25 กรกฎาคม 2557

เก็บความทรงจำ World cup 2014


สวัสดีครับ เพื่อนผู้อ่านทุกท่าน แม้ฟุตบอลโลกที่บราซิลจะจบไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์แต่ความทรงจำที่ดียังไม่จางหายไป      ผมขอแสดงความยินดีกับทีมชาติเยอรมันที่ได้แชมป์โลกสมัยที่ 4 โดยชนะทีมชาติอาร์เจนติน่าไป 1:0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ บทความคุยนอกสนามครั้งนี้ จึงขอเก็บความทรงจำของฟุตบอล World Cup 2014 มาแบ่งปันกันตามนี้ครับ  

(ผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านบทความในตอนที่ผ่านมาได้ตาม link นี้ได้ครับ เกร็ดน่ารู้ World Cup 2014 และ เก็บบอลหลังตาข่าย World cup 2014)
ความสำเร็จของอินทรีเหล็ก
 
ขอเริ่มต้นเก็บความทรงจำด้วยความสำเร็จของทีมชาติเยอรมัน หรือที่รู้จักกันด้วยฉายา "ทีมอินทรีเหล็ก" ทีมนี้ได้ชื่อว่าเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุดถึง 105 นัด ในจำนวน 16 ครัั้งที่ได้เข้าร่วมพลาดเพียงครั้งเดียวในปี 1950 ที่บราซิลจัดครั้งแรก เนื่องจากถูกแบนจากการแข่งขัน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นชาติที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 
นัดที่สุดประทับใจคือ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ทีมอินทรีเหล็กถล่มทีมเจ้าภาพ แซมบ้า บราซิลถึง 7-1 เป็นการพ่ายแพ้ในบ้านครั้งแรกนับจากปี 1975 เรียกว่า "ยิ่งกว่าล็อคถล่ม"  ทำให้ชาวบราซิล หรือทีมเซเลเซา (แปลว่าผู้ที่ถูกเลือก เพราะใครติดทีมชาติบราซิลคือต้องผ่านการคดเลือกมาอย่างดี)
ทีม"เซเลเซา" เลยกลายเป็น "เซเลเศร้า"ไปเลย เป็นความเจ็บปวดของชาวบราซิลที่ผิดหวังกับทีมชุดนี้ที่พ่ายแพ้ในบ้านนับตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมา และผิดหวังมากกว่าครั้งที่พลาดได้แชมป์โลกปี 1950 ที่จัดที่บราซิลครั้งแรกด้วยซ้ำ
 
คำขวัญ (Slogan) ประจำทีมในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ของทีมเยอรมันคือ
One nation,One team,One dream. หนึ่งเดียวกันในชาติ,ทีมและความใฝ่ฝัน ทำให้เป็นการรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ฝันเป็นจริง ทีมชาติเยอรมัน เอาชนะทีมอาร์เจนติน่า 1:0 คว้าแชมป์โลกไปครองได้สำเร็จ เป็นทีมยุโรปทีมแรกที่ไปคว้าแชมป์ในทวีปอเมริกาใต้และสามารถคว้าดาวดวงที่ 4 มาประทับที่ตราทีมชาติได้สำเร็จ ความสำเร็จเริ่มจากการต่อยอดความล้มเหลวของทีมอินทรีเหล็ก 10 ปีแห่งความล้มเหลวจากการตกรอบแรกฟุตบอลยุโรปในปี 2004 เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปครั้งใหญ่ของฟุตบอลในประเทศเยอรมัน 
โยอาคิม เลิฟ (Joachim Löw) กุนซือทีมชาติเยอรมัน บอกว่า "การคว้าแชมป์โลกในวันนี้ เป็นเพราะการทำงานอย่างหนักตลอด 10 ปีของทุกคน ใช่ครับ และมันไม่ใช่แค่ผลผลิตที่เกิดขึ้นจาก เดเอฟเบ (DFB (Deutscher Fußball-Bund) สมาคมฟุตบอลเยอรมนี ), นักเตะ หรือสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติ เพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะทุกภาคส่วนต่างมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน ให้ความร่วมมืออย่างดี สนับสนุนเกื้อกูลกัน จนในที่สุดก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน..."  
ผมขอสรุป  4 ปัจจัยหลักในความสำเร็จของเยอรมัน มีดังนี้ครับ
 
1. ระบบการเล่น วินัย ที่ปลูกฝังจนเป็นทีมสปิริต
 

สำหรับทีมเยอรมัน "การมีทีมสปิริต สำคัญกว่าการมีซูปเปอร์สตาร์" จะเห็นได้จากฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ทีมชาติเยอรมันเล่นได้เป็นระบบที่สุด โดยระบบที่ลงตัวที่สุดคือ ระบบ 4-2-3-1  นั่นคือกองหลัง 4 แบ็คโฟร์ ยืนกันเป็นแนวเดียว กองกลางตัวรับตัดเกม 2 ตัวหน้าแผงกองหลัง กลางรุก 3 ตัว และมีหน้าเป้า 1 ตัว ต้องขอชมกัปตันทีมคือ ฟิลิปป์ ลาห์ม(Philip Lahm) ที่ยอมถอยจากกองกลางตัวรับมาเล่นตำแหน่งแบ็คขวา เพราะทีมมีปัญหาจุดนี้ ในช่วงรอบแรก จะเห็นได้ว่าคำว่า "ทีม"ย่อมมาก่อนผู้เล่น แม้ว่าลาห์มจะเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับได้ดี จ่ายบอลเยี่ยม ตัดเกมคู่ต่อสู้ได้ดี แต่เมื่อทีมมีจุดอ่อน เขาก็ยินดีไปเปลี่ยนในตำแหน่งดังกล่าว  นอกจากนี้ นักเตะคนอื่นในทีมยัวช่วยกันวิ่งไล่บอล และกดดันคู่ต่อสู้จนทำให้ทีมสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ นักเตะของทีมเยอรมันมีค่าเฉลี่ยในการวิ่งแต่ละนัดมากที่สุด แม้แต่โธมัส มุลเลอร์ (Thomas Muller) กองหน้าตัวเป้ายังต้องลงมาไล่บอลในแดนกลางเพื่อช่วยทีม   นักเตะระดับซูปเปอร์สตาร์อย่าง มิโลสลาฟ โคลเซ่ (Miloslav Klose) แม้จะเป็นดาวซัลโวผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลก 16 ประตูใน 4 สมัย ยังยินดีที่จะเป็นตัวสำรองเพื่อลงมาช่วยทีมในเวลาสำคัญ
 2. บุนเดสเทรนเนอร์ เข้าใจและเข้าถึงทีม
 
 โยอาคิม เลิฟ (Joachim Löw) บุนเดสเทรนเนอร์ (Bundestrainer-ผู้ฝึกสอนทีมชาติ)
เป็นคนที่มีประสบการณ์อยู่วงการฟุตบอลเยอรมันมานาน เคยเป็นมือขวาของทีมเชฟ (teamchef) อย่างเจอร์เก้น คลินส์มันน์ (Jurgen Klinsmann) เจ้าของฉายา "ฉลามขาว"  (ตำแหน่ง บุนเดสเทรนเนอร์ (Bundestrainer) ต่างจากทีมเชฟ teamchef เพราะบุนเดสเทรนเนอร์ คือคนที่ผ่านการอบรมการเป็นโค้ชได้รับใบอนุญาต (license) การทำทีม)
สมัยเจอร์เก้น คลินส์มันน์ เคยเป็นนักเตะดังและได้รับการแต่งตั้งมาคุมทีมชาติเยอรมันไม่ได้ผ่านการอบรมโค้ช  การเริ่มจากตำแหน่งผู้ช่วยมาก่อนตั้งแต่ปี 2004 ทำให้เลิฟ มีประสบการณ์การทำงาน 10 ปี รู้จักนักฟุตบอลในทีมเป็นอย่างดีและเป็นคนที่เลือกสรรนักฟุตบอลมาเอง
เขาเก็บนักเตะที่ทำงานร่วมกันมานานร่วม 10 ปีอย่าง โคลเซ่ ,ชไวนี่, ลาห์ม,โพโดลสกี้ และผสมผสานนักเตะดาวรุ่งจากทีมชาติชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ที่ขึ้นชั้นมาเล่นชุดใหญ่อย่างนอยเออร์,มุลเลอร์, โครส, ฮุมเมล โอซิล และเกิร์ทเซ่
เลิฟ มีความมุ่งมั่นและเอาจริงในการฝึกซ้อมลูกทีมและขยันที่จะศึกษาการเล่นของคู่แข่ง เพื่อนำมาปรับแท็คติกการเล่นที่เหมาะสมในการทำทีม ยกตัวอย่าง เขาปรับการเล่นนัดที่เจอกับทีมฝรั่งเศสกับราซิลจากระบบระบบ 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-2 เพื่อใช้โคลเซ่ลงมาคู่กับมุลเลอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในเกมรุกและมันก้ได้ผลดีทั้ง 2 นัด
 
3. ระบบสโมสรและการสร้างนักเตะของชาติทำงานร่วมกัน
 
แม้ว่าในลีกของชาติหรือบุนเดสลีก้า จะเต็มไปด้วยนักเตะต่างชาติที่มาค้าแข้งในเยอรมัน แต่สมาคมฟุตบอลก็วางระบบในการพัฒนาทีมสโมสรต่างๆอย่างเป็นระบบ  ทีมสโมสรชั้นนำของเยอรมันจะเล่นในระบบเดียวกันคือ ระบบ 4-2-3-1 ทำให้เลิฟสามารถเลือกผู้เล่นที่เข้ากับระบบของเขา จะเห็นได้ว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่จะมาจากสโมสรบาเยิร์น มิวนิคและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์เป็นแกนหลัก
ระบบการเล่นของเยอรมันเป็นระบบที่น่านำมาศึกษาและปรับใช้เพราะเหมาะสมกับฟุตบอลสมัยใหม่ที่ไม่เพียงแต่ผู้เล่นมีความสามารถ แต่ต้องมีพละกำลังและทีมเวิร์คในการเล่นด้วยกัน เพราะฟุตบอลในระบบเดิมที่เคยประสบความสำเร็จ ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทีมที่เคยเป็น Teamwork  มันไม่ work ซะแล้ว
 
เริ่มด้วยทีมชาติอิตาลี หรืออัสซูรี่ทีมสีน้ำเงิน เคยเป็นแชมป์โลกเมื่อปี 2006 แต่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ตกรอบแรก  ด้วยสไตล์การเล่นแบบ “คาเตนัคโช่” (Catenaccio) หรือตามคำพังเพยของไทยคำว่า “ตีหัวเข้าบ้าน” ที่หลายคนมองว่ามันแสนจะน่าเบื่อเหลือเกิน นั่นคือเล่นเกมรับให้เหนียวแน่น และสวนกลับ หากได้ประตูนำก็อุดประตู แต่ระบบนี้ใช้ไม่ได้ เพราะอิตาลีชุดนี้ หน้าไม่คม หลังก็ไม่เหนียวอย่างที่ควรจะเป็นทำให้ตกรอบแรกไป 2 ครั้งติดในปี 2010และ 2014
ระบบต่อมาคือ ระบบการเล่นแบบทีมชาติสเปน  ที่พวกเขาต้องพลาดท่า ตกรอบแรก ฟุตบอลโลกไปแบบสุดช็อก หลังจากที่พ่ายให้กับทีมชาติ ชิลี 0-2 กลายเป็นแชมป์เก่าทีมที่ 4 ที่ต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบแรก สเปน นั้นครองความยิ่งใหญ่ มาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี 2008 การเล่นในรูปแบบที่ เรียกว่า ติกี้ ตาก้า (Tiki Taka)  ฟุตบอลโลกครั้งนี้ กลายเป็น "ตะกุกตะกัก" เนื่องด้วยวัยที่ร่วงโรยไปของนักเตะทั้ง ชาบี เอร์นานเดซ , เซอร์จิโอ บุสเก็ตส์ , อันเดรส อิเนียสต้า , เคราร์ด ปิเก้ และอีกหลาย ๆ คน ทำให้ สเปน ครองความยิ่งใหญ่ ในโลกลูกหนัง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ฟุตบอล ยูโร 2008 ฟุตบอลโลก 2010 และ ยูโร 2012
 
โยฮัน ครัฟฟ์(Johan Cruyff) ตำนานนักเตะเทวดา ชาวดัตท์ เคยพูดเอาไว้ว่า "วงจรของทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ จะอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี หลังจากนั้นมีแต่จะดาวน์ลง ๆ จนไม่เหลือลายเดิม หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง"
 
และปัจจัยสุดท้ายในข้อที่ 4 คือ
 
4.ทีมงานสนับสนุนเบื้องหลังของทีมและกำลังใจจากแฟนบอล

การที่ทีมจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีคนที่คอยหนุนหลังให้กำลังใจและทำงานเบื้องหลัง นอกจากเลิฟ และนักเตะทีมชาติแล้ว ผมขอยกย่องในการทำงานนอกสนามของคนเหล่านี้คือ

ผู้จัดการทีม โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟท์  อดีตนักเตะทีมชาติ ,ผู้ช่วยโค้ช ฮันส์ ดีเตอร์ ฟลิกค์
อัวรค ซีแกน-ทาเลอร์   ผู้คอยป้อนข้อมูลช่าวสารของคู่แข่งรายต่อไป ไม่มีนักวิเคราะห์คู่แข่งคนไหนแล้วที่ทำได้เหมือนเขา มีข้อมูลและข้อเท็จจริงไว้ให้อย่างมหาศาล ที่ทำให้บุนเดสเทรนเนอร์นำไปใช้ในการเตียมการรับมือกับทุกทีมได้

นอกจากนั้น ยังมีทีมงานฟิตเนสที่เยี่ยมที่สุด แซด ฟอร์ไซธ์ล ,มาร์ค แฟร์สเตเก้น และ เบนจามิน คูเกิล ที่ทำให้นักเตะอินทรีเหล็กฟิตเปรี๊ย  ทีมงานแพทย์ที่ถือว่าดีที่สุดในโลกทีมหนึ่ง แพทย์ประจำทีมเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค หมอเทวดา ดร.ฮันส์-วิลเฮล์ม มุลเลอร์-โวห์ลฟาร์ธ 

นอกจากนี้ผู้เล่นคนที่ 12 คือ แฟนบอลหลายล้านคนในเยอรมันและหลายพันหลายหมื่นคนในบราซิลคอยให้กำลังใจ อยากเห็นทีมชาติเยอรมันชนะตู่แข่งด้วยตาตัวเองทั้งในสนามและอยู่ทางบ้านหน้าจอทีวี




รวมถึงผู้นำของประเทศ คือ นายกรัฐมนตรีหญิ อันเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) ที่ตามไปให้กำลังใจทีมเสมอถึงประเทศบราซิล  

 
ทั้งหมดนี้คือ ปัจจัยสำคัญที่เป็นองค์ประกอบในความสำเร็จของทีมชาติเยอรมันประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ที่เราควรจะศึกษาและนำมาพัฒนาในวงการฟุตบอลไทยของเรา

ก่อนที่จะจบบทความนี้ ขอเก็บความทรงจำ ฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วย
สรุปรางวัลต่างๆประจำฟุตบอลโลก 2014  มีดังนี้

รางวัลถุงมือทองคำ ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม คือ  มานูเอล นอยเออร์(Manuel Neuer) จากทีมชาติเยอรมัน นายทวาร Sweeper Keeper จอมออกมาตัดบอลนอกเขตโทษ  

รางวัลลูกบอลทองคำ  นักฟุตบอลยอดเยี่ยม คือ เลโอเนล เมสสี่ (Lionel Mesi) จากทีมชาติอาร์เจนติน่า

รางวัลรองเท้าทองคำ ดาวซัลโว คือ  ฮาเมส โรดิเกวซ (James Rodriguez) จากทีมชาติโคลอมเบีย  จำนวน 6 ประตู  กองกลางที่ย้ายไปร่วมทีมรีล มาดริดของสเปนแล้ว

ดาวรุ่งยอดเยี่ยม คือ  พอล ป็อกปา(Paul Pogba) จากทีมชาติฝรั่งเศส

ทีมแฟร์เพลย์ Fair Play award คือ ทีมชาติโคลอมเบีย ได้ใบเหลืองเพียงแค่ 5 ใบเท่านั้นจากการลงเล่นตลอด 5 แมตช์  นอกจากนี้พวกเขายังเป็นทีมที่เล่นด้วยน้ำใจนักกีฬา, ให้ความเคารพต่อคู่แข่ง และผู้ตัดสินในแต่ละเกม

ขอจบบทความครั้งนี้ และขอบันทึกความทรงจำฟุตบอลโลกครั้งนี้ พบกันใหม่ในฟุตบอลโลกปี 2018 ที่ประเทศรัสเซีย   ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

03 กรกฎาคม 2557

เก็บบอลหลังตาข่าย World cup 2014

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายจัดที่ประเทศบราซิลได้ผ่านการแข่งขันรอบ16 ทีมไปแล้ว ตอนที่ผมเขียน blog อยู่นี้ได้ทีมที่ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปแล้ว ได้แก่ ทีมเจ้าภาพ บราซิล,โคลอมเบีย,คอสตาริก้า,เนเธอร์แลนด์,ฝรั่งเศส,เยอรมัน,อาร์เจนติน่าและเบลเยี่ยม  ซึ่ง 1 ใน 8 ทีมแหละครับที่จะได้เป็นแชมป์โลกในครั้งนี้ เราคงจะได้มาติดตามชมกันต่อไป สำหรับวันนี้ ผมขอนำเสนอบทความ "เก็บบอลหลังตาข่าย"  ซึ่งเป็นการเก็บตกสิ่งที่น่าสนใจในการแข่งขันฟุตบอลโลกในรอบแบ่งกลุ่มและรอบ 16 ทีมที่ผ่านมา  (ผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านบทความครั้งที่ผ่านมาที่ผมเขียนคือ เกร็ดน่ารู้ World cup 2014 ได้นะครับ) 


ทีมที่ได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย


ผมขอเริ่มจากสิ่งที่น่าประทับใจในฟุตบอลโลกครั้งนี้นะครับ

เทคโนโลยีโกล์ไลน์(Goal Line) คลายปัญหาคาใจ

โกลไลน์ถูกใช้ตัดสินประตูครั้งแรกในบอลโลกสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความก้าวหน้าของฟุตบอลโลกครั้งนี้คือการใช้เทคโนโลยีโกล์ไลน์(Goal Line) มาใช้เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาว่าลูกบอลนั้นเข้าหรือไม่เข้า โดยการฝังชิพในลูกฟุตบอลและมีระบบสัญญาณเซ็นเซอร์ติดไว้ที่เสาประตู เมื่อลูกบอลผ่านเส้นประตูไปทั้งใบ ระบบก็จะส่งสัญญาณไปที่นาฬิกาผู้ตัดสินจะบอกว่าเป็นประตู
ฟุตบอลโลกครั้งนี้ เทคโนโลยีโกล-ไลน์ ก็ถูกใช้ตัดสินเพื่อหาความชัดเจนในการทำประตูเป็นครั้งแรกในการแข่งฟุตบอลโลกแล้ว โดยเกิดขึ้นในนัดที่ ฝรั่งเศส ชนะ ฮอนดูรัส 3-0 จากจังหวะที่ลูกยิงของ คาริม เบนเซม่า (Karim Benzema)หัวหอกของทีม "ตราไก่" ลูกบอลไปชนเสา แล้วเด้งมาโดนตัวของ โนเอล วัลลาดาเรส(Noel Valladares) ผู้รักษาประตูทีมฮอนดูรัส ข้ามเส้นไปแบบทั้งใบอย่างฉิวเฉียด  ผู้ตัดสินมองที่นาฬิกาและเป่าให้เป็นลูกได้ประตูไป  อีกสิ่งหนึ่งที่มักจะเกิดปัญหาในการตัดสินคือจังหวะได้ลูกฟรีคิกและการตั้งกำแพง ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ มีการใช้ "สเปรย์กำหนดเขตกำแพง"

สเปรย์กำหนดเขตกำแพงลดข้อขัดแย้ง

ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า(FIFA)ได้กำหนดกติกานี้ขึ้นมาใหม่คือ การใช้สเปรย์กำหนดเขตกำแพง   โดยที่สเปรย์ชนิดดังกล่าวนี้ หลังจากฉีดลงไปในพื้นหญ้าไปแล้ว ไม่เกิน 1 นาที รอยสเปรย์ก็จะจางหายไปเอง



ยูอิจิ นิชิมูระ(Yuichi Nishimura) ผู้ตัดสินชาวญี่ปุ่นเป็นคนแรกที่ได้ใช้สเปรย์ชนิดพิเศษ ฉีดพ่นบนสนามระหว่างเกมฟุตบอลโลก นัดเปิดสนาม ระหว่าง บราซิล พบ โครเอเชีย เพื่อกำหนดระยะการยิงฟรีคิก  ซึ่งทำให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมสำหรับทั้งสองฝ่าย
ผมว่าวงการฟุตบอลไทยก็น่าจะนำสเปรย์ชนิดพิเศษนี้ไปใช้
ในการตัดสิน อาจจะมีสเปรย์พริกไทยด้วย เพื่อใช้ป้องกันตัวสำหรับผู้ตัดสินคนไทยจากแฟนบอลอันธพาลที่ไม่ยอมรับผลการตัดสิน

ตั้งแต่ผมชมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ผมคิดว่ามาตรฐานการตัดสินของผู้ตัดสินครั้งนี้ดีมากกว่าทุกครั้ง ความผิดพลาดน้อยมากโดยเฉพาะในจังหวะสำคัญ การใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเป็นสิ่งที่ดีและไม่ขัดจังหวะทำลายความต่อเนื่องของการแข่งขันฟุตบอลให้เสียอารมณ์  วงการฟุตบอลไทยควรจะนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาเพราะฟุตบอลไทยในลีกต่างๆกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน แทบจะไม่ค่อยมีผู้ชมในแต่ละสนาม เวลาโฆษกสนามประกาศแทนที่จะอ่านรายนามผู้เล่นกับประกาศว่า ต่อไปนี้เป็นรายนามผู้ชมจะจบเร็วว่ากล่าวรายนามผู้เล่น แซวกันเล่นนะครับ ทั้งนี้เพราะต้องการเห็นฟุตบอลไทยได้รับการพัฒนาจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายกับเขาสักครั้ง

กองเชียร์ชาวญี่ปุ่นช่วยกนทำความสะอาด
จิตสาธารณะของกองเชียร์ชาวญี่ปุ่น
อีกสิ่งหนึ่งที่น่ายกย่องนำมากล่าวชมเชยคือกองเชียร์ชาวญี่ปุ่น แม้ผลงานทีมจะตกต่ำไม่ผ่านรอบแรก แต่ผลงานกองเชียร์ของคนญี่ปุ่นน่าประทับใจ นอกจากจะเป็นกองเชียร์ที่สร้างสีสันแล้ว ยังมีน้ำใจและจิตสาธารณะ หลังเกมการแข่งขันก็ช่วยกันดูแลความสะอาดโดยการช่วยกันเก็บขยะที่อัฒจันทร์ของตนเอง  น่าประทับใจมากๆสำหรับการปลูกฝังวัฒนธรรมที่ดีแบบนี้ คนญี่ปุ่นมีความรักชาติและภาคภูมิใจในความเป็นประเทศของเขา แม้ทีมฟุตบอลของเขาจะตกรอบแรกแบบหมดลุ้นแต่เมื่อนักฟุตบอลของเขากลับบ้านไป พวกเขาได้รับการต้อนรับแบบวีรบุรุษที่กลับมาจากศึกสงครามเลยทีเดียว
(ผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่าน บทความ "แรงบันดาลใจ" นักฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นได้นะครับ)

ผิดกลับประเทศเกาหลีใต้ที่ทีมตกรอบแรกเหมือนกัน เมื่อนักฟุตบอลเดินทางมาถึงสนามบินที่กรุงโซลกลับถูกโห่ไล่และขว้างลูกอมใส่ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของชาวเกาหลีใต้ในการแสดงความไม่พอใจ

เรามาเก็บตกหลังตาข่ายในเรื่องสถิติต่างๆและเรื่องราวที่น่าสนใจในฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วยกัน

Miroslav Klose 
โคลเซ่...ดาวยิงสูงสุดฟุตบอลโลก
 มิโรสลาฟ โคลเซ่ (Miroslav Klose) กองหน้าตัวเป้าของ เยอรมัน วัย 36 ปี ฟุตบอลโลกครั้งนี้เขาทำสถิติตะบันในบอลโลกสูงสุดเท่า "โล้นทองคำ" โรนัลโด้ ตำนานดาวยิงชาวบราซิล ด้วยจำนวน 15 ประตู เมื่อโคลเซ่ถูกส่งลงสนามในเกมกับกาน่า ก่อนยิงประตูตีเสมอทัพ "ดาวดำ" 2-2 
ทีมเยอรมันได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปแล้ว เขาอาจจะทำประตูได้และเป็นดาวยิงสูงสุดฟุตบอลโลกก็เป็นได้ 
     

Faryd Mondragon
ฟารีด มอนดรากอน (Faryd Mondragon) แม้แก่แต่ยังเก๋า
ช่วงท้ายเกมนัดระหว่าง โคลอมเบีย กับ ญี่ปุ่น ขณะสกอร์ห่าง 3-1 และเหลือเวลาอีกแค่ 6 นาที โฮเซ่ เปเกร์มัน กุนซืออาร์เจนไตน์ตัดสินใจเปลี่ยน ฟารีด มอนดรากอน นายทวารจอมเก๋า ลงมาแทน ดาวิด ออสปิน่า มือหนึ่งของทีมทำให้ ฟารีด มอนดรากอน ลายเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดที่ลงเล่นในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ด้วยวัย 43 ปี 4 วัน ทำลายสถิติเดิมของ โรเจอร์ มิลล่า ที่ทำไว้ในปี 1994 จากแมตช์กับรัสเซีย (42 ปี 39 วัน)
Divock Origi
โอริชี่  ดาวรุ่ง ดาวยิงตัว"กลั่น"

ดิว็อค โอริชี่ (Divock Origi) ดาวยิงทีมชาติเบลเยียม กลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่ยิงประตูได้ในเกมฟุตบอลโลกครั้งนี้ ด้วยวัยเพียง 19 ปี ในนัดที่ชนะรัสเซีย 1-0  นอกจากนี้ทีมเบลเยี่ยมยังเป็นทีมพลังหนุ่มที่มาค่าอายุเฉลี่ยของทีมเพียง 25 ปี ดิว็อค โอริชี่ยังเป็นดาวยิงที่น่าจับตามองที่สโมสรในยุโรปหลายทีมต้องการจะคว้าตัวไปร่วมทีม รวมถึงหงส์แดง ลิเวอร์พูล เราต้องจำชื่อดาวยิงคนนี้ไว้ให้ดีอาจจะเป็นดาวรุ่งในอนาคตก็ได้

ซัวเรซ ดาวดับ ดาวยิงตัว"กัด"
หลุยส์ ซัวเรซ(Luis  Suárez) ดาวยิงชาวอุรุกวัยสร้างเรื่องอื้อฉาวด้วยการไป "งับ" ไหล่ของ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ปราการหลังอิตาเลียน  ผลลัพธ์คือถูกฟีฟ่าตัดสินแบน 9 นัดของฟีฟ่าในเกมระดับชาติ นับเป็นบทลงโทษมากที่สุด ทำลายสถิติเดิมที่ฟีฟ่าเคยสั่งลงโทษ เมาโร ทัสซ็อตติ กองหลังอิตาลี กรณีชักศอกใส่ หลุยส์ เอ็นริเก้ ของสเปนในเกมฟุตบอลโลก 1994 ซึ่งคราวนั้น ทัสซ็อตติรับโทษไปเต็มๆ 8 นัดถ้วน 
หลังฟุตบอลโลกครั้งนี้ หลุยส์ ซัวเรซอาจจะย้ายจากลิเวอร์พูลไปและดิว็อค โอริชี่อาจจะมาแทนที่ก็เป็นได้ใครจะไปรู้

นอกจากดาวดับแล้วทีมที่เล่นได้น่าผิดหวังมากๆในฟุตบอลโลกครั้งนี้มีหลายทีม แต่ขอยกมา 2 ทีมขวัญใจมหาชนคือ สเปนและอังกฤษที่ตกรอบแรกแบบหมดลุ้น

แชมป์เก่า เศร้าสนิท มิตรส่ายหน้า
 
 "ทีมกระทิงดุ" สเปน แชมป์โลกและแชมป์ยุโรป มาป้องกันแชมป์ครั้งนี้ด้วยความหวัง แต่เหตุการณ์กลับ
ตาลปัตร ลูกทีมของสุดยอดโค็ช บิเซนเต้ เดล บอสเก้  เปิดสนามพ่ายแพ้ต่อ "ทีมกังหันสีส้ม" แบบหมดสภาพ 1-5  ต่อด้วยการพ่ายแพ้ต่อทีมชิลีอย่างหมดสภาพอีก 0-2 ทำให้
ตกรอบแรก นับเป็นการร่วงรอบแรกของทีม "แชมป์เก่า" ฟุตบอลโลกถึง 3 จาก 4 ทัวร์นาเมนต์หลัง นับตั้งแต่ปี 2002 (ฝรั่งเศส) และ 2010 (อิตาลี)  รวมถึงแท็คติกการเล่นฟุตบอลแบบติกิ๊-ตะก๊ะ (
Tiki-taka ) 
เป็นต่อบอลแบบเท้าต่อเท้าสลับไปมาอย่างแม่นยำ แต่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ การเล่นบอลของสเปนแบบ "ติกิ๊-ตะก๊ะ" (Tiki-taka)  กลายเป็น "ตะกุกตะกัก" เครื่องเดินสะดุด ต่อบอลไม่ไหลลื่น   เนื่องจากนักฟุตบอลของสเปนหลายคนเลยช่วงสุดยอดของการเป็นนักเตะแล้ว หลังฟุตบอลโลกครั้งนี้คงจะมีการยกเครื่องเปลี่ยนยกชุดสำหรับพลพรรคทีมกระทิงดุ 

"สิงโตคำรามโดนกำราบ" 

ทีมสิงโตคำราม อังกฤษ ทีมขวัญใจมหาชน เดินทางไปบราซิลครั้งนี้ด้วยผู้เล่นดาวรุ่งหลายราย รวมทั้งตัวเก๋าอย่างบักเจิด( Gerrard) และพี่แหลม(Lampard) ทีมอังกฤษมีเพียบพร้อมทุกอย่างที่เพียบพร้อม ยกเว้น"อนาคต"
เพราะเริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ต่ออิตาลี 1-2  และนัดต่อมาโดนพิษแข้งจอมโหดอุรุกวัย กำราบซะอยู่หมัดโดยหลุยส์ ซัวเรซจัดการคนเดียว 2 ประตู นัดสุดท้ายทำได้แค่เสมอกับทีมม้ามืดตัวจริงอย่างคอสตาริก้า ทีมพลังกล้วยหอม สายนี้ทีมเต็งอย่างอิตาลีและอังกฤษ กลับกอดคอกันตกรอบปล่อยให้คอสตาริก้าและอุรุกวัยเข้ารอบแบบพลิกความคาดหมาย

นอกจากทีมอังกฤษ อิตาลีและสเปนจะต้องกลับบ้านไปก่อนตั้งแต่รอบแรก ยังมีสุดยอดทีมหลายทีมต้องตกรอบไป เช่นทีมฝอยทองของซุป'ตาร์อย่างโรนัลโด้ โปรตุเกส รวมถึงทีมจากทวีปเอเชียทั้งญี่ปุ่น,เกาหลีใต้,ออสเตรเลีย และอิหร่าน ตกรอบเรียบหมดตั้งแต่รอบแรก แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานของทีมจากทวีปเอเชียที่เป็นรองทีมจากทวีปอื่นๆ อย่างมาก

ก่อนจบบทความครั้งนี้ ขอพูดถึงทีมบราซิลที่เจ้าภาพที่ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมไปได้แบบทุลักทุเล แต่ก็ยังทะลุทลวงเข้ารอบไปได้ โดยผ่านทีมแกร่งอย่างชีลีที่ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ
ลุยซ์อธิษฐานเผื่อตอร์เรซ
บราซิลทีมนี้มีนักเตะที่เป็นคริสเตียนและมีความเข้มแข็งในความเชื่อหลายคน ทั้งเนย์มาร์(Neymar) และดาวิด ลุยซ์(David Luiz) โดยเฉพาะลุยซ์อดีตดาวเตะเชลซีที่หลังบอลโลกจะย้ายไปร่วมทีมจากฝรั่งเศส อย่างเปเอสเช (PSG)
เนย์มาร์อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า
ลุยซ์มักจะอธิษฐานพึีงพาพระเจ้า และให้กำลังใจเพื่อนเสมอ บ่อยครั้งที่สมัยอยู่เชลซีจะอธิษฐานเผื่อเพื่อนร่วมทีมเสมอ  แม้ว่าหลายครั้งพฤติกรรมของพวกเขาในสนามอาจจะไม่เหมาะสมแต่เมื่อออกนอกสนามพวกเขาก็จะไปคริสตจักรและร่วมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมเสมอ
พรแสวงสำคัญกว่าพรสวรรค์
นักเตะซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของโลกชาวอาร์เจนติน่าอย่างเลโอเนล เมสซี่(Leonel Messi) ก็เป็นผู้ที่เข้มแข็งในความเชื่อต่อพระเจ้า เขามักจะอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าทุกครั้งเมื่อทำประตูได้ เขาเองฝึกฝนอย่างหนักและพึ่งพาพระเจ้าอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน เพราะเขาคิดว่าการประสบความสำเร็จในวันนี้ ส่วนหนึ่งไม่ใช่มาจาก"พรสวรรค์"ที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น แต่มาจาก"พรแสวง"ที่เขาฝึกฝนและพึ่งพาพระเจ้า 
Leonel Messi

สิ่งนี้เป็นข้อคิดที่เราสามารถมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราเพื่อประสบความสำเร็จได้ คือ "มีระเบียบวินัยและฝึกฝนพัฒนาตนเองเสมอ" ตามพระวจนะของพระเจ้าที่อัครทูตเปาโลได้กล่าวไว้ในจดหมายฝากต่างๆ ดังนี้


1ทิโมธี 4:8 เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย

1โครินธ์ 9:25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย



ครั้งนี้ขอเก็บตกสถิติต่างๆ และเรื่องราวเท่านี้ก่อน ครั้งหน้าเราจะมาคุยกันต่อสำหรับยอดดาวซัลโว ผู้เล่นยอดเยี่ยม รวมถึงแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนี้
พบกันใหม่นะครับ ขอพระเจ้าอวยพระพรนะครับ