พระเจ้าไม่ทรงจดจำบาปของผู้เชื่อ
โดย Haiyong Kavilar
(ฮีบรู 8:6) แต่บัดนี้พระเยซู
ทรงได้รับพันธกิจที่สูงส่งกว่าของพวกเขา
เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาอันประเสริฐกว่า
ซึ่งตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ประเสริฐกว่า
ใน (ฮีบรู 8:6)
ได้กล่าวว่าพันธสัญญาใหม่เป็นพันธสัญญาที่ประเสริฐกว่าพันธสัญญาเดิม
ซึ่งผู้คนจะก้าวเข้าสู่พันธสัญญาใหม่นี้ได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พันธสัญญานี้ถูกตราขึ้นโดยพระโลหิตพระคริสต์
ในพันธสัญญาใหม่นี้ พระเจ้าทรงอภัยบาปให้ผู้เชื่อและไม่จดจำบาปของผู้เชื่ออีก
(มัทธิว 26:28)
เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่ออภัยบาปโทษคนจำนวนมาก
(ฮีบรู 8:12) เพราะเราจะเมตตาต่อการอธรรมของพวกเขา และจะไม่จดจำบรรดาบาปของพวกเขาไว้เลย”
เทวนิยมแบบดั้งเดิม (Classical
Theism)
คำถามมีอยู่ว่า
ถ้าพระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง(สัพพัญญู) แล้วพระเจ้าจะไม่จดจำบาปของผู้เชื่อได้อย่างไร?
ในมุมมองของเทวนิยมแบบดั้งเดิมยึดมั่นว่าพระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง
ดังนั้นตามมุมมองเทวนิยมแบบดั้งเดิม
การที่พระคัมภีร์เขียนว่าพระเจ้าจะไม่จดจำบาปจึงไม่ได้มีความหมายแบบนั้นตามตัวอักษร
แต่พระคัมภีร์เขียนแบบเปรียบเปรยเพื่อให้มนุษย์เข้าใจได้ (ภาษาวิชาการเรียกว่า Anthropomorphism) นี่เป็นคำอธิบายที่นักศาสนศาสตร์บางส่วนยึดถือ
เทวนิยมแบบเปิด (Open Theism)
ในช่วงปีคริสตศักราชที่ 1980
มีนักวิชาการบางกลุ่มได้เสนอมุมมองทางศาสนศาสตร์ที่แตกต่างไปจากเทวนิยมแบบดั้งเดิม
มุมมองนี้เสนอว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และมีเอกสิทธิ์ในการจำกัดความรู้ของพระองค์
กล่าวคือถ้าพระเจ้าเลือกที่จะไม่รู้ในเรื่องใด พระองค์ก็สามารถกระทำเช่นนั้นได้
มุมมองนี้มีชื่อในเชิงวิชาการว่าเทวนิยมแบบเปิด
ในพระคัมภีร์มีหลายเหตุการณ์ที่ดูประหนึ่งว่าพระเจ้าเลือกที่จำกัดพระองค์โดยไม่รับรู้ในบางเรื่อง
เช่น (ปฐมกาล 18:20-21)
(ปฐมกาล 18:20-21)
พระยาห์เวห์ตรัสว่า
“เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์นั้นดังเหลือเกิน
และบาปของเขาก็หนักมาก
เราจะลงไปดูว่าพวกเขาทำผิดจริงตามคำร้องที่มาถึงเรานั้นหรือไม่
ถ้าไม่ เราก็จะรู้”
ในหนังสือ Who is God? (พระเจ้าคือผู้ใด)
ที่เขียนโดย Harold Eberle (ฮาร์โรล เอเบอร์เล)
ได้กล่าวถึงข้อพระคัมภีร์นี้ว่า
ข้อพระคัมภีร์นี้ทำให้คุณปั่นป่วนหรือประหลาดใจไหม?
ข้อพระคัมภีร์นี้ชี้ว่าพระเจ้ารับรู้ถึงความบาปในเมืองโสโดมกับเมืองโกโมราห์
ทว่าพระองค์รู้แบบบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด
พระองค์ได้ส่งเหล่าทูตสวรรค์ไปในพื้นที่นั้นเพื่อที่จะตรวจสอบดูว่าผู้คนในเมืองเหล่านั้นได้กระทำบาปตามคำร้องที่มาถึงหรือไม่? พระเจ้าทรงไปตรวจสอบเพื่อที่ว่าพระองค์จะได้ “รู้”
เป็นไปได้ว่าพระเจ้าทรงยอมจำกัดการทรงสถิตของพระองค์และซ่อนพระพักตร์จากสถานที่ชั่วร้ายอย่างเมืองโสโดมกับเมืองโกโมราห์
นั่นคือพระองค์เลือกที่จะไม่สำแดงความบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อสิ่งชั่วร้าย และดังนั้นพระองค์เลือกที่จะไม่รับรู้ในบางเรื่องแบบทั้งหมด
บางทีพระองค์สามารถเลือกที่จะรู้เรื่องไหนก็ได้ที่พระองค์ต้องการจะรู้
บางทีพระองค์ทรงมีเอกสิทธิ์ในการเลือกที่จะไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
|
ดาเนียล จัสเตอร์ |
ตามมุมมองของเทวนิยมแบบเปิด
พระเจ้าทรงมีเอกสิทธิ์ที่จะไม่รับรู้ในบางเรื่องได้
นั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงไม่จดจำบาปของผู้เชื่อที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ได้จริงๆ
พระองค์ทรงมีเอกสิทธิ์ในการเลือกที่จะไม่จดจำรู้บาปของผู้เชื่อ
มุมมองเทวนิยมแบบเปิดจึงตีความข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “พระเจ้าทรงไม่จดจำบาป”
ได้ตรงตามตัวอักษร
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่านักวิชาการทุกคนจะยอมรับเรื่องเทวนิยมแบบเปิด
ในแวดวงศาสนศาสตร์ประเด็นเรื่องเทวนิยมแบบเปิดเป็นเรื่องที่โต้เถียงกันมาก
กระนั้นก็มีนักวิชาการพระคัมภีร์ชาวยิวที่เป็นคริสเตียนบางคน เช่น ดาเนียล
จัสเตอร์ ได้ออกมาสนับสนุนแนวคิดเทวนิยมแบบเปิด เนื่องจากเขาเห็นว่า
มุมมองของเทวนิยมแบบเปิดสอดคล้องกับความเป็นพระเจ้าของอิสราเอลมากกว่ามุมมองของเทวนิยมแบบดั้งเดิม
หนังสือแนะนำเพิ่มเติม
ถ้าเพื่อนๆสนใจศึกษาเรื่องเทวนิยมแบบเปิดอย่างลึกซึ้งขึ้น
ผมขอแนะนำหนังสือดังต่อไปนี้
1. Who is God? เขียนโดย Harold
R. Eberle หนังสือเล่มนี้ใช้อ่านเข้าใจง่าย เพราะใช้ภาษาที่ง่ายและกระชับ
2. God of the Possible
เขียนโดย Gregory A. Boyd หนังสือเล่มนี้มีความเป็นวิชาการบ้าง แต่ก็ยังอ่านง่าย