่าตั้งแต่วันนั้นมีเพียงแค่สองประเทศที่ตกลงยอมรับความจริงข้อนี้ และภายหลังก็ได้ย้ายสถานทูตของตนกลับไปยังกรุงเทลอาวีฟ ลองนึกดูว่า ถ้าทุกประเทศในโลกปฏิเสธที่จะรับกรุงวอชิงตันดีซีเป็นเมืองหลวงของสหรัฐฯ หรือกรุงปักกิ่งของจีน หรือกรุงปารีสของฝรั่งเศส สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่อง“ปกติ”หรือไม่หากร้องขอให้ประเทศเหล่านั้นปฏิบัติงาน ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว แต่นี่คือสิ่งที่โลกร้องขอให้อิสราเอลทำ
2. กลุ่มฮามาสและกลุ่มก่อการร้ายต่างๆกล่าวว่าการกระทำของทรัมพ์เกี่ยวกับเยรูซาเล็มเป็น “สิ่งเลวร้าย” พวกเขาเรียกร้องให้มีการลุกฮือขึ้นของชาวปาเลสไตน์อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่พูดถึงการใช้อาวุธเคมีของนายอัสซาด หรือโจร ISIS ที่ฆ่ากรรมชาวมุสลิมและคริสเตียน 500,000 คนในซีเรีย แล้วยังผู้ลี้ภัยจำนวน 10 ล้านคน การข่มเหงสตรีในโลกอาหรับ ฯลฯ ยังมี“สิ่งเลวร้าย”ที่แท้จริงในตะวันออกกลางให้โกรธเกรี้ยว ทว่าเรื่องนี้ (การยอมรับเยรูซาเลม) ไม่ควรรวมเป็นประเด็นหนึ่งในนั้นเลย
3. พระเจ้าพยากรณ์ (หรือรู้ล่วงหน้า) มาหลายพันปีแล้วว่ากรุงเยรูซาเล็มจะเป็นเมืองที่มีความขัดแย้ง มากที่สุดในโลก สดุดีบทที่2 กล่าวว่าประชาชาติต่อสู้พระเจ้า แต่คำตอบของพระองค์คือ “เราเองได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้วบนศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” เศคาริยาห์12:2-3 กล่าวว่ากรุงเยรูซาเล็มในยุคสุดท้ายจะเป็น“ถ้วยน้ำเมาและหินหนัก”ต่อชนชาติที่รายล้อม “เขาจะบาดเจ็บเพราะตนเอง”เนื่องจากลุกขึ้นต่อสู้ กรุงเยรูซาเล็มและพระเจ้าของอิสราเอล
4. จากกระแสความเกรี้ยวกราดดูเหมือนว่าผู้คนลืมไปว่าตลอดประวัติศาสตร์ กรุงเยรูซาเล็มแทบไม่มีความสำคัญเลยต่อโลกมุสลิมอาหรับ ที่นี่ไม่เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศใดในโลกอาหรับ ความร้อนรนแบบ จอมปลอมนี้เพิ่งเกิดขึ้นไปทั่วโลกมุสลิมเมื่อชาวยิวเริ่มกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม อาณาจักรมุสลิมออตโตมานปล่อยให้เมืองรกร้างอย่างสิ้นเชิงตลอดเวลา400ปีที่ครองกรุงเยรูซาเล็ม
5. ในทางกลับกันพระเจ้าได้เลือกกรุงเยรูซาเล็มไว้เป็นที่สถานที่สำหรับสร้างที่ประทับของพระองค์ และที่นี่ยังเป็นเมืองหลวงชนชาติยิวทั้งสิ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์ดาวิดซึ่งเป็นเวลายาวนานกว่า 3,000 ปีมาแล้ว กรุงเยรูซาเล็ม (หรือศิโยน) ถูกกล่าวถึงราว 1,000 ครั้งในพระคัมภีร์เดิมแต่ไม่พบเลยสักครั้งในคัมภีร์อัลกุรฺอาน
6. สภาพภูมิศาสตร์ในพระกิตติคุณได้บรรยายถึงจุดสำคัญทั่วอิสราเอล และกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายของชีวิตพระเยซูไม่ว่าจะเป็นการสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนชีพ และกำเนิดของคริสตจักรยุคแรกล้วนแต่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม นบีมูฮัมหมัดไม่เคยแวะมาที่เยรูซาเลม มีเพียงการกล่าวถึงอย่างลอยๆว่าครั้งหนึ่งเวลากลางคืนท่านเคยมาเยือนมัสยิดอัคซาในความฝัน ซึ่งชาวมุสลิมอ้างว่าคือกรุงเยรูซาเล็ม (อัล-อิสรออ์ 17:1)
Ron Cantor
|
ตลอดเวลาร่วม70 ปีที่ประเทศต่างๆในโลกเชื่อว่าการไม่ยอมรับว่า กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลจะสามารถนำไปสู่สันติภาพ แต่ไม่เลย! เหมือนอย่างที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้กล่าวว่า หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่างคุณก็ต้องลองทำสิ่งใหม่ ต้องขอยกย่องทรัมพ์ที่มีความกล้าหาญที่จะเชื่อว่าการยอมรับความจริงเรื่องกรุงเยรูซาเล็มคือเมืองหลวงของชาวอิสราเอลจะเป็นกุญแจนำสันติภาพมายังอิสราเอลและปาเลสไตน์ ขอให้เราอธิษฐานว่าสิ่งนี้จะเป็นจริง และเพื่อเราจะเห็นชาวยิวและมุสลิมกลับมาหาพระเยซูมากขึ้นและมากขึ้น
บทความจาก REVIVE ISRAEL
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น