ช่วงเวลาสำคัญสำหรับเทศกาลที่สำคัญคือ เทศกาลปัสกา(Passover) ปี 5777 ในช่วงวันที่ 10-18 เมษายน 2017
ปัสกาเป็นเทศกาลที่ชาวอิสราเอลจะรับประทานขนมปังไร้เชื้อและผักขมเพื่อระลึกถึงความขมขื่นใจในการเป็นทาสและพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเขาออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ไปสู่ความเป็นไทในดินแดนแห่งใหม่ตามเป้าประสงค์ของพระองค์
ปัสกาเป็นเทศกาลที่ชาวอิสราเอลจะรับประทานขนมปังไร้เชื้อและผักขมเพื่อระลึกถึงความขมขื่นใจในการเป็นทาสและพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเขาออกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ไปสู่ความเป็นไทในดินแดนแห่งใหม่ตามเป้าประสงค์ของพระองค์
คำว่า "ปัสกา"หรือ เพซัค (Pesach-פֶּסַח)ภาษาฮีบรู แปลว่า ผ่านเว้น
(Passover) จากเหตุการณ์ในพระธรรมอพยพบทที่
12 พระเจ้าผ่านไปและเขาไม่ถูกทูตแห่งความตายจัดการ
เพราะพวกเขานำเลือดแกะมาทาที่วงกบประตูนั้นจะเป็นหมายสำคัญ
นอกจากนี้ยังหมายความว่า
"ยืนตระหง่านปกป้อง" พระยาห์เวห์ทรงยืนตระหง่านปกป้องพวกเขาในทุกสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต
แม้เวลาจะผ่านมาหลายพันปี แต่อิสราเอลยังถือรักษาเทศกาลนี้อย่างมั่นคงเพราะเป็นกฎถาวรและเป็นการนัดหมายสำหรับคนของพระยาห์เวห์
อพยพ 12:14 “วันนี้จะเป็นวันที่ระลึกสำหรับเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายถือไว้เป็นเทศกาลแด่พระเจ้าชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เจ้าจงฉลองเทศกาลนี้และถือเป็นกฎถาวร
เทศกาลปัสกาไม่ถือเฉพาะคนยิวเท่านั้น แม้แต่คนต่างชาติอย่างเรา พระยาห์เวห์ทรงอนุญาตให้ทำได้
กันดารวิถี 9:14 "ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลายจะถือเทศกาลปัสกาแด่พระยาห์เวห์ ก็ให้เขาถือตามกฎเกณฑ์และกฎหมายของเทศกาลปัสกา เจ้าจงมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกัน...
อพยพ 12:14 “วันนี้จะเป็นวันที่ระลึกสำหรับเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายถือไว้เป็นเทศกาลแด่พระเจ้าชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เจ้าจงฉลองเทศกาลนี้และถือเป็นกฎถาวร
เทศกาลปัสกาไม่ถือเฉพาะคนยิวเท่านั้น แม้แต่คนต่างชาติอย่างเรา พระยาห์เวห์ทรงอนุญาตให้ทำได้
กันดารวิถี 9:14 "ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลายจะถือเทศกาลปัสกาแด่พระยาห์เวห์ ก็ให้เขาถือตามกฎเกณฑ์และกฎหมายของเทศกาลปัสกา เจ้าจงมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกัน...
การฉลองเทศกาลปัสกาจึงมีความหมายสำหรับคริสตชนเช่นเดียวกัน
เทศกาลปัสกาเป็นภาพเงาเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงเป็นแกะปัสกาที่ถูกนำไปฆ่าที่ไม้กางเขน
และทรงเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นผลแรก
พระเยซูคริสต์ทรงก้าวออกจากหลุมฝังศพและประกาศก้องให้โลกได้รู้ว่า “พระองค์ทรงมีชัยเหนือความบาปความตาย” (1โครินธ์ 15:16-22)
พระเยซูคริสต์ทรงก้าวออกจากหลุมฝังศพและประกาศก้องให้โลกได้รู้ว่า “พระองค์ทรงมีชัยเหนือความบาปความตาย” (1โครินธ์ 15:16-22)
ปัสกาจึงเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นมีชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยความหวังใจในพระสัญญาของพระยาห์เวห์
อิสยาห์ 43:19ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว...
หากไม่ก้าวข้าม(Passover)ก็คงต้องยอมตายเปล่า(Pass away) เหมือนเหตุการณ์ที่ชนชาติอิสราเอลเดินทางออกจากอิยิปต์และกองทัพของอียิปต์กำลังไล่มาจนสุดทาง อุปสรรคขวางหน้าคือ ทะเลแดง สิ่งอัศจรรย์คือ พระยาห์เวห์ทรงเปิดหนทางออกให้อิสราเอลข้ามผ่านไปได้ (อพยพ 14) เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำคนของพระองค์ พระองค์จะพาเราไปสู่จุดหมายคือเป้าประสงค์ลิขิตของพระองค์ในชีวิตของเราแต่ละคน ในบางครั้งเราพบกับอุปสรรคปัญหา เราอาจจะมองไม่เห็นทาง หนทางอาจจะตัน แต่ในพระยาห์เวห์ทรงมีหนทางเสมอ
"เพียงเพราะเรามองไม่เห็นทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงประทานหนทาง" เมื่อเราร้องทูลต่อพระเจ้าพระองค์จะทรงเปิดหนทางให้ "
อิสยาห์ 43:19ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว...
หากไม่ก้าวข้าม(Passover)ก็คงต้องยอมตายเปล่า(Pass away) เหมือนเหตุการณ์ที่ชนชาติอิสราเอลเดินทางออกจากอิยิปต์และกองทัพของอียิปต์กำลังไล่มาจนสุดทาง อุปสรรคขวางหน้าคือ ทะเลแดง สิ่งอัศจรรย์คือ พระยาห์เวห์ทรงเปิดหนทางออกให้อิสราเอลข้ามผ่านไปได้ (อพยพ 14) เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำคนของพระองค์ พระองค์จะพาเราไปสู่จุดหมายคือเป้าประสงค์ลิขิตของพระองค์ในชีวิตของเราแต่ละคน ในบางครั้งเราพบกับอุปสรรคปัญหา เราอาจจะมองไม่เห็นทาง หนทางอาจจะตัน แต่ในพระยาห์เวห์ทรงมีหนทางเสมอ
"เพียงเพราะเรามองไม่เห็นทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงประทานหนทาง" เมื่อเราร้องทูลต่อพระเจ้าพระองค์จะทรงเปิดหนทางให้ "
ในเทศกาลนี้
ให้เราร่วมฉลองด้วยชัยชนะในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำให้สำเร็จแล้วที่บนไม้กางเขน จงอย่าจมปลักอยู่กับสิ่งแง่ลบแง่ร้ายหรือคำโกหกของศัตรู
แต่ให้เราป่าวประกาศถ้อยคำแห่งความจริง เพราะความจริงจะทำให้เราเป็นไท
อย่าตกอยู่ในความเป็นทาสแห่งความกลัว
บิล จอห์นสัน(Bill Johnson) ศบ.คริสตจักรเบธเอล กล่าวว่า "ความกลัวเป็นเหมือนอากาศที่ให้นรกมันหายใจ แต่ความเชื่อเป็นเหมือนลมหายใจของสวรรค์" (Fear is like oxygen for hell but faith is like oxygen for heaven.)
ดังนั้นให้เราคงจดจ่ออยู่ในสิ่งที่พระยาห์เวห์กำลังตรัสกับเรา มีทางออกของปัญหาในท่ามกลางเหตุการณ์ที่ยากลำบากเสมอ
บิล จอห์นสัน(Bill Johnson) ศบ.คริสตจักรเบธเอล กล่าวว่า "ความกลัวเป็นเหมือนอากาศที่ให้นรกมันหายใจ แต่ความเชื่อเป็นเหมือนลมหายใจของสวรรค์" (Fear is like oxygen for hell but faith is like oxygen for heaven.)
ดังนั้นให้เราคงจดจ่ออยู่ในสิ่งที่พระยาห์เวห์กำลังตรัสกับเรา มีทางออกของปัญหาในท่ามกลางเหตุการณ์ที่ยากลำบากเสมอ
ช่วงเทศกาลปัสกาจะมีการปลดปล่อยสิ่งใหม่ๆออกมาจากฟ้าสวรรค์ ที่ซึ่งจะทำให้แผนการต่างๆ
ที่มาจากศัตรู ต้องเคลื่อนผ่านเราไป
ในขณะที่พระยาห์เวห์ทรงปลดปล่อยพระพรต่างๆออกมาจากฟ้าสวรรค์
จงคาดหวังการทะลุทะลวงที่สำคัญที่เราจะผ่านอุปสรรคต่างๆ
เพื่อเป็นอุปกรณ์ที่จะยกชีวิตของเราไปสู่ระดับใหม่ที่สูงขึ้น
นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น
เพราะว่าเรากำลังเริ่มต้นที่จะเห็นการเคลื่อนออกไปเพื่อจะเข้าสู่เส้นชัยด้วยชัยชนะร่วมกับพระองค์
บทความครั้งนี้ ผมขอเขียนในส่วนที่แตกต่างออกไปจากปีก่อนๆ (ผู้อ่านสามารถติดตามอ่านบทความเกี่ยวกับเทศกาลปัสกาได้ที่ link นี้ รวมบทความเทศกาลปัสกา(Passover)
บทความปัสกาในครั้งนี้ ผมเขียนถึงเหตุการณ์ในช่วง Passion week คือ ช่วงสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนและทรงฟื้นชึ้นจากความตายในช่วงปัสกา
เริ่มต้นจากการที่พระเยซูคริสต์ทรงลูกลาเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลองปัสกา(ยอห์น 12:12-17,มัทธิว 21:1-14) การที่พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม เป็นไปตามเป้าประสงค์ของพระบิดา ตามคำเผยพระวจนะ เศคาริยาห์ 9:9 (สามารถอ่านบทความเรื่อง การเดินทางสู่เป้าประสงค์เพื่อปัสกา )
เมื่อพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม คนยิวหลายคนมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เขารอครอบคือ พระเมสสิยาห์(Messiah) เพราะพวกเขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทำและพวกเขาคิดว่าพระเยซูคริสต์สามารถนำการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของโรมัน พวกเขาร้องว่า “โฮซันนา” ซึ่งภาษาเดิมหมายความว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดเถิด” “ขอทรงโปรดให้รอดเดี๋ยวนี้เถิด” ถึงแม้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงกระทำหมายสำคัญหลายประการ คนยิวและพวกฟาริสีก็ยังไม่วางใจในพระองค์ทั้งนี้เพื่อสำเร็จตามคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ (อิสยาห์ 6:9,53:1)
พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาในเทศกาลปัสกา และทรงมาเพื่อชำระพระวิหารของพระบิดา
มัทธิว 21:12-13
12 พระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่พวกซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น ทรงคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน และทรงคว่ำม้านั่งของคนขายนกพิราบ
13 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร”
สาเหตุที่พระเยซูทำเช่นนี้เพราะเทศกาลปัสกา เทศกาลนี้คนยิวจะกินขนมปังปิ้งไร้เชื้อ (Matzah)และกินผักรสขม เพื่อระลึกถึงความขมขื่นใจที่เป็นทาสในอียิปต์ นอกจากนี้จะมีการกำจัดเชื้อเก่าๆที่ได้รับอิทธิพลจากอียิปต์ พวกเขาจะชำระเชื้อในบ้านให้ปราศจากเชื้อที่ไม่ดี
1. พระเยซูคริสต์ต้องการให้พระวิหารเป็นนิเวศแห่งการอธิษฐานโดยชำระให้พ้นจากเชื้อของพวกฟาริสีและเฮโรด
2. พระเยซูคริสต์ต้องการชี้ให้เห็นว่า “การถวายบูชาด้วยสัตว์ไม่ช่วยไถ่บาปและทำให้มนุษย์คืนดีกับพระเจ้า” จึงทรงขับไล่พวกค้าขายสัตวบูชาออกจากพระวิหาร
ในพระธรรม 1 โครินธ์ 5:7-8 อัครทูตเปาโลได้อธิบายภาพนี้ให้คริสตจักรที่เมืองโครินธ์โดยยกตัวอย่างจากเทศกาลปัสกาของชาวยิวและการรับประทานขนมปังไร้เชื้อ(อพย.12:1-28,13:6-8) เพื่อให้ตระหนักว่าผู้เชื่อต้องชำระเชื้อเก่าด้วยความเชื่อใหม่ที่ได้รับการไถ่แล้วจากพระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 5:7-8 7 จงชำระเชื้อเก่าเสีย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ ดังเช่นที่ท่านเป็นพวกไร้เชื้อ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเราถูกถวายบูชาแล้ว 8 เพราะฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น ไม่ใช่ด้วยเชื้อเก่าซึ่งเป็นเชื้อของความชั่วและความเลว แต่ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อ คือความจริงใจและสัจจะ
ในพระธรรมยอห์น บทที่ 13 ได้บรรยายถึงพระเยซูคริสต์ทรงมาเพื่อล้างเท้าสาวกเพื่อชำระพวกเขาให้พ้นจากมลทิน (ยอห์น 13:10 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน”)
นอกจากนี้การที่พระเยซูคริสต์เข้าไปในพระวิหารในเทศกาลปัสกา เพื่อจะพยากรณ์ล่วงหน้าว่าพระองค์จะถูกตรึงกางเขนและตายไป 3 วันและจะทรงฟื้นขึ้นใหม่
(ยอห์น 2:19 พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน”)
ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่กางเขนในเทศกาลปัสกา มีการรับประทานขนมปังไร้เชื่อและพระเยซูคริสต์ทรงตั้งพิธีมหาสนิทขึ้นเพื่อให้ระลึกสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรา (ลูกา 22:14-17)
หลังอาหารค่ำมื้อสุดท้าย(Last Supper) พระเยซูคริสต์ทรงสนทนาและอธิษฐานร่วมกับอัครสาวก แล้วพากันลงมาจากห้องชั้นบน(upper room)
พระเยซูทรงข้ามห้วยขิดโรน (Kidron) สถานที่ซึงเป็นที่รองรับเลือดแกะที่ไหลตามรางมาจากแท่นบูชาในพระวิหาร พระองค์ทรงไปยังสวนต้นมะกอกเทศ (ยอห์น 18:2) แห่งหนึ่งชื่อ "เกทเสมนี"(Gethsemane) หมายถึง การบีบคั้นเอาน้ำมันมะกอก(oil press) เป็นช่วงเวลาที่บีบคั้นความรู้สึก พระเยซูทรงไปอธิษฐาน ณ สถานที่นี้ พระองค์ทรงอธิษฐานจนกระทั่งเหงื่อไหลออกมาเป็นเลือด(ลูกา 22:44)
สภาวะการณ์แบบนี้ ดร. วิลเลียม ดี. เอดเวิร์ด (William D. Edwards) เสนอแนวคิดไว้ใน “On the Physical Death of Jesus Christ” ว่า ความกดดันและมีความตรึงเครียดมากเป็นเหตุให้เส้นเลือดฝอยปริแตกได้เมื่อเส้นเลือดฝอยแตก ก็อาจจะมีเลือดออกมาปนกับเหงื่อ พระเยซูคริสต์ทรงซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า "โอ พระบิดา(Abba)ของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" (มัทธิว 26:39)
คำอธิษฐานนี้สะท้อนถึงความเครียดและความกลัวที่พระเยซูทรงเผชิญในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ พระเยซูทรงกลัว มิใช่เพราะความตายที่จะต้องเผชิญ เพราะพระองค์ทรงต้องเผชิญกับความตายเพื่อจะรับแบกความบาป แบกรับการพิพากษาของคนทั้งโลกออกไป พระองค์ทรงเต็มพระทัย ทรงอาสาสมัครใจที่จะตายเพื่อมนุษยชาติ แต่การที่จะถูกตัดขาดจากพระบิดาหรืออับบา (คำพูดที่มาจากความความสัมผัสอันสนิทสนมกับพระบิดา) เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงกลัว
สิ่งที่พระเยซูรับนั้นก็เพื่อทำให้เราได้ชนะเหนือความเครียดโดยพระองค์ได้แบกความทุกข์ใจ ความเครียดเพื่อเราจะได้รับสันติสุขผ่านทางพระองค์
พระธรรมฮีบรู 5:7 บรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า “ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนังนั้น พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยทรงกันแสงมากมายและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับเพราะพระองค์นั้นได้ยำเกรง”
เมื่อปีที่แล้วผมเดินทางไปประเทศอิสราเอล ผมได้เห็นข้อความจากพระะธรรรมตอนนี้ได้จารึกเป็นภาษาละตินไว้บน โบสถ์แห่งประชาชาติ (Church of All Nations) หรือ Basilica of Agony ออกแบบโดย อันโตนิโอ บาร์ลุซซี (Antonio Barluzzi) สถาปนิกชาวอิตาลี ในตัวโบสถ์มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นจุดที่พระเยซูทรงคุกเข่าอธิษฐานก่อนถูกทหารโรมันจับตัว พระเยซูคริสต์ไม่หลบหนีพร้อมยอมให้ยูดาส (Judas)ผู้ทรยศมาจุบพระองค์เพื่อให้ทหารโรมันจับกุมพระองค์ เหล่าอัครสาวกหนีเอาตัวรอดหมด(มัทธิว 26:46-56) แม้แต่อัครสาวกอย่างเปโตรก็ยังปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระองค์ต่อหน้าผู้อื่น 3 ครั้งตามสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำนายไว้(มัทธิว 26:69-75) ลานบริเวณนี้ปัจจุบันเป็นโบสถ์ St.Peter in Gallicantu สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้ (จากบทความเรื่อง บันทึกการเดินทางอิสราเอล(7))
ทหารโรมันนำพระองค์ไปที่บ้านมหาปุโรหิตคายาฟาส(Caiaphas)(มัทธิว 26:57) สถานที่นี้เองพระเยซูคริสต์ทรงถูกโยนลงไปในหลุมใส่ขยะ พระองค์ถูกทิ้งไว้เดียวดาย ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง
พระเยซูคริสต์ทรงอยู่อย่างลำพังและเดียวดาย ถ้อยคำจากบทเพลงสดุดี 88:3-7 ได้เผยพระวจนะไว้ดังนี้
สภาวะการณ์แบบนี้ ดร. วิลเลียม ดี. เอดเวิร์ด (William D. Edwards) เสนอแนวคิดไว้ใน “On the Physical Death of Jesus Christ” ว่า ความกดดันและมีความตรึงเครียดมากเป็นเหตุให้เส้นเลือดฝอยปริแตกได้เมื่อเส้นเลือดฝอยแตก ก็อาจจะมีเลือดออกมาปนกับเหงื่อ พระเยซูคริสต์ทรงซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า "โอ พระบิดา(Abba)ของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" (มัทธิว 26:39)
คำอธิษฐานนี้สะท้อนถึงความเครียดและความกลัวที่พระเยซูทรงเผชิญในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ พระเยซูทรงกลัว มิใช่เพราะความตายที่จะต้องเผชิญ เพราะพระองค์ทรงต้องเผชิญกับความตายเพื่อจะรับแบกความบาป แบกรับการพิพากษาของคนทั้งโลกออกไป พระองค์ทรงเต็มพระทัย ทรงอาสาสมัครใจที่จะตายเพื่อมนุษยชาติ แต่การที่จะถูกตัดขาดจากพระบิดาหรืออับบา (คำพูดที่มาจากความความสัมผัสอันสนิทสนมกับพระบิดา) เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงกลัว
สิ่งที่พระเยซูรับนั้นก็เพื่อทำให้เราได้ชนะเหนือความเครียดโดยพระองค์ได้แบกความทุกข์ใจ ความเครียดเพื่อเราจะได้รับสันติสุขผ่านทางพระองค์
พระธรรมฮีบรู 5:7 บรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า “ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนังนั้น พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยทรงกันแสงมากมายและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับเพราะพระองค์นั้นได้ยำเกรง”
เมื่อปีที่แล้วผมเดินทางไปประเทศอิสราเอล ผมได้เห็นข้อความจากพระะธรรรมตอนนี้ได้จารึกเป็นภาษาละตินไว้บน โบสถ์แห่งประชาชาติ (Church of All Nations) หรือ Basilica of Agony ออกแบบโดย อันโตนิโอ บาร์ลุซซี (Antonio Barluzzi) สถาปนิกชาวอิตาลี ในตัวโบสถ์มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นจุดที่พระเยซูทรงคุกเข่าอธิษฐานก่อนถูกทหารโรมันจับตัว พระเยซูคริสต์ไม่หลบหนีพร้อมยอมให้ยูดาส (Judas)ผู้ทรยศมาจุบพระองค์เพื่อให้ทหารโรมันจับกุมพระองค์ เหล่าอัครสาวกหนีเอาตัวรอดหมด(มัทธิว 26:46-56) แม้แต่อัครสาวกอย่างเปโตรก็ยังปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระองค์ต่อหน้าผู้อื่น 3 ครั้งตามสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำนายไว้(มัทธิว 26:69-75) ลานบริเวณนี้ปัจจุบันเป็นโบสถ์ St.Peter in Gallicantu สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้ (จากบทความเรื่อง บันทึกการเดินทางอิสราเอล(7))
ทหารโรมันนำพระองค์ไปที่บ้านมหาปุโรหิตคายาฟาส(Caiaphas)(มัทธิว 26:57) สถานที่นี้เองพระเยซูคริสต์ทรงถูกโยนลงไปในหลุมใส่ขยะ พระองค์ถูกทิ้งไว้เดียวดาย ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง
พระเยซูคริสต์ทรงอยู่อย่างลำพังและเดียวดาย ถ้อยคำจากบทเพลงสดุดี 88:3-7 ได้เผยพระวจนะไว้ดังนี้
3เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลำบากเต็มที และชีวิตของข้าพระองค์เข้าใกล้แดนคนตาย
4 ข้าพระองค์ถูกนับเข้ากับบรรดาผู้ที่ลงไปยังหลุมมรณา ข้าพระองค์เป็นเหมือนชายที่ไม่มีกำลัง
5 เหมือนคนที่เขาทิ้งไว้ท่ามกลางคนตาย เหมือนคนถูกฆ่าที่นอนอยู่ในหลุมศพ ที่พระองค์มิได้ทรงระลึกถึงอีก เพราะเขาทั้งหลายถูกพรากจากพระหัตถ์ของพระองค์
6 พระองค์ทรงวางข้าพระองค์ไว้ที่ก้นบึ้งของหลุมมรณา ในแดนที่มืดและลึก
7 พระพิโรธของพระองค์อยู่บนข้าพระองค์ และพระองค์ทรงโถมทับข้าพระองค์ด้วยคลื่นใหญ่ทั้งสิ้นของพระองค์
ผมเคยไปสถานที่ตรงนี้ จดจำช่วงบรรยากาศนั้นได้ สัมผัสได้ถึงความปรารถนาของพระคริสต์อันแรงกล้าที่ยอมทนทุกข์เพื่อเราทั้งหลาย ความเศร้าโศกที่พระองค์รับเพื่อจะนำการปลอมประโลมใจมาสู่ชีวิตเรา
วันรุ่งขึ้นที่ผ่านค่ำคืนอันเดียวดายพวกหัวหน้าปุโรหิตจับพระเยซูคริสต์นำไปไต่สวนที่ศาลาปรีโทเรียม( Praetorium) เพื่อให้ปิลาต(Pilate) ผู้สำเร็จราชการของโรมันตัดสินคดี(มัทธิว 27) ข้อกล่าวหาคือ "พระเยซู ชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว(Iesus Nazarenus Rex Iudaeorum-INRI) เท่ากับว่าตั้งตนเป็นกบฏต่อโรมัน!
แม้วาในช่วงเทศกาลปัสกาจะมีธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามที่ฝูงชนต้องการได้(มธ. 27:15) แต่คนยิวเลือกที่จะปล่อยนักโทษอย่างบารับบัส พวกคนยิวตะโกนให้นำพระองค์ไปตรึงกางเขนและสุดท้ายแม้ว่า ปิลาตจะไม่เห็นว่าพระเยซูมีความผิดประการใดแต่ท่านต้องการจะเอาใจคนยิว ปิลาตจึงออกคำสั่งว่า “เอาไปตรึงที่กางเขน” (Ibis ad crucem)
พระเยซูถูกจับให้แบกกางเขนและให้เดินเท้าไปตามถนนที่ชื่อว่า เวียโดโลโรซา (Via Dolorosa) หมายถึง เส้นทางแห่งความเศร้าโศก (Way of Sorrow) เป็นเส้นทางที่พระเยซูคริสต์ ไปสู่เนินเขาที่ชื่อว่า โกลโกธา (Golgotha) แปลว่า กะโหลกศีรษะ (ปัจจุบันเป็นโบสถ์แห่งศาสนาคริสต์(Church of The Holy Sepulcher)
ณ ที่ไม้กางเขน เราสามารถสัมผัสถึงความปรารถนาของพระคริสต์(Passion of the Christ) พระองค์ทรงต้องการทำสิ่งนี้เพื่อไถ่บาปและนำเราทั้งหลายผ่านเว้น(Passover)จากความตายไปสู่ชีวิตนิรันดร์
ตั้งแต่เช้าวันพุธก่อนวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันสะบาโตของสัปดาห์พิเศษในเทศกาลปัสกา(Passover) จนถึงเวลาประมาณเที่ยงวัน เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง
พระเยซูคริสต์ทรงร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?”(มัทธิว 27:46)
พระองค์ทรงระบายความรู้สึกของพระองค์ที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง เมื่อพระเจ้าทรงนำความบาปของโลกนี้ไว้บนกายของพระองค์และเพราะความบาปทำให้พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ต้องหันหนีจากพระเยซูและนี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คำพยากรณ์ที่มีในพระธรรมสดุดี 22สำเร็จ
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสอีกว่า "โอพระบิดาเจ้าขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร" (ลูกา 23:34)
พระองค์ทรงประกาศการให้อภัยคนเหล่านั้นที่ตรึงพระเยซูที่บนกางเขน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระเยซูจึงต้องอธิษฐานเผื่อพวกเขาในขณะที่พวกเขาเยาะเย้ย ล้อเลียนพระองค์ และนี่เป็นภาพของพระคุณของพระเจ้าที่ไม่มีขีดจำกัด แก่ทุกคนในโลกนี้
ผลจากการที่พระเยซูคริสต์ต้องรับความเจ็บปวดและถูกตัดขาดจากพระเจ้าโดยการรับความบาปของเราไปไว้ที่กายของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราสารภาพบาปและขอการยกโทษเรามั่นใจว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เราจะได้รับการอภัยจากบาป
พระเยซูคริสต์ตรัสกับโจรคนหนึ่งที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนร่วมกับพระองค์แต่คนนี้เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระองค์จึงตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม" (ลูกา 23:43)
ผลคือพระเยซูทรงให้ความมั่นใจกับเราเช่นเดียวกันว่าเมื่อเราตายไปแล้ว เราจะได้อยู่กับพระองค์บนสวรรค์แน่นอนเพราะว่าเขามีความเชื่อในพระเยซูและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด
พระองค์ตรัวต่อไปว่า "พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์" (ลูกา 23:46)
พระเยซูคริสต์ทรงมอบจิตวิญญาณของพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระบิดา เป็นการบอกว่าพระองค์กำลังจะตายและพระเจ้าทรงยอมรับเครื่องถวายบูชาของพระองค์แล้ว
พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ถวายพระองค์เองแด่พระเจ้าโดยพระวิญญาณนิรันดร์ ให้เป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ" (ฮีบรู 9:14)
และพระเยซูคริสต์ทรงตรัสคำว่า "สำเร็จแล้ว" (ยอห์น 19:30) ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ประโยคนี้เป็นประโยคแห่งประวัติศาสตร์โลก ซึ่งแสดงว่าการทนทุกข์ของพระองค์จบลงแล้ว และงานทั้งสิ้นที่พระบิดาทรงมอบให้พระองค์ทรงกระทำเสร็จสิ้นลงแล้ว หนี้ความบาปทั้งสิ้นได้รับการจ่ายราคาแล้ว โดยพระชนม์ของพระองค์
พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เวลาบ่ายสามโมง พวกเขาได้นำพระศพของพระเยซูคริสต์ไปไว้ในอุโมงค์ก่อนตะวันตกดินเพราะว่าในโทราห์บอกว่าจะต้องฝังคนตายให้เสร็จก่อนดวงอาทิตย์จะตกดินเพราะพวกเขาจะไม่บริสุทธิ์พอสำหรับสะบาโตที่จะมาถึง
เฉลยธรรมบัญญัติ 21:22-23
22 “ถ้าคนใดทำความผิดซึ่งมีโทษถึงตาย และเขาถูกประหารชีวิต และท่านแขวนเขาไว้ที่ต้นไม้
23 ห้ามปล่อยให้ศพของเขาค้างอยู่ที่ต้นไม้ ท่านจงฝังเขาเสียในวันเดียวกันนั้น เพราะผู้ที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า ท่านอย่าทำให้แผ่นดินของท่านซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดกนั้นเป็นมลทิน
วันนั้นเป็นวันเตรียมก่อนวันสะบาโต พวกยิวจึงขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก และให้เอาศพไปเสีย เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่)
ยอห์น 19:31-37
32 ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนแรกและขาของอีกคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์33 แต่เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์
34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที
35 คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ
36 เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “พระอัฐิ ของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว”(สำเร็จตามคำเผยพระวจนะ สดุดี 34:20)
37 และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง”
สำเร็จตามคำเผยพระวจนะ เศคาริยาห์ 12:10 “และเราจะเทวิญญาณแห่งความเมตตาเอ็นดูและการวิงวอนบนราชวงศ์ดาวิดและชาวเยรูซาเล็ม ดังนั้นเมื่อเขาทั้งหลายมองดูเรา ผู้ซึ่งเขาเองได้แทงเขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน เหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรคนเดียวของตน และร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนอย่างคนร้องไห้เพื่อบุตรหัวปีของตน
การที่ทหารเอาทวนแทงที่สีข้างพระเยซูคริสต์(ยอห์น 19:34) พระโลหิตหลั่งออก เล็งถึงชนะความบาดเจ็บโดยความสัมพันธ์ ทำให้เราได้กลับมาคืนดีในความสัมพันธ์กับพระเจ้า
ดังนั้นโดยสรุปคือพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ในวันพุธที่ 14 เดือนนิสาน ซึ่งเป็นวันก่อนวันสะบาโตวันแรกของสัปดาห์ (คืนวันพุธเป็นคืนแรกที่พระศพของพระคริสต์อยู่ในอุโมงค์)
วันพฤหัสบดี ที่ 15 เดือนนิสาน วันนี้เป็นสะบาโตสูงประจำปีเป็นวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกทหารโรมัน เขาทำอุโมค์ให้มั่นคงประทับตราไว้ที่หินและวางยามประจำอยู่ วันนี้จะไม่มีชาวยิวจะไม่ไปทำอะไรเนื่องจากพักสงบในวันสะบาโตแรกในเทศกาลปัสกา
วันศุกร์ที่ 16 เดือนนิสาน
วันศุกร์ที่ 16 เดือนนิสาน
มาระโก 16:1 ครั้นวันสะบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์
ลูกา 23:56 พวกเธอก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นพวกเธอก็หยุดการไว้ตามพระบัญญัติ(สะบาโตประจำสัปดาห์)
ตรงนี้ให้เห็นว่ามีวันสะบาโต 2วันและวันเตรียมวันสะบาโตที่ 2 ตรงกับวันเสาร์ โดยเริ่มในเย็นวันศุกร์(วันศุกรนี้เป็นคืนที 3 ที่พระเยซูคริสต์อยู่ในอุโมงค์ฝังศพ)
วันเสาร์ที่ 17 เดือนนิสาน
วันเสาร์ที่ 17 เดือนนิสาน
พระเยซูคริสต์ฟื้นขึ้นมาวันเสาร์วันสะบาโตของประจำสัปดาห์ (Shabbat)เพราะว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าของวันสะบาโต มัทธิว 12:8 "เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต"
สิ่งนี้ได้สำเร็จตามคำพยากรณ์ของพระคริสต์เรื่องหมายสำคัญของโยนาห์ในท้องปลา 3 วัน 3คืน
มัทธิว 12:39-40
39 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า "คนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์
40 ด้วยว่า `โยนาห์ได้อยู่ในท้องปลาวาฬสามวันสามคืน' ฉันใด บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น
40 ด้วยว่า `โยนาห์ได้อยู่ในท้องปลาวาฬสามวันสามคืน' ฉันใด บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น
มัทธิว 17:23 และเขาทั้งหลายจะประหารชีวิตท่านเสีย ในวันที่สามท่านจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่
วันอาทิตย์ที่ 18 เดือนนิสาน หลังจากวันสะบาโตไปแล้ว เป็นวันที่สาวกพบอุโมงค์ที่ว่างเปล่า
มารีย์ชาวมักดาลามาตอนเช้ามืดวันอาทิตย์แต่พระเยซูคริสต์ฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วใน(ยอห์น.20:1-2) วันสะบาโตสูงจบแล้วพวกหญิงนั้นออกไปซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์ ในวันอาทิตย์เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ไปปรากฏกับสาวกที่เอมมาอูส
เหล่าอัครสาวกที่เดินไปกับพระเยซูบนถนนที่จะไปสู่เอ็มมาอูส ซึ่งเป็น “วันเดียวกัน”กับวันที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา (ลูกา 24:13) ซึ่งเหล่าอัครสาวกนั้นจำพระเยซูไม่ได้ และได้บอกท่านถึงเรื่องการตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน (ข้อ 24:20) และพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่สามตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น” (ข้อ 24:21)
วันอาทิตย์ที่ 18 เดือนนิสาน หลังจากวันสะบาโตไปแล้ว เป็นวันที่สาวกพบอุโมงค์ที่ว่างเปล่า
มารีย์ชาวมักดาลามาตอนเช้ามืดวันอาทิตย์แต่พระเยซูคริสต์ฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วใน(ยอห์น.20:1-2) วันสะบาโตสูงจบแล้วพวกหญิงนั้นออกไปซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์ ในวันอาทิตย์เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ไปปรากฏกับสาวกที่เอมมาอูส
เหล่าอัครสาวกที่เดินไปกับพระเยซูบนถนนที่จะไปสู่เอ็มมาอูส ซึ่งเป็น “วันเดียวกัน”กับวันที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมา (ลูกา 24:13) ซึ่งเหล่าอัครสาวกนั้นจำพระเยซูไม่ได้ และได้บอกท่านถึงเรื่องการตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน (ข้อ 24:20) และพูดว่า “วันนี้เป็นวันที่สามตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น” (ข้อ 24:21)
(สามารถอ่านรายละเอียดได้จากบทความ ไขปริศนา วันที่แท้จริงที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์)
พระเยซูคริสต์จึงเป็นแกะปัสกา และมาเพื่อทำให้ทุกคำแช่งสาบ ความตาย ถูกทำให้ผ่านเว้นไป และผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ตามพระสัญญา (ยอห์น 3:16)
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายและสอนเหล่าสาวกถึงเรื่องแผ่นดินสวรรค์ จนกระทั่งพระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ ทรงกำชับให้รอคอยพระสัญญาของพระองค์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเสด็จมาในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ (กิจการฯ 1:8)
สรรเสริญพระเจ้า ผู้ทรงเสด็จมาอยู่ในชีวิตของผู้เชื่ออย่างเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น