คริสตจักร "ต้นแบบ"ตามพระบัญชา
กิจการของอัครทูต 5:27-42
27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภามหาปุโรหิตประจำการจึงถามว่า28 "เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอน
ของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา"
29 ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆตอบว่า "ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์
30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ
ของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำ
และองค์พระผู้ช่วยให้รอดเพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา
32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้
ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย"
33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย
34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสีและเป็นบาเรียน เป็นที่นับถือของประชาชนได้ยืนขึ้นในสภา แล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง
35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า "ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้
จงระวังตัวให้ดี
36 เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาสอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษมีผู้คนติดตามประมาณสี่ร้อย
แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายสาปสูญไป
37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไป ผู้นั้นก็พินาศด้วย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายไป
38 ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่าจงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลยเพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง
39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า"
40 เขาทั้งหลายจึงยอมฟังกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครทูตเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป
41 พวกอัครทูตจึงออกไปให้พ้นหน้าสภาด้วยความยินดี ที่เห็นว่าตนสมจะได้รับ
การหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น
42 ที่ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐ
ทุกๆวันมิได้ขาดว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
อารัมภบท
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในครั้งนี้เราได้กลับมาศึกษาพระธรรมกิจการฯร่วมกัน เหตุการณ์ตอนนี้เป็นการเผชิญการข่มเหงอีกครั้งของคริสตจักรสมัยแรก พระเจ้าทรงมีคำสั่งมาถึงอัครทูตอย่างชัดเจนว่า เมื่อออกจากคุกแล้วให้ออกไปประกาศเรื่องราวชีวิตใหม่ที่บริเวณพระวิหาร ซึ่งบรรดาอัครทูตได้เชื่อฟังทำตามพระบัญชาโดยไม่หวั่นเกรงต่อคำสั่งห้ามของสภาสูงของยิว จากเหตุการณ์การข่มเหงครั้งก่อนนั้น นำมาซึ่งความนิยมชมชอบ ประชาชนยอมรับนับถืออัครทูต เพราะสิ่งดีที่อัครทูตได้ทำ จนกระทั่งนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงานไม่กล้าแตะต้องอัครทูตอย่างไม่สมควร เช่นจะเอาก้อนหินขว้าง
ข้อ 26 บอกเช่นนั้นว่า แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงาน จึงได้ไปพา
พวกอัครทูตมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง
สำหรับครั้งนี้ เราจะพิจารณาร่วมกันว่าอัครทูต ตอบสนองอย่างไรเมื่อเผชิญการข่มเหง พระธรรมตอนนี้ได้บรรยายให้เห็นถึงลักษณะการตอบสนองของอัครทูตให้เรามาพิจารณาร่วมกัน
1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
สิ่งที่เป็นการตอบสนองการข่มเหงของพวกอัครทูตนั่นคือการเชื่อฟังที่ชัดเจนคือ"เชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ " (ข้อ 29)นี่คือจุดยืนที่ชัดเจนเมื่อเผชิญการข่มเหง
ก่อนหน้านี้ใน กจ.4:19 เปโตรได้แสดงจุดยืนในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อถูกห้ามปรามไม่ให้สื่อสารเรื่องราวของพระคริสต์
กจ.4:19ฝ่ายเปโตรกับยอห์นตอบเขาว่า "จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าข้าพเจ้า ควรจะเชื่อฟังท่านหรือควรจะเชื่อฟังพระเจ้าขอท่านทั้งหลายพิจารณาดู"
นี่คือจุดยืนของอัครทูตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ต้องเผชิญการข่มเหง ครั้งแล้วครั้งเล่า
การยืนหยัดเชื่อฟังพระเจ้าท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ แสดงถึงความกล้าหาญที่ไม่หวั่นเกรงต่อภัยที่อาจมาถึงตัว เพราะอัครทูตเพิ่งถูกจำจอง และเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาอย่างอัศจรรย์โดยพระหัตถ์พระเจ้า อัครทูตไม่กลัวสิ่งอาจเกิดขึ้นภายหน้าต่อไปเมื่อเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้าแทนการเชื่อฟังมนุษย์ คือ "คำสั่งของสภาแซนเฮดดรินที่สั่งห้ามไม่ให้ออกพระนามของพระคริสต์"
การไม่เชื่อฟังพระเจ้าไม่ได้มาจากท่าทีที่กระด้างกระเดื่องต่อกฏหมายบ้านเมือง ยกเว้นแต่กฏหมายหรือคำสั่งที่มาถึงนั้น ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า อัครทูตทราบดีว่า พระบัญชาของพระเยซูคริสต์เป็นคำสั่งที่สำคัญ ที่ควรจะเชื่อฟัง พระบัญชาของพระเจ้าให้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระคุณความรักของพระเจ้า การช่วยเหลือและพระเมตตาของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่รับสภาพมาบังเกิดเป็นมนุษย์ แต่คำสั่งของสภาแซนเฮดดรินสั่งไม่ให้เอ่ยพระนามของพระเยซูคริสต์
แท้จริงแล้วพระวจนะพระเจ้าได้ให้หลักการเกี่ยวกับเชื่อฟังผู้ปกครอง บ้านเมืองไว้อย่างชัดเจน
ทต.3:1 จงเตือนเขาให้นอบน้อมต่อเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เชื่อฟังและพร้อมที่จะปฏิบัติงานสัมมาอาชีพใดๆ
คริสเตียนจึงเป็นพลเมืองที่ดีของทุกสังคมที่เราเป็นสมาชิกอยู่แผ่นดินใดมีคริสเตียนที่เดินกับพระเจ้าอย่างแท้จริง แผ่นดินนั้นย่อมเปี่ยมด้วยสันติสุข เพราะเรารักความสันติ เพราะพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งสันติสุขตราบที่คำสั่งนั้นไม่ขัดแย้งต่อหลักการของพระเจ้าเรายินดีปฏิบัติตาม เราควรจะเคารพต่อกฎหมาย ยกเว้นแต่กฏหมายที่ขัดต่อหลักการพระเจ้าและศีลธรรมอันดีของคริสเตียน
อัครทูตยืนหยัดในการกล่าวความจริง (ข้อ30-32)
30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ
ของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอดเพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา
32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้
ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย"
เราเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการมีจุดยืนของอัครทูต ในขณะที่ถูกสั่งห้าม ไม่ให้ออกพระนามของพระคริสต์ ไม่เพียงแต่ยืนหยัดโดยบอกว่า ขอเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่า ยังฉวยโอกาสในขณะที่ถูกไต่สวนอยู่นั้น กล่าวความจริงเรื่องพระคริสต์ โดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีภัยมาถึงตัวเหมือนที่ผ่าน ๆ มา เนื้อหาสาระที่อัครทูตกล่าวนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระคริสต์ (ข้อ30-32) เป็นการดีได้โอกาสนำเสนอความจริงที่ทำให้ที่ประชุมสภาสูงของยิว ได้เห็นทันทีว่า บรรดาอัครทูตไม่ได้เทศนาสั่งสอนเรื่องพระอื่น เนื่องจากได้กล่าวอ้างถึงพระเจ้าของบรรพบุรุษของคนยิวว่า พระองค์เป็น ผู้ทำให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย
ไม่เพียงเท่านั้น อัครทูตยังเปิดเผยให้เห็นความจริงอย่างชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเดียวและเป็นผู้นำให้พวกเขากลับใจ มาหาพระเจ้า
อัครทูตตระหนักดีว่า นี่คือความจริงที่ท่านจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้า ท่านไม่อาจนิ่งเงียบ
ท่านยืนหยัดบอกเล่าความจริงว่า การที่พระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายที่พวกเขาเป็นผู้อายัดพระองค์เข้าสู่ความตายนั้น เป็นการอัศจรรย์อย่างแท้จริง และเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังขยายความจริงเกี่ยวกับพระคริสต์ว่า พระเยซูทรงได้รับการยกขึ้นสูง(31)
คำว่า “ตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้า” แสดงถึง สิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ที่อยู่เหนือทุกสิ่ง
พระเยซูทรงเป็นองค์พระเป็นเจ้า นี่คือความจริงที่โลกจะต้องประจักษ์แจ้ง
วันนั้นเมื่อพระเยซูถูกจับอายัดที่กางเขน ศัตรูคิดว่าพระเยซูพ่ายแพ้แล้วแต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ วันที่สามพระเยซูทรงชัยชนะเหนือความตาย และจากนั้นเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
อฟ.1:22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร
ขอให้เรามั่นใจและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นประมุขเหนือเรา เพราะพระองค์ทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจสูงสุด
วันนี้เราเป็นผู้มีชัยชนะแล้วร่วมกับพระองค์ ขอให้เรารับชัยชนะนั้นไว้ด้วยความเชื่อและไว้วางใจ ขอให้เราดำเนินชีวิตอย่างผู้มีชัยชนะ
อัครทูตชี้ให้เห็นอย่างเจาะจงว่า พระเยซูคริสต์ทรงได้รับการกำหนดมาเพื่อชนอิสราเอลโดยแท้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้กลับใจใหม่ และรับการยกโทษบาป (31)
นี่เป็นการกล่าวอย่างตรงประเด็น และตรงไปตรงมา อย่างไม่กลัวโทษทัณฑ์
ลองคิดดูว่าอัครทูตกำลังพูดกับผู้นำของคนยิวซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือพร้อมที่จะจัดการกับอัครทูตอย่างไรก็ได้
อัครทูตบอกว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าซึ่งพวกเขาเชื่อถือนั้นแต่งตั้งให้เป็นผู้นำและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือพระมาซีฮาห์ที่พวกเขารอคอย และเป็นผู้มีอำนาจในการยกบาปผิดของพวกเขาได้ ! การกล่าวตรงประเด็นเช่นนี้ เป็นการเท้าทายสภาแซนเฮดดรินอย่างมาก
อัครทูตกล่าวสรุปลงท้ายใน ข้อ 32 เป็นการยืนยันว่า นี่แหละคือเหตุผลที่บรรดาอัครทูตเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้(32)
นั่นคือไม่เพียงแต่บรรดาอัครทูตเท่านั้นที่มีภารกิจนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย
หมายความว่า ภารกิจแห่งการสื่อข่าวสารความจริงเรื่องพระเยซูคริสต์นั้นไม่ได้เป็นของบรรดาอัครทูตเท่านั้น แต่ของทุกคนที่เชื่อฟังพระเจ้า !
2.ข้อคิดสะกิดใจ
เมื่อมหาปุโรหิตไต่สวนบรรดาอัครทูตว่าเพราะเหตุไรจึงไม่ทำตามที่กำชับไม่ให้ออกไปกล่าวพระนามของพระคริสต์
อัครทูตได้ตอบกลับไปอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้า ยิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ คำกล่าวของอัครทูตนั้น ทำให้คนในสภาแซนเฮดดรินไม่พอใจอย่างมาก จนถึงกับคิดจะฆ่าพวกอัครทูตเลย
ข้อ 33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย
ข้อคิดที่ได้รับคือ ในสถานการณ์ที่คับขันนั้น พระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับคนของพระองค์ที่ยืนหยัดเชื่อฟังพระเจ้าและยืนหยัดในการกล่าวความจริงของพระเจ้า
ผลของการเชื่อฟังและยืนหยัดในการกล่าวความจริงของพระเจ้า อยู่ในข้อ 34-40 นั่นคือ “ความจริงได้รับ การรับรอง” เพราะผ่านการทดสอบ
พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมทางออก พระเจ้าได้จัดเตรียมการช่วยเหลือมาให้อีกครั้งหนึ่ง
ท่ามกลางสมาชิกในสภาแซนเฮดดรินนั่นเอง
พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้มีคนหนึ่งชื่อ “กามาลิเอล”ท่านเป็นบุคคลที่สำคัญท่ามกลางชนชั้นนำของยิว เป็นพวกฟาริสี และเป็นบาเรียน และเป็นคนที่ประชาชนคนยิวยอมรับนับถือ
พระเจ้าทรงใช้ชายผู้นี้แหละ ทำให้ความจริงได้รับการรับรอง ท่านผู้นี้เป็นอาจารย์ของเซาโลซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอัครทูตเปาโล(กจ.2:23"ข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่ได้เติบโตขึ้นในเมืองนี้ และได้เล่าเรียนกับท่านอาจารย์กามาลิเอล ตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษของเราโดยถี่ถ้วนทุกประการ จึงมีใจร้อนรนในการปรนนิบัติพระเจ้า เหมือนอย่างท่านทั้งหลายทุกวันนี้)ท่านกามาลิเอลได้กลายเป็นแนวร่วมกับบรรดาอัครทูตโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเขา ไม่ได้ยอมรับหรือเห็นด้วยกับคำสอนของอัครทูตก็ตาม
กามาลิเอลได้ลุกขึ้นกล่าวคัดค้านการกระทำของสมาชิกสภา โดยให้คนพาพวกอัครทูตออกไปข้างนอกก่อนสักครู่หนึ่งข้อ (34)
หลังจากที่อัครทูตถูกพาตัวออกไปแล้ว กามาลิเอลจึงได้กล่าวชี้แจง เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยที่จะทำอะไรกับอัครทูต ณ เวลานี้ โดยยกตัวอย่าง 2 เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่เป็นความผิดพลาด คือพูดถึง 2บุคคล (2ดาส)นั่นคือธุดาสและยูดาส(มีลูกมีหลานกรุณาอย่าตั้งชื่อนี้) เป็นเหตุการณ์ปรากฏใน ข้อ 35-36 ท่านได้อ้างถึงชายคนหนึ่งที่อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ ชื่อ "ธุดาส" ปรากฏว่ามีคนติดตามชายผู้นี้ไป แต่ในที่สุดชายผู้นี้ได้ถูกฆ่า คนที่ติดตาม ทั้งสี่ร้อยก็กระจัดกระจายไป
เหตุการณ์ที่สอง ปรากฏใน ข้อ 37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราว เหตุการณ์ที่สอง คือชายอีกคนชื่อ "ยูดาส"เป็นชาวกาลิลีได้เกลี้ยกล่อมให้คนติดตามตัวเองไป ปรากฏว่าต่อมาชายผู้นี้ก็ถูกฆ่าตาย คนที่เป็นพรรคพวกก็กระจัดกระจายไป
ท่านยกเหตุการณ์สองเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อสรุปใน ข้อ 38-39
38 ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่าจงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลยเพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเองพระเจ้าทรงใช้ชายผู้นี้แหละ ทำให้ความจริงได้รับการรับรอง
39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า"
นี่เป็นคำกล่าวที่ลึกซึ้งมาก แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในพระเจ้าของ กามาลิเอลว่า พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นต่อสู้แทนพระเจ้าจงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรเขาเลย กามาลิเอลบอกว่า อย่าเอาเรื่องเอาราวกับอัครทูตอีกต่อไปเลย ให้เรื่องนี้จบ เพราะหากการนี้มาจากมนุษย์ ก็จะล้มละลายไปเอง
หมายความว่า หากอัครทูตสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคน การนั้น จะล้มเหลวจะไม่สำเร็จ พระเจ้าจะไม่รับรอง
หากการนี้มาจากพระเจ้า กามาลิเอลชี้ให้เห็นความจริง 2 ประการคือ
ประการแรก จะไม่มีใครทำลายสิ่งที่มาจากพระเจ้า
ประการที่สอง หากลงมือต่อสู้การที่มาจากพระเจ้าจะกลายเป็น การสู้รบกับพระเจ้า
ความคิดอันเฉียบคมและมีสติปัญญาของกามาลิเอลนี้ ให้ข้อคิดที่ดีแก่เราที่เราจะไม่ด่วนตัดสินหรือจัดการกับเรื่องใด ๆ หรือกับใคร เพราะพระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง
ถ้าต่อสู้งานพระเจ้า เท่ากับเป็นการต่อสู้พระเจ้า
ถ้าต่อสู้คนของพระเจ้า ก็เท่ากับต่อสู้กับพระเจ้า
ไม่เพียงแต่บรรดาอัครทูตจะตอบสนองเมื่อได้รับการช่วยกู้จากการข่มเหงโดย “เชื่อฟังพระเจ้า” แล้ว
ข้อ 41 ..พวกอัครทูตจึงออกไปให้พ้นหน้าสภาด้วยความยินดี ที่เห็นว่าตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น
นั่นคือการตอบสนองเมื่อได้รับการช่วยกู้จากการข่มเหง คือ “ตอบสนองด้วยความยินดี”
เมื่อพวกอัครทูตได้รับอิสรภาพ พวกเขามีความยินดี ความยินดีนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะได้รับอิสรภาพแล้ว แต่เพราะเห็นว่าตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น
ทำไมอัครทูตถึงมีความยินดี? เพราะพวกเขาถือว่าเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้เผชิญอย่างพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา พวกเขาต้องถูกเฆี่ยน พวกเขาต้องถูกประจาน ซึ่งนี่คือสิ่งที่พระเยซู ถูกปฏิบัติอย่างนั้นเช่นกัน
เราทั้งหลายซึ่งเป็นคนของพระเจ้าก็ควรมีท่าทีเช่นนั้นเหมือนกันหากต้องเผชิญกับการหลู่เกียรติเพราะพระนามของพระคริสต์
อัครทูตเปโตร ผ่านประสบการณ์แห่งการทุกข์ยากเพื่อพระคริสต์ จึงเขียนจดหมายถึงธรรมิกชนในจดหมายฝาก 1ปต. 4:13 ว่าแต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดี ในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย
ให้ยินดีเถิดหากต้องรับความทุกข์ หากต้องรับการหลู่เกียรติเพราะ พระนามของพระเจ้า เพราะว่าวันสุดท้ายเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา ความยินดีนั้นจะยิ่งเพิ่มพูนเป็นอย่างมากด้วย !
ยากอบก็เช่นกัน ท่านได้ผ่านประสบการณ์แห่งความปีติยินดีที่ได้ เผชิญกับความทุกข์ยากเพราะพระนามของพระเจ้า จึงเขียนจดหมายบอกพี่น้องใน ยก.1:2 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี
คริสเตียนไม่ใช่พวกที่ชอบซาดิสต์ Sadismนิยมความรุนแรง ชอบความทุกข์ หรือชอบการทรมานตัวเอง แต่หากความทุกข์นั้นเพราะพระนามพระเจ้า เรา ถือว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี
เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากเพราะพระนามของพระคริสต์ อัครทูตยินดีเพราะรู้ว่าทั้งสิ้นอยู่ในแผนการของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เพราะก่อนหน้านี้เมื่อพระเยซูคริสต์ยังทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางพวกเขา ในโลกนี้พระองค์ได้บอกไว้แล้วเขาต้องได้รับสิ่งใดบ้าง มธ.5:11-12
11 "เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะ ทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
ไม่เพียงแต่ตอบสนองด้วย “การเชื่อฟัง” และด้วย “ความยินดี” เมื่อได้รับการช่วยกู้จากข่มเหง ท่าทีคนของพระเจ้าที่ถือว่าการทนทุกข์เพื่อพระคริสต์ไม่ใช่สิ่งที่ เลวร้ายเสียทีเดียว แต่เป็นเกียรติ เพราะมีความหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
คำถามที่เราต้องมาสอบถามตนเองในฐานะว่าเราเป็นคริสเตียน คือเมื่อเราเผชิญการข่มเหงเราจะตอบสนองอย่างไร ? และมีท่าทีอย่างไรเมืื่อเผชิญการข่มเหง?
3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้
จากเหตุการณ์การข่มเหงในคริสตจักรสมัยแรกทำให้เกิดการฟื้นฟูอย่างมาก และผู้เชื่อได้กระจัดกระจายไปประกาศข่าวประเสริฐทั่วโลก การข่มเหงจึงไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่เป็นอุปกรณ์ที่พระเจ้าใช้ในการทดสอบใจของคริสเตียน ว่าจะมีการตอบสนองอย่างไร เมื่อเราตอบสนองอย่างถูกต้อง เลือกเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ และมีท่าทีแห่งความยินดี สิ่งที่เราจะได้รับคือการช่วยเหลือจากพระเจ้า ดังเหตุการณ์ตอนนี้พระเจ้าใช้บุคคลที่เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะสูงในสังคมอย่างอาจารย์กามาลิเอล ช่วยปกป้องอัครทูต ดังนั้นในพระเจ้าแล้ว แม้ในทางตัน พระองค์จะประทานทางออกในทุกปัญหาเสมอ
ขอพระเจ้าอวยพระพร ในโอกาสหน้าเราจะมาศึกษาต่อในบทที่ 6 ซึ่งเป็นเรื่องของต้นแบบแห่งการบริหารของคริสตจักรในสมัยแรก สามารถติดตามได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น