ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว ผมมีประสบการณ์มากขึ้นกับการมองเห็นทูตสวรรค์ จู่ๆผมก็เห็นทูตสวรรค์อยู่บ่อยๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่า ทำไมจู่ๆผมถึงเห็นทูตสวรรค์บ่อยขึ้น
ในระยะแรกที่ผมมองเห็นทูตสวรรค์บ่อยขึ้น ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ยังไงดี
วันเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์มากขึ้น แต่การปฏิสัมพันธ์ที่ผมดำเนินไปนั้น ก็เป็นไปตามประสบการณ์และธรรมชาติของผม ขณะนั้นผมยังไม่มีคู่มือเล่มไหนที่แนะนำเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์
คลังหนังสือเกี่ยวกับทูตสวรรค์
จนกระทั่งเมื่อต้นปีนี้ ผมได้ตัดสินใจค้นหาหนังสือสักเล่มหนึ่ง ที่จะช่วยแนะนำการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์
เมื่อผมลองค้นหาดูจากคลังหนังสือคริสเตียน ผมก็พบว่า หนังสือที่แนะนำเกี่ยวกับทูตสวรรค์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ในแง่สงคราม แต่ผมต้องการการปฏิสัมพันธ์ในแง่ที่เป็นธรรมชาติมากกว่านี้
สุดท้ายผมก็ได้พบเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า "Everyday Angels" ซึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ในเรื่องราวต่างๆของชีวิตประจำวัน
Preview-Everyday Angels
ผมมี Preview ของหนังสือเล่มนี้อยู่ครับ ซึ่งได้ให้ข้อแนะนำเบื้องต้นในการมองเห็นทูตสวรรค์
https://1drv.ms/b/s!AgrY1zlKnuX2jRv81dS4ij8WL3h7 (ลิงค์ดาวน์โหลด Preview)
Blog ของ Kayembe
ใน Blog ของคนเขียนก็ได้แนะนำเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ด้วยครับ ผมคิดว่า Blog นี้ให้คำแนะนำที่ดีทีเดียว
https://www.glorywaves.org/angels-101/ (ลิงค์ของ Blog)
ตอนแรกก็ยังไม่มั่นใจนัก
เมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมก็เริ่มมั่นใจกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์มากขึ้นครับ
ทว่าเมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมก็มีหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียวที่เป็นคู่มือในเรื่องนี้ ทำให้ความมั่นใจของผมยังไม่เข้มข้นนัก
หนังสือเล่มที่สอง
และแล้ว เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมก็ได้สั่งซื้อหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่สอนเกี่ยวกับการเห็นทูตสวรรค์และแนวทางในการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์
หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า Seeing Angels ซึ่งเขียนโดย Joshua Mills
หลังจากที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ของ Joshua Mills จบ ความมั่นใจของผมในการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ก็เพิ่มพูนมากขึ้นทีเดียวกรอบความคิดที่นำการทะลุทะลวง
ทั้งนี้กรอบความคิดที่นำการทะลุทะลวงของผมเกี่ยวกับทูตสวรรค์ก็คือ
"ถ้าคนเราสามารถพูดภาษาแปลกๆได้ดั่งใจนึก คนเราก็มองเห็นทูตสวรรค์ได้ดั่งใจนึกเช่นกัน"
กรอบความคิดที่นำการทะลุทะลวงนี้ ผมสรุปเอาจากหนังสือ Everyday Angels กับ Seeing Angels ครับ
วันเวลาที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสอบถามพี่น้องหลายๆท่านในเรื่องประสบการณ์ที่มีต่อทูตสวรรค์ และแล้วผมก็ค้นพบว่า คำตอบที่ผมได้รับนั้นมีอยู่สองทิศทางด้วยกัน
ทิศทางแรก นานๆทีถึงจะเจอทูตสวรรค์
ทิศทางแรกที่ผมได้รับคำตอบก็คือ พี่น้องบางคนไม่ค่อยมีประสบการณ์กับทูตสวรรค์มากนัก บางคนเคยเห็นทูตสวรรค์แค่ครั้งเดียว บางคนก็ไม่เคยเห็นทูตสวรรค์เลย บางคนนานๆทีถึงจะเห็นทูตสวรรค์
ทิศทางที่สอง เห็นทูตสวรรค์อยู่ทุกวัน
ทว่าคำตอบที่ผมได้รับจากพี่น้องอีกส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นไปในอีกทิศทางก็คือ พวกเขาเห็นทูตสวรรค์อยู่ทุกวัน พวกเขาสนทนากับทูตสวรรค์อย่างเป็นปกติในชีวิตประจำวัน พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ราวกับว่าทูตสวรรค์เป็นเพื่อนที่เขาพบเจออยู่ทุกๆวัน บางคนก็สนทนาและสนิทสนมกับทูตสวรรค์ประจำตัวของเขา
เห็นได้ว่าประสบการณ์ที่มีต่อทูตสวรรค์นั้น ทิศทางทั้งสองต่างกันแบบคนละขั้วเลย ทิศทางแรกก็คือนานๆทีถึงจะเจอกับทูตสวรรค์ แต่อีกทิศทางนึงก็คือการเห็นทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ทำไมพี่น้องบางคนถึงมีประสบการณ์แค่ในทิศทางแรก แล้วทำไมพี่น้องบางคนถึงเห็นทูตสวรรค์ได้ในทุกวัน อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้บางคนมีแค่ทิศทางแรก แล้วอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเราก้าวเข้าสู่ทิศทางที่สอง วันนี้ผมจะมาเฉลยเคล็ดลับสำคัญเกี่ยวกับการมองเห็นทูตสวรรค์
เข้าใจภาษาแปลกๆ
ก่อนที่ผมจะกล่าวถึงเคล็ดลับของการมองเห็นทูตสวรรค์ ผมขอกล่าวเกี่ยวกับภาษาแปลกๆก่อน เพราะถ้าเพื่อนๆเข้าใจในประเด็นเกี่ยวกับภาษาแปลกๆแล้ว เพื่อนๆก็จะพบแสงสว่างในการมองเห็นทูตสวรรค์
ในเรื่องภาษาแปลกๆนั้น ผมได้สอบถามพี่น้องจากหลายๆโบสถ์ว่า แต่ละคนมีประสบการณ์กับภาษาแปลกๆกันอย่างไร และแล้วผมก็พบว่า คำตอบที่ผมได้รับนั้นก็มีอยู่สองแนวทางด้วยกันคือ
แนวทางแรก นานๆทีถึงจะได้พูดภาษาแปลกๆ
คำตอบแนวทางแรกที่ผมได้ยินคือ พี่น้องบางคนนานๆทีถึงจะพูดภาษาแปลกๆ พวกเขาไม่สามารถที่จะริเริ่มพูดภาษาแปลกๆได้เองทั้งๆที่พวกเขาเคยพูดภาษาแปลกๆมาก่อน หรือถ้าพวกเขาจะเริ่มพูดภาษาแปลกๆเองพวกเขาก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจและพูดภาษาแปลกๆได้เมื่อพวกเขาได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในลักษณะที่พิเศษ ซึ่งนานๆทีพวกเขาถึงจะมีประสบการณ์เช่นนี้
แนวทางที่สอง พูดภาษาแปลกๆกันอยู่ทุกวัน
ในทางตรงกันข้าม ผมกลับเจอพี่น้องส่วนหนึ่งที่พูดภาษาแปลกๆอยู่ทุกวัน พวกเขาพูดภาษาแปลกๆอย่างปกติในชีวิตประจำวัน พวกเขาจะเริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้ และพวกเขาก็จะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้ พวกเขาไม่ต้องรอให้เกิดการเต็มล้นแบบพิเศษ ด้วยเหตุนี้ ภาษาแปลกๆจึงเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของพวกเขา
เกี่ยวกับลักษณะของโบสถ์
จากสถิติที่ผมรวบรวมมา ผมสังเกตเห็นว่า พี่น้องที่นานๆทีถึงจะพูดภาษาแปลกๆได้นั้นมักจะมีพื้นเพจากโบสถ์สายวิชาการ ทว่าพี่น้องที่พูดภาษาแปลกๆเป็นปกติในชีวิตประจำวันนั้นมักจะมาจากโบสถ์สายฤทธิ์เดช
ความเข้าใจที่แตกต่าง
บางคนต้องรอคอยให้เต็มล้นแบบพิเศษก่อนถึงจะพูดภาษาแปลกๆได้ แต่บางคนก็เริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้อยู่ที่ ความเข้าใจ(Understanding)
ถ้าคนเราเข้าใจว่า การพูดภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์ไม่สามารถริเริ่มเองได้ต้องรอคอยให้พระวิญญาณเคลื่อนเท่านั้น ความเข้าใจแบบนี้ก็จะทำให้คนเรานานๆทีถึงจะพูดภาษาแปลกๆ ทว่าถ้าคนเราเข้าใจว่า คนเราจะริเริ่มพูดภาษาแปลกๆด้วยตนเองเมื่อไรก็ได้ ความเข้าใจเช่นนี้ ก็จะทำให้คนเราพูดภาษาแปลกๆอย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน
ความเข้าใจที่คนเรามีต่อภาษาแปลกๆนั้น จะเป็นสิ่งที่กำหนดประสบการณ์ของคนๆนั้นเลยทีเดียว เหตุที่บางคนต้องรอคอยให้เต็มล้นแบบพิเศษแล้วจึงพูดภาษาแปลกๆได้ ก็เป็นเพราะเขาเข้าใจว่าภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์ไม่สามารถริเริ่มเองได้เลย ทว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆได้อย่างเป็นเรื่องปกตินั้น ก็เพราะเขาเข้าใจว่าเขาจะพูดภาษาแปลกๆเองเมื่อไรก็ได้
ความเข้าใจใดที่ถูกต้อง?
ความเข้าใจแรกคือภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์ไม่สามารถริเริ่มเองได้เลย ส่วนความเข้าใจที่สองคือภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์สามารถริเริ่มเองได้ ถ้าหากสอบถามผมว่า ผมเห็นด้วยกับความเข้าใจแบบไหน ผมก็ต้องตอบว่าผมเห็นด้วยกับความเข้าใจแบบที่สองมากกว่า ทั้งนี้เมื่อพิจารณาดูจากพระคัมภีร์แล้วผมค้นพบหลักการอย่างหนึ่งก็คือ
(1 โครินธ์ 14:32) วิญญาณของพวกผู้เผยพระวจนะนั้น อยู่ในบังคับพวกผู้เผยพระวจนะ
จากข้อพระคัมภีร์นี้อธิบายว่า วิญญาณของผู้เผยพระวจนะนั้นอยู่ในการบังคับของผู้เผยพระวจนะเอง ข้อพระคัมภีร์นี้บอกเป็นนัยว่า เมื่อผู้เผยพระวจนะจะใช้ของประทานของเขานั้น ผู้เผยพระวจนะสามารถควบคุมได้ว่าเขาจะใช้ของประทานเมื่อใดและจะหยุดใช้ของประทานเมื่อใด ดังนั้นถ้าผู้เผยพระวจนะสามารถควบคุมการใช้ของประทานการเผยพระวจนะได้ ผู้เผยพระวจนะก็ควรควบคุมการพูดภาษาแปลกๆของเขาได้ นอกจากนี้บริบทของพระคัมภีร์ใน (1 โครินธ์ 14:14-15) เปาโลได้เขียนราวกับว่า เขาจะพูดภาษาแปลกๆเมื่อใดก็ได้ และเขาจะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อใดก็ได้ จากบริบทโดยรวมของพระคัมภีร์ทำให้ผมมีความคิดเห็นว่า ถ้าผู้ใดสามารถพูดภาษาแปลกๆได้แล้ว ผู้นั้นก็จะพูดภาษาแปลกๆอีกเมื่อใดก็ได้ และจะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้
หลักการสำคัญของภาษาแปลกๆ
หลักการสำคัญเกี่ยวกับภาษาแปลกๆนั้นก็คือว่า ผู้ใดก็ตามถ้าของประทานแห่งภาษาแปลกๆได้ “ตื่น” ขึ้นมาในผู้นั้นแล้ว ผู้นั้นก็จะเริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้และจะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้
เอาล่ะ ผมได้ชี้แจงถึงหลักการสำคัญของภาษาแปลกๆแล้ว ต่อไปนี้ผมก็ขอส่องสว่างเกี่ยวกับหลักการสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์
หลักการสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์
ในพระคัมภีร์ได้อธิบายว่า ภาษาแปลกๆถือเป็นของประทานอย่างหนึ่ง (ดู 1 โครินธ์ 12:10) และตามที่ผมได้ชี้แจงไว้ ถ้าของประทานแห่งภาษาแปลกๆของผู้ใดได้ “ตื่น” ขึ้นมาแล้ว ผู้นั้นก็สามารถเริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อใดก็ได้และจะหยุดพูดเมื่อใดก็ได้
การมองเห็นทูตสวรรค์ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งในของประทานการเผยพระวจนะ และในทำนองเดียวกับของประทานแห่งภาษาแปลกๆ ถ้าของประทานด้านการมองเห็นทูตสวรรค์ของผู้ใดได้ “ตื่น” ขึ้นมาแล้ว ผู้นั้นก็สามารถมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้ และจะหยุดมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้
ใช่แล้วครับ หลักการสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์ก็คือ ถ้าของประทานด้านนี้ของเพื่อนๆได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เพื่อนๆจะมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้ และจะหยุดมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้
เมื่อของประทานแห่งภาษาแปลกๆของผู้ใดได้ตื่นขึ้น ผู้นั้นก็ได้รับลิ้นฝ่ายวิญญาณ และผู้นั้นจะใช้ลิ้นฝ่ายวิญญาณเมื่อใดก็ได้ และจะหยุดใช้ลิ้นฝ่ายวิญญาณเมื่อไรก็ได้ ในทำนองเดียวกัน เมื่อของประทานแห่งการมองเห็นทูตสวรรค์ได้ตื่นขึ้น ผู้นั้นก็ได้รับดวงตาฝ่ายวิญญาณ และผู้นั้นก็จะลืมตาฝ่ายวิญญาณเพื่อมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้ และจะหลับตาฝ่ายวิญญาณเมื่อไรก็ได้
ความเข้าใจส่งผลต่อประสบการณ์
ความเข้าใจที่ว่า “การมองเห็นทูตสวรรค์ต้องรอคอยให้พระวิญญาณเปิดตา มนุษย์ไม่สามารถเปิดตาได้เอง” ความเข้าใจแบบนี้จะทำให้คนเรานานๆทีถึงจะเจอทูตสวรรค์ อนึ่ง ถ้าคนเราเข้าใจว่า “มนุษย์สามารถมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้” คนเราก็จะพบเจอทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติ
เคล็ดลับสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์
เคล็ดลับสำคัญที่ทำให้คนเราเห็นทูตสวรรค์ได้อย่างง่ายดายก็คือ
ภาษาแปลกๆนั้นคนเราจะเริ่มพูดเมื่อไรก็ได้และจะหยุดพูดเมื่อไรก็ได้ การมองเห็นทูตสวรรค์ก็เช่นกัน คนเราก็มองเห็นทูตสวรรค์เมื่อไรก็ได้และจะหยุดมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อไรก็ได้
ประสบการณ์ของคนเรา
คนที่นานๆทีถึงจะได้เจอทูตสวรรค์นั้นเป็นเพราะเขาเข้าใจว่าเขาไม่สามารถเริ่มมองเห็นทูตสวรรค์ได้ด้วยตัวเอง แต่คนที่พบเจอทูตสวรรค์และสนทนากับทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันได้นั้นก็เป็นเพราะเขาเข้าใจว่าเขาสามารถมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้
เรื่องน่าเสียดาย
บางคนของประทานแห่งการมองเห็นทูตสวรรค์ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว บางคนเคยมองเห็นทูตสวรรค์มาก่อน แต่ด้วยความเข้าใจที่ว่า “ผู้เชื่อไม่สามารถริเริ่มเห็นทูตสวรรค์ได้ด้วยตัวเอง” พวกเขาจึงไม่ค่อยได้เห็นทูตสวรรค์ทั้งๆที่ความจริงแล้วพวกเขาสามารถเห็นได้ในทุกวัน นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย วันนี้จึงเป็นวันที่คนเราจะเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ และคนเราก็จะมองเห็นทูตสวรรค์และสนทนากับทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน อาเมน
การมองเห็นทูตสวรรค์จงตื่นขึ้นท่ามกลางเพื่อนๆเถิด อาเมน
Philip Kavilar
หนังสือแนะนำเพิ่มเติม
Seeing Angels โดย Joshua Mills
Philip Kavilar นักวิชาการด้านฟิสิกส์ ผู้ศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานอดิเรก เป็นผู้ที่มีของประทานด้านวิชาการและการเผยพระวจนะผสมผสานกัน ท่านมีความปรารถนาที่จะเห็นการร่วมประสานกันระหว่างพี่น้องในสายวิชาการกับพี่น้องในสายฤทธิ์เดช และหนุนใจให้คริสตจักรขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะและการแปลภาษาแปลกๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น