20 กุมภาพันธ์ 2555

Acts 3:1-12_ประกาศข่าวประเสริฐตามการทรงนำ

ศึกษาพระธรรมกิจการของอัครทูต

คริสตจักร “ต้นแบบ” ตามพระบัญชา

กิจการของอัครทูต 3:1-12
1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานเป็นเวลาบ่ายสามโมง
2 มีคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่คลอดออกมา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร
3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน
4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า "จงดูเราเถิด"
5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่าน
6 เปโตรกล่าวว่า "เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด"
7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง
8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร ด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป
9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า
10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่คนนั้น
11 เมื่อคนง่อยที่หายนั้นยังยึดเปโตรและยอห์นอยู่ ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านที่เฉลียงพระวิหารซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอนด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า "ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยเรื่องของคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความชอบธรรมของเราเอง

อารัมภบท

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน พบกันอีกเช่นเคยกับการร่วมศึกษาพระธรรมกิจการฯด้วยกัน เราได้พิจารณาหนังสือกิจการต่อเนื่องกันมา ครั้งนี้เป็น ตอนที่ 7 หากเป็นภาพยนตร์ก็เนื้อเรื่องเริ่มเข้าข้นมากขึ้น เพราะในสัปดาห์ก่อนเราศึกษาในบทที่ 2:42-47 คริสตจักรที่เป็นชุมชนแห่งพระพร...เป็นชุมชนที่มีการสอนพระวจนะ อธิษฐาน นมัสการ มีหมายสำคัญและมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายหลายประการ เป็นการฝึกฝนวิทยายุทธ์การรับใช้ตามของประทาน ในบทที่่ 3 ครั้งนี้จึงเป็นเวลา "ปล่อยของ" ปลดปล่อยของประทานในการรับใช้โดยออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ในบทที่ 3 อัครทูตเปโตรกับอัครทูตยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าบริเวณพระวิหาร หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ การไปพระวิหารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวันของเหล่าสาวก ดังที่ ลก.24:53 เขาทั้งหลายอยู่ในพระวิหารทุกวัน สรรเสริญพระเจ้า หรือที่ใน กจ.2:46 ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า …เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เหล่าสาวกเคยชินกับการมาที่พระวิหารเพื่อนมัสการ เพราะสถานที่นี้เป็นธรรมเนียมที่บรรพบุรุษของพวกเขาจะมานมัสการกัน

ปลายข้อ 1บอกว่า ทั้งสองเดินทางมายังพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานเป็นเวลาบ่ายสามโมง นี่เป็นเวลาปกติที่คนยิวอธิษฐาน ซึ่งเป็นไปได้ที่อ้างอิงมาจากกษัตริย์ดาวิดได้พรรณนาใน สดุดี 55:17 ว่า …ทั้งเวลาเช้า เวลาเย็น และเวลาเที่ยง ข้าพเจ้าร้องทุกข์และคร่ำครวญ และพระองค์จะทรงฟังเสียงของข้าพเจ้านั่น คือ เวลาแห่งการอธิษฐานของคนยิวนั้น มี 3 เวลา ; เวลาเช้า เวลาเที่ยงวัน และเวลาเย็น (ดนล 6:10)ดาเนียล ท่านก็คุกเข่าลงวันละสามครั้งอธิษฐานและโมทนาพระคุณต่อพระเจ้า นั่นคือ มี 3 เวลา ที่ชัดเจนที่เป็นเวลาแห่งการอธิษฐาน ซึ่งเราควรที่จะเลียนแบบวิถีชีวิตแบบนี้ อย่างน้อยที่สุดใน 1 วันที่เรารับประทานอาหาร 3 มื้อ เราควรจะอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าก่อนเสมอ พี่น้องบางท่านรับประทานอาหารมากกว่า 3 มื้อ ก็เป็นการดีเลย เพราะจะได้อธิษฐานบ่อยๆ จากพระธรรมตอนนี้เราพบว่า ทุกวัน ๆ เปโตรกับยอห์นเดินทางมายังพระวิหารนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ แต่ในการเดินทางมายังพระวิหารครั้งนี้มีสิ่งที่แตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา ข้อ 2 บันทึกว่า มีคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่คลอดออกมา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร คนง่อยคนนี้เขาจะต้องเป็นที่รู้จักกันอย่างดีท่ามกลางคนในเยรูซาเล็ม เนื่องจากไม่ได้เพิ่งเป็นง่อย แต่เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด และที่สำคัญชายคนนี้มาปรากฏตัวที่สาธารณะทุกวัน ๆ เพราะข้อ2บอกว่า ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมี ชื่อว่า ประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร แสดงให้เห็นว่าพระวิหารเป็น Office ของคนง่อยคนนี้ และมีคนมาส่งทุกวัน หากเป็นสมัยนี้คงจะนั่งรถประจำตำแหน่ง ในสมัยพระธรรมกิจการฯนั้น อาณาจักรโรมัน ไม่มีโรงพยาบาลสำหรับคนเจ็บป่วย และ ไม่มีบ้านพักสำหรับคนยากลำบากที่มาขอทาน คนยากจนมักจะถูกปล่อยทิ้งไว้ ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านี้จึงถูกหามมาวางไว้ในที่ ๆ จะได้รับความเมตตาจากคนที่มีสถานะดีกว่า อย่างเช่นที่ประตูของคนร่ำรวย ตามที่ ลก.16:20 ได้บันทึกไว้ว่า..และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐีหรือ บางครั้งก็จะนั่งอยู่บนทาง เพื่อขอทาน เพราะเป็นเส้นทางที่จะมี คนมากมายเดินผ่านไปผ่านมา อย่างเช่นที่มีบันทึกใน มก.10:46 มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อ บารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรของทิเมอัสนั่งขอทานอยู่ที่ริมหนทาง สำหรับเหตุการณ์ที่บันทึกในหนังสือกิจการ 3 นี้ ชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิดนี้ถูกหามให้มาวางไว้ที่ ทางประตูเข้าของพระวิหาร เพื่อมาขอทาน เหตุผลที่เลือกสถานที่นี้ เพราะเขารู้ดีว่า คนที่ไปพระวิหารเป็นประจำ ย่อมเป็นคนที่มีจิตใจเมตตากรุณาต่อคนที่ยากลำบากกว่าตนและ สถานที่นี้ เป็นที่ ๆ มีคนมากมายเคยชินที่จะเข้ามาที่นั่น และเหตุผลที่มายังพระวิหารก็แสดงถึงวัตถุประสงค์ทางจริยธรรม ความเชื่อ ดังนั้น คนที่ช่วยหามชายที่เป็นง่อยจึงคิดว่า คนที่มาพระวิหารน่าจะมี แนวโน้มที่จะให้ทานมากกว่าใคร และ ให้ทานมากกว่าเวลาอื่น ๆ ในชีวิตปกติประจำวัน ดังนั้น เหตุการณ์ที่บันทึกนี้ จึงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อหลอกลวงคนที่อยู่ในละแวกนั้น ชายที่เป็นง่อยนี้ เป็นบุคคลจริง ที่มีตัวตน และ การนั่งขอทานของเขาที่หน้าพระวิหารก็เป็นภาพที่ผู้คนเห็นเป็นประจำยาวนาน กจ 4:22 บอกชัดเจนว่า ชายผู้นี้ที่เป็นง่อยแต่กำเนิดนั้น อายุมากกว่า 40 ปีแล้ว ชายคนนี้นั่งขอทานอยู่เช่นนี้เป็นระยะเวลายาวนาน เป็นภาพปกติที่ผู้คนเห็น รวมทั้งเปโตรกับยอห์นด้วยเช่นกันที่เห็น แต่ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ภายหลังจากได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว การกระทำของทั้งสองแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความเชื่อ ที่แสดงว่า ย่อมได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ทำสิ่งที่ปกติเลยผ่านไป ไม่ได้ทำมาก่อน ซึ่งการที่พระวิญญาณทรงนำครั้งนี้ ก็เพื่อให้เหตุการณ์นี้เป็นเหมือนการป่าวประกาศการอัศจรรย์การรักษาโรค ทำให้ฝูงชนพากันเข้ามาดูการอัศจรรย์นี้ ซึ่งเป็น การรวมตัวกันที่ทำให้เป็นโอกาสอันดีในการประกาศข่าวประเสริฐ ดังนั้นหัวข้อที่จะศึกษาครั้งนี้ผมขอใช้ชื่อว่า "ประกาศข่าวประเสริฐตามการทรงนำ"เราจะมาพิจารณาร่วมกัน

1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ

จากพระธรรมตอนนี้เปโตรกับยอห์นไม่ได้เดินเลยผ่านชายที่เป็นง่อย ข้อ 4-8 ได้บันทึกสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเปโตรและยอห์นได้ทำสิ่งที่ปกติแต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำให้รักษาชายคนง่อยคนนี้ ท่านทั้งสองตอบสนองต่อสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องการให้ทำบางสิ่งที่ปกติไม่ได้ทำ เพราะการ"เชื่อฟังว่าจึงมีสิ่งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น"กับชายคนนั้นที่เป็นง่อยมาแต่กำเนิด
หากเราเป็นคนหนึ่งที่ไวต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องแสดงออกในภาคปฏิบัติที่แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองการทรงนำ อย่าเพิกเฉยต่อการทรงนำนั้น จะเห็นได้ว่าเปโตรและยอห์นท่านทั้งสองไม่มีความละอาย ท่านตอบสนองการทรงนำด้วยการเชื่อฟัง
ท่านตอบสนองที่จะทำในสิ่งที่แต่ก่อนไม่เคยทำ แม้เคยผ่านเข้าออกพระวิหารและเห็นชายคนง่อยนั่งอยู่ที่นั่นเสมอ ซึ่งพระวิญญาณไม่ได้ทำงานในใจให้ทำสิ่งใด แต่บัดนี้ เป็นเวลาของพระเจ้า เป็นเวลาที่ต้องเริ่มเป่าแตรเพื่อสื่อพระคุณความรักของพระเจ้าตามพระมหาบัญชา เปโตรและยอห์นรู้การทรงนำ ท่านทั้งสองตระหนักถึงเวลาของพระเจ้าที่มาถึงแล้ว ท่านจึงสั่งให้ชายคนง่อยคนนั้นลุกขึ้นและเดิน นี่เป็นวาระเวลาของพระเจ้า เราจึงต้องรู้กาลเวลาของพระเจ้าที่ทรงนำในชีวิตของเรา เปรียบเทียบได้กับเผ่าอิสสาคาร์ของชาวอิสราเอล เป็นเผ่าที่รู้กาลเวลาของพระเจ้า เมื่อถึงเวลาของพระเจ้า เผ่านี้จะบอกกับชาวอิสราเอลเผ่าอื่นๆ ให้ลุกขึ้นและเดินไปครอบครองแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
ผมเชื่อว่าในปี 2012 เป็นวาระเวลา "ปีการปกครองของพระเจ้า" ให้เราเคลื่อนไปตามการทรงนำของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงนำ "จงลุกขึ้นและครอบครอง"
2.ข้อคิดสะกิดใจ

การเชื่อฟังต้องมีการแสดงออก ที่จะบอกว่า เชื่อฟังแต่ไม่ปฏิบัติ นั่นไม่อาจนับได้ว่า เป็นการตอบสนองที่เชื่อฟัง ไม่เพียงแต่เปโตรและยอห์นจะตอบสนองด้วยใจที่เชื่อฟังต่อการทรงนำ ท่านทั้งสองยัง “ตอบสนองด้วยการลงมือกระทำ” เป็นการประกาศข่าวประเสริบออกไปให้คนรู้
ข้อ 5-8 บรรยายต่อไปว่า …
5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่าน 6 เปโตรกล่าวว่า "เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธจงเดินเถิด"
7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง
8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหารด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป

สำหรับชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิดผู้นี้ด้วยความพิการเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจเลี้ยงชีพของตนได้นอกจากการมาขอทาน ขนาดจะมาขอทานก็ยังต้องพึ่งคนอื่นช่วยหามมาวางไว้ เพราะเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่เขาคาดหวังคงไม่พ้นเงินหรือทอง
ในจังหวะที่ชายขอทานที่เป็นง่อยเขม้นมองดูท่านทั้งสองด้วยใจคาดหวังว่าจะได้อะไร เปโตรได้ฉวยโอกาสอันดีนั้น ตอบสนองสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องการให้ทำ คือ การประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์
เปโตรกล่าวใน ข้อ 6ว่า…“เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือ ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด
สิ่งที่ดียิ่งกว่าเงินและทอง คือ “พระเยซูคริสต์” องค์พระเป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิต ผู้ทรงเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง พระเยซูคริสต์เป็นกุญแจของทุกสิ่ง มีพระองค์เรามีทุกสิ่ง
นี่คือ สัจธรรมความจริงที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้และรับไว้ พระคริสต์เป็นผู้ทรงคุณค่าที่สุด ที่มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องรับไว้เป็นองค์พระเป็นเจ้า และเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของตน
ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง ที่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร ไม่ใช่สมบัติพัสถาน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่เกียรติยศ ไม่ใช่ยศฐานันดร เราจึงต้องสื่อข่าวสารความจริงนี้ออกไป เราจึงต้องตอบสนองสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือ การสื่อข่าวสารเรื่องราวของพระเจ้าที่มารับสภาพเป็นมนุษย์ คือ องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นคำตอบของทุกปัญหา

อัครทูตเปโตรกล่าวขยายพระนามของพระคริสต์ว่า "พระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ"
คำว่า “ชาวนาซาเร็ธ” เป็นชื่ออันเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในท่ามกลางคนยิว
ก่อนหน้านี้ เปโตรก็ระบุชื่อพระเยซูอย่างชัดเจนว่าเป็นชาวนาซาเร็ธเช่นกันใน กจ.2:22
การที่ระบุชัดเจนเช่นนี้ก็เพื่อต้องการเน้นให้เห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่บังเกิดมาเป็นมนุษย์ และ ทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางเขา เป็นบุคคลที่เขารู้จักกันดีท่ามกลางคนยิวในขณะที่พระองค์ยังทรงดำเนินอยู่ในโลกนี้ และบัดนี้ แม้ว่า พระองค์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้วก็ตาม พระองค์ก็ยังทรงพระชนม์อยู่ และ ยังทรงมีฤทธิ์อำนาจเหมือนเดิม
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเปโตรอ้างถึงพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ จึงเป็น การอ้างที่เปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจและฤทธิ์อำนาจผ่านพระนามนั้น
ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงรับการเยียวยารักษาจากโรคร้ายเถิด
ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงลุกขึ้นจากความสิ้นหวังเถิด
ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงสลัดทิ้งความท้อแท้ใจเถิด
ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงสลัดพันธนาการแห่งความบาปเถิด
ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงสลัดทิ้งชีวิตเก่าเถิด
ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ จงรับชีวิตใหม่เถิด
ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ ชาวนาซาเร็ธ สิ่งใดที่ยากเกินนั้นไม่มีอีกต่อไป จงรับพระนามนี้ไว้ด้วยความเชื่อเถิด
ในวันนี้ให้เราลองคิดใคร่ครวญดูว่ามีสิ่งใดที่เราคิดว่าทำไม่ได้และมีสิ่งใดที่เป็นความยากลำบากในชีวิตของเรา เราจงปลดปล่อยถ้อยคำ การป่าวประกาศด้วยความเชื่อในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ทุกสิ่งจะเป็นไปได้ เอเมน!

ข้อ 9-11 บรรยายต่อไปว่า…
9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า
10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่คนนั้น
11 เมื่อคนง่อยที่หายนั้นยังยึดเปโตรและยอห์นอยู่ ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านที่เฉลียงพระวิหารซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอนด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
ในวันที่พระวิญญาณเสด็จลงมาในวันเพนเทคศเตนั้น ทำให้คนยิวซึ่งเดินทางมาจากบ้านของตนในประเทศต่าง ๆ พากันแปลกประหลาดใจ
การอัศจรรย์ที่ผ่านมือของเปโตรก็เช่นกัน ทำให้ผู้คนพากันมาสนใจ เป็นการดึงดูดฝูงชนให้มีความสนใจ การอัศจรรย์จึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนเปิดใจเพื่อจะฟังข่าวประเสริฐ
นี่คือ สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนทั้งปวง นี่จึงไม่ใช่การหลอกลวงเพราะคนทั้งหลายต่างก็เห็นชายคนนี้เป็นเวลายาวนานแล้วว่าไม่เคยเดินได้ เพราะเขาเป็นง่อยแต่กำเนิด แต่บัดนี้ เขาเดินได้แล้ว แล้วไม่ได้เดินอย่างเงียบ ๆ แต่เดินไปส่งเสียงสรรเสริญพระเจ้าไป
คนทั้งปวงรู้สึกประหลาดและอัศจรรย์อย่างยิ่ง ไม่ใช่รู้สึกประหลาดใจแบบธรรมดา ๆ เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นชัดเจน ชายที่นั่งขอทานที่ประตูงามแห่งพระวิหาร ไม่ได้เพิ่งมานั่งไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน หรือ ไม่กี่ปี แต่เพราะเขาเป็นง่อยมาแต่กำเนิด และ เขาอายุกว่า 40 ปีแล้ว สิ่งที่ยังชีพของเขาคือการมานั่งที่ตรงนี้และขอทาน แต่บัดนี้ เขาเดินได้แล้ว !
ไม่ใช่เพียงบางคน คนสองคน สิบคน แต่เป็น “ฝูงคน” ได้วิ่งมาหาเปโตรด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก นี่แหละคือผลของการไวต่อการทรงของพระวิญญาณ ที่ตอบสนองด้วยการเชื่อฟังและลงมือกระทำ ทำให้เกิดการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตา ปากต่อปากต่างโจษจัณฑ์กันถึงมหกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ
คำว่า “ยึด” หมายถึงการยึดมั่น เอาตัวมาร่วมด้วย นี่คือ การแสดงออกของชายผู้นี้ที่ไม่ใช่พอได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์ แล้วก็จากไปแต่เขาปรารถนาที่จะอยู่กับเปโตรกับยอห์น อยากมีส่วนร่วม ไม่อยากที่จะจากไปไหน ในขณะนั้นเอง ฝูงชนก็วิ่งมาหาเปโตรที่เฉลียงพระวิหาร มาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น อัศจรรย์ใจ อยากรู้อยากเห็น
การอัศจรรย์นี้จึงเป็นดุจการเป่าแตรนำหน้าในการประกาศข่าวประเสริฐ เป็นการดึงดูดความสนใจของคนให้อยากรู้อยากเห็นว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร
การหายโรคอย่างอัศจรรย์ของชายที่เป็นง่อยนั้น ทำให้คนฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก
ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างอัศจรรย์เช่นนี้แหละที่ดึงดูด ความสนใจของคนได้เป็นอย่างดี เป็นการจุดประกายไฟความสนใจของคนรอบด้านที่อยากรู้ว่า เรามีอะไรดี
ดังนั้น วิถีชีวิตของเราต้องต่างไปจากเดิม เราต้องดำเนินชีวิตเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด เพื่อให้คนได้เห็นความจริงที่เป็นสิ่งที่จะยึดเหนี่ยวเขาไว้มาสู่ความรอด
3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้


อัครทูตเปโตรได้ใช้โอกาสที่ฝูงชนกำลังใจสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนี้ ประกาศเป็นพยานถึงฤทธานุภาพของพระเจ้า
ข้อ 12 บรรยายต่อไปว่า …พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า "ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยเรื่องของคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความชอบธรรมของเราเอง
อัครทูตเปโตรตั้งใจให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนำไปสู่การพูดสิ่งที่สำคัญที่สุด พูดสิ่งที่เป็นสาระมากที่สุด สิ่งที่เปโตรต้องการพูดมากที่สุดให้ฝูงชนที่พากันติดตามท่านมาตั้งใจฟังนั้น ก็คือ ข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์
ท่านไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพระเจ้าทรงโปรดปรานท่าน หรือเพราะท่านมีชีวิตที่ดีกับพระเจ้า แต่ท่านพูดเจนว่า ไม่ใช่ท่าน สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ชายซึ่งเป็นง่อยแต่กำเนิดเดินได้นี้ ไม่ใช่โดยฤทธิ์หรือความชอบธรรมของท่านเลย ดังนั้นเมื่อทำการอัศจรรย์สิ่งที่สำคัญคือ ความถ่อมใจ สิ่งที่เป็นการอัศจรรย์นั้นไม่ใช่เพราะเราทำแต่มาจากพระเจ้าใช้ผ่านสิ่งที่เราทำต่างหาก
ผมขอสรุปภาคประยุกต์ไว้ตอนท้ายนี้คือ "การประกาศข่าวประเสริฐนั้นเราต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ เมื่อถึงเวลที่เหมาะสมแล้ว เราตอบสนองทำตามที่พระองค์ทรงนำ เราจะเห็นถึงการอัศจรรย์ และสิ่งที่สำคัญคือต้องรักษาความถ่อมใจไว้ เพราะสิ่งที่เราทำการอัศจรรย์นั้นมาจากพระเจ้า"


ขอพระเจ้าอวยพรพระทุกท่านครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น