25 ธันวาคม 2562

Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส

🌲แม้ว่าวันที่ 25 ธ.ค.ไม่ได้เป็นวันประสูติที่แท้จริง
แต่เป็นโอกาสที่ดีเพราะช่วงนี้ผู้คนมากมายเปิดใจที่จะรับฟังความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาส เพราะเทศกาลคริสต์มาส คือ เทศกาลที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลาง ❤️

✝️ คำว่า Christmas มีความหมายว่า เทศกาลของพระคริสต์ หากตัดพระเยซูคริสต์ออกไป
บางคนมักจะเขียนว่า X'mas คือ การใส่สมการ X เข้าไปแทนที่พระคริสต์

🌘 ในภาษาไทย คำว่า "มาส" แปลว่า เดือนหรือดวงจันทร์ การตัดเอาพระคริสต์ออกไปจากเทศกาลนี้ จะเท่ากับ ไม่มีพระคริสต์ในเทศกาลคริสต์มาส ก็เป็นเหมือน "เดือนที่ดับอับแสง"

✝️ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นแสงสว่างที่เข้ามาในโลก ทำให้เกิดความหวังใจ

📕ยอห์น 8:12
เมื่อพระเยซูตรัสกับประชาชนอีก พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดเลยแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”

🌈ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นของขวัญอันอัศจรรย์ในวันคริสต์มาส(Amazing Christmas Gift)

❤️คำว่า "GIFT" แทนคำว่า "ของขวัญ" ที่เราจะได้รับ 4 สิ่งใน 4 ห้องหัวใจนั่นคือ

G: Grace พระคุณที่เราได้รับโดยไม่มีเงื่อนไข❤️
I : Identity อัตลักษณ์ใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่โลกให้ แต่เป็นสิ่งใหม่คืออัตลักษณ์แห่งการเป็นบุตรของพระเจ้า 🤟
F: Father Heart หัวใจของพระบิดา พระเจ้าจะทรงมอบหัวใจนี้ใหม่กับลูกของพระองค์ที่เข้ามาร้องทูลขอทุกสิ่งจากพ่อ 💝
T: Truth ความจริง พระองค์ จะใส่ความจริงเข้าไปในใจแทนที่คำโกหกของศัตรู ความจริงทำให้เราทั้งหลายเป็นไท และมีเสรีภาพใหม่📕

🎁ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส 🌈

11 ธันวาคม 2562

ข้อแนะนำสำหรับการพูดถ้อยคำเผยพระวจนะ

ข้อแนะนำจากพระคัมภีร์

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ได้ให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับการเผยพระวจนะไว้หลายด้าน วันนี้ผมจะขอส่องสว่างข้อแนะนำประการหนึ่งที่ปรากฏใน (โรม 12:6)
(โรม 12:6) คือ​ถ้า​ของ​ประ​ทาน​เป็น​การ​เผย​พระ​วจนะ ก็​จง​เผย​ตาม​กำ​ลัง​ของ​ความ​เชื่อ
ข้อพระคัมภีร์นี้ได้ให้ข้อแนะนำว่า เมื่อคนเราจะเผยพระวจนะนั้น ถ้าจะดีก็ควรจะเผยพระวจนะตามกำลังของความเชื่อ แล้วอะไรเล่าคือการเผยพระวจนะตามกำลังของความเชื่อ?

การสำแดงในแต่ละครั้ง มีความมั่นใจไม่เท่ากัน
เวลาที่คนเราจะใช้ของประทานการเผยพระวจนะ ในขั้นแรกคนเราก็จะต้องรับการสำแดงก่อน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า การสำแดงที่มาถึงเราในแต่ละครั้งนั้นความมั่นใจที่เรามีก็แตกต่างกัน บางครั้งเมื่อเราได้รับการสำแดง เราก็มั่นใจมากๆว่าการสำแดงครั้งนี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอนโดยที่ไม่มี “เรา” เจือปน ทว่าก็มีบางครั้งที่เราได้รับการสำแดง แต่เรากลับไม่ค่อยมั่นใจนักว่าการสำแดงนี้ส่งตรงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ บางครั้งเราก็หวาดเสียวว่าการสำแดงที่เรามีนี้น่าจะมีการเจือปนโดยความคิดของเราเอง

เป็นที่แน่นอนว่า การสำแดงที่มาถึงเรานั้น บางครั้งเราก็มั่นใจมากๆว่ามาจากพระเจ้า แต่บางทีเราก็ไม่มั่นใจนัก ดังนั้นเมื่อคนเราจะเผยพระวจนะ การเผยพระวจนะจึงไม่ได้มีเรื่องของการสำแดงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของความมั่นใจที่เรามีในการสำแดงนั้นๆด้วย ทั้งนี้ ความมั่นใจที่เรามีในการสำแดงนั้นมีอีกชื่อหนึ่งก็คือ “ความเชื่อ” เพราะความเชื่อก็คือความมั่นใจชนิดหนึ่ง

ข้อแนะนำจากอัครทูต
อัครทูตเปาโลได้ชี้แนะว่า เมื่อคนเราจะเผยพระวจนะนั้น คนเราควรจะเผยพระวจนะตามกำลังของความเชื่อ ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่ง อัครทูตเปาโลกำลังสื่อสารว่า ถ้าเพื่อนๆจะเผยพระวจนะนั้น เพื่อนๆควรจะเผยพระวจนะตามความมั่นใจที่เพื่อนๆมี
สมมติถ้าเราจะพูดถ้อยคำเผยพระวจนะ แต่ก่อนที่เราจะพูดเรากลับไม่มั่นใจในการสำแดงว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 100% หรือไม่ เวลาที่เราจะพูดถ้อยคำเผยพระวจนะออกมา เราก็สามารถพูดการสำแดงออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจได้ ถ้าเราไม่มั่นใจในการสำแดง เราก็เผยพระวจนะออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจได้ ไม่ต้องเติมแต่งความมั่นใจเข้าไป อนึ่ง ถ้าเรามั่นใจมากๆว่าการสำแดงนี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์แน่นอน เวลาที่เราจะพูดถ้อยคำเผยพระวจนะ เราก็ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ โดยไม่ต้องกลบเกลื่อน

ปัญหาในการเผยพระวจนะ
บางคนที่ไม่เติบโตในการเผยพระวจนะนั้น อาจเป็นเพราะว่า เขาอยากจะมั่นใจในการสำแดงอย่าง 100% ก่อนแล้วถึงจะพูด ซึ่งความคิดแบบนี้ เป็นความคิดที่จะทำให้คนเราไม่เผยพระวจนะออกไปเสียที จากพระคัมภีร์ โค้ชเปาโลไม่ได้สอนว่า เพื่อนๆต้องมั่นใจ 100% ก่อนแล้วจึงพูด แต่โค้ชเปาโลสอนว่า ถ้าเพื่อนๆไม่มั่นใจในการสำแดง เพื่อนๆก็สามารถเผยพระวจนะออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจได้

ข้อแนะนำเมื่อเพื่อนๆไม่มั่นใจ
เวลาที่เพื่อนๆไม่มั่นใจในการสำแดง เวลาที่เพื่อนๆจะเผยพระวจนะ เพื่อนๆก็ไม่ต้องใช้ถ้อยคำว่า “พระเจ้าตรัสว่า…” แต่ให้เพื่อนๆใช้ถ้อยคำประมาณว่า
 “ฉันรู้สึกในฝ่ายวิญญาณว่า....” ,
“ฉันสัมผัสว่าพระเจ้าต้องการสื่อสารประมาณว่า....”

พระคุณแห่งการเผยพระวจนะจงมีแด่เพื่อนๆ

Philip Kavilar

01 ธันวาคม 2562

เคล็ดลับการมองเห็นทูตสวรรค์

ประสบการณ์ใหม่ช่วงต้นปีที่แล้ว
ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว ผมมีประสบการณ์มากขึ้นกับการมองเห็นทูตสวรรค์ จู่ๆผมก็เห็นทูตสวรรค์อยู่บ่อยๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่า ทำไมจู่ๆผมถึงเห็นทูตสวรรค์บ่อยขึ้น


ในระยะแรกที่ผมมองเห็นทูตสวรรค์บ่อยขึ้น ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ยังไงดี


วันเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์มากขึ้น แต่การปฏิสัมพันธ์ที่ผมดำเนินไปนั้น ก็เป็นไปตามประสบการณ์และธรรมชาติของผม ขณะนั้นผมยังไม่มีคู่มือเล่มไหนที่แนะนำเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์

คลังหนังสือเกี่ยวกับทูตสวรรค์
จนกระทั่งเมื่อต้นปีนี้ ผมได้ตัดสินใจค้นหาหนังสือสักเล่มหนึ่ง ที่จะช่วยแนะนำการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์


เมื่อผมลองค้นหาดูจากคลังหนังสือคริสเตียน ผมก็พบว่า หนังสือที่แนะนำเกี่ยวกับทูตสวรรค์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ในแง่สงคราม แต่ผมต้องการการปฏิสัมพันธ์ในแง่ที่เป็นธรรมชาติมากกว่านี้


สุดท้ายผมก็ได้พบเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า "Everyday Angels" ซึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ในเรื่องราวต่างๆของชีวิตประจำวัน

Preview-Everyday Angels
ผมมี Preview ของหนังสือเล่มนี้อยู่ครับ ซึ่งได้ให้ข้อแนะนำเบื้องต้นในการมองเห็นทูตสวรรค์


https://1drv.ms/b/s!AgrY1zlKnuX2jRv81dS4ij8WL3h7 (ลิงค์ดาวน์โหลด Preview)

Blog ของ Kayembe
ใน Blog ของคนเขียนก็ได้แนะนำเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ด้วยครับ ผมคิดว่า Blog นี้ให้คำแนะนำที่ดีทีเดียว


https://www.glorywaves.org/angels-101/ (ลิงค์ของ Blog)

ตอนแรกก็ยังไม่มั่นใจนัก
เมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมก็เริ่มมั่นใจกับการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์มากขึ้นครับ


ทว่าเมื่อผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมก็มีหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียวที่เป็นคู่มือในเรื่องนี้ ทำให้ความมั่นใจของผมยังไม่เข้มข้นนัก

หนังสือเล่มที่สอง
และแล้ว เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมก็ได้สั่งซื้อหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่สอนเกี่ยวกับการเห็นทูตสวรรค์และแนวทางในการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์


หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า Seeing Angels ซึ่งเขียนโดย Joshua Mills
หลังจากที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ของ Joshua Mills จบ ความมั่นใจของผมในการปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ก็เพิ่มพูนมากขึ้นทีเดียว

กรอบความคิดที่นำการทะลุทะลวง

ทั้งนี้กรอบความคิดที่นำการทะลุทะลวงของผมเกี่ยวกับทูตสวรรค์ก็คือ


"ถ้าคนเราสามารถพูดภาษาแปลกๆได้ดั่งใจนึก คนเราก็มองเห็นทูตสวรรค์ได้ดั่งใจนึกเช่นกัน"


กรอบความคิดที่นำการทะลุทะลวงนี้ ผมสรุปเอาจากหนังสือ Everyday Angels กับ Seeing Angels ครับ
วันเวลาที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสอบถามพี่น้องหลายๆท่านในเรื่องประสบการณ์ที่มีต่อทูตสวรรค์ และแล้วผมก็ค้นพบว่า คำตอบที่ผมได้รับนั้นมีอยู่สองทิศทางด้วยกัน

ทิศทางแรก นานๆทีถึงจะเจอทูตสวรรค์
ทิศทางแรกที่ผมได้รับคำตอบก็คือ พี่น้องบางคนไม่ค่อยมีประสบการณ์กับทูตสวรรค์มากนัก บางคนเคยเห็นทูตสวรรค์แค่ครั้งเดียว บางคนก็ไม่เคยเห็นทูตสวรรค์เลย บางคนนานๆทีถึงจะเห็นทูตสวรรค์

ทิศทางที่สอง เห็นทูตสวรรค์อยู่ทุกวัน
ทว่าคำตอบที่ผมได้รับจากพี่น้องอีกส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นไปในอีกทิศทางก็คือ พวกเขาเห็นทูตสวรรค์อยู่ทุกวัน พวกเขาสนทนากับทูตสวรรค์อย่างเป็นปกติในชีวิตประจำวัน พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับทูตสวรรค์ราวกับว่าทูตสวรรค์เป็นเพื่อนที่เขาพบเจออยู่ทุกๆวัน บางคนก็สนทนาและสนิทสนมกับทูตสวรรค์ประจำตัวของเขา

เห็นได้ว่าประสบการณ์ที่มีต่อทูตสวรรค์นั้น ทิศทางทั้งสองต่างกันแบบคนละขั้วเลย ทิศทางแรกก็คือนานๆทีถึงจะเจอกับทูตสวรรค์ แต่อีกทิศทางนึงก็คือการเห็นทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ทำไมพี่น้องบางคนถึงมีประสบการณ์แค่ในทิศทางแรก แล้วทำไมพี่น้องบางคนถึงเห็นทูตสวรรค์ได้ในทุกวัน อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้บางคนมีแค่ทิศทางแรก แล้วอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเราก้าวเข้าสู่ทิศทางที่สอง วันนี้ผมจะมาเฉลยเคล็ดลับสำคัญเกี่ยวกับการมองเห็นทูตสวรรค์

เข้าใจภาษาแปลกๆ
ก่อนที่ผมจะกล่าวถึงเคล็ดลับของการมองเห็นทูตสวรรค์ ผมขอกล่าวเกี่ยวกับภาษาแปลกๆก่อน เพราะถ้าเพื่อนๆเข้าใจในประเด็นเกี่ยวกับภาษาแปลกๆแล้ว เพื่อนๆก็จะพบแสงสว่างในการมองเห็นทูตสวรรค์

ในเรื่องภาษาแปลกๆนั้น ผมได้สอบถามพี่น้องจากหลายๆโบสถ์ว่า แต่ละคนมีประสบการณ์กับภาษาแปลกๆกันอย่างไร และแล้วผมก็พบว่า คำตอบที่ผมได้รับนั้นก็มีอยู่สองแนวทางด้วยกันคือ

แนวทางแรก นานๆทีถึงจะได้พูดภาษาแปลกๆ
คำตอบแนวทางแรกที่ผมได้ยินคือ พี่น้องบางคนนานๆทีถึงจะพูดภาษาแปลกๆ พวกเขาไม่สามารถที่จะริเริ่มพูดภาษาแปลกๆได้เองทั้งๆที่พวกเขาเคยพูดภาษาแปลกๆมาก่อน หรือถ้าพวกเขาจะเริ่มพูดภาษาแปลกๆเองพวกเขาก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจและพูดภาษาแปลกๆได้เมื่อพวกเขาได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในลักษณะที่พิเศษ ซึ่งนานๆทีพวกเขาถึงจะมีประสบการณ์เช่นนี้ 

แนวทางที่สอง พูดภาษาแปลกๆกันอยู่ทุกวัน
ในทางตรงกันข้าม ผมกลับเจอพี่น้องส่วนหนึ่งที่พูดภาษาแปลกๆอยู่ทุกวัน พวกเขาพูดภาษาแปลกๆอย่างปกติในชีวิตประจำวัน พวกเขาจะเริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้ และพวกเขาก็จะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้ พวกเขาไม่ต้องรอให้เกิดการเต็มล้นแบบพิเศษ ด้วยเหตุนี้ ภาษาแปลกๆจึงเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของพวกเขา

เกี่ยวกับลักษณะของโบสถ์
จากสถิติที่ผมรวบรวมมา ผมสังเกตเห็นว่า พี่น้องที่นานๆทีถึงจะพูดภาษาแปลกๆได้นั้นมักจะมีพื้นเพจากโบสถ์สายวิชาการ ทว่าพี่น้องที่พูดภาษาแปลกๆเป็นปกติในชีวิตประจำวันนั้นมักจะมาจากโบสถ์สายฤทธิ์เดช

ความเข้าใจที่แตกต่าง
บางคนต้องรอคอยให้เต็มล้นแบบพิเศษก่อนถึงจะพูดภาษาแปลกๆได้ แต่บางคนก็เริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้อยู่ที่ ความเข้าใจ(Understanding)

ถ้าคนเราเข้าใจว่า การพูดภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์ไม่สามารถริเริ่มเองได้ต้องรอคอยให้พระวิญญาณเคลื่อนเท่านั้น ความเข้าใจแบบนี้ก็จะทำให้คนเรานานๆทีถึงจะพูดภาษาแปลกๆ ทว่าถ้าคนเราเข้าใจว่า คนเราจะริเริ่มพูดภาษาแปลกๆด้วยตนเองเมื่อไรก็ได้ ความเข้าใจเช่นนี้ ก็จะทำให้คนเราพูดภาษาแปลกๆอย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

ความเข้าใจที่คนเรามีต่อภาษาแปลกๆนั้น จะเป็นสิ่งที่กำหนดประสบการณ์ของคนๆนั้นเลยทีเดียว เหตุที่บางคนต้องรอคอยให้เต็มล้นแบบพิเศษแล้วจึงพูดภาษาแปลกๆได้ ก็เป็นเพราะเขาเข้าใจว่าภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์ไม่สามารถริเริ่มเองได้เลย ทว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆได้อย่างเป็นเรื่องปกตินั้น ก็เพราะเขาเข้าใจว่าเขาจะพูดภาษาแปลกๆเองเมื่อไรก็ได้

ความเข้าใจใดที่ถูกต้อง?
ความเข้าใจแรกคือภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์ไม่สามารถริเริ่มเองได้เลย ส่วนความเข้าใจที่สองคือภาษาแปลกๆนั้นมนุษย์สามารถริเริ่มเองได้ ถ้าหากสอบถามผมว่า ผมเห็นด้วยกับความเข้าใจแบบไหน ผมก็ต้องตอบว่าผมเห็นด้วยกับความเข้าใจแบบที่สองมากกว่า ทั้งนี้เมื่อพิจารณาดูจากพระคัมภีร์แล้วผมค้นพบหลักการอย่างหนึ่งก็คือ

(1 โครินธ์ 14:32) วิญ​ญาณ​ของ​พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​นั้น อยู่​ใน​บัง​คับ​พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ

จากข้อพระคัมภีร์นี้อธิบายว่า วิญญาณของผู้เผยพระวจนะนั้นอยู่ในการบังคับของผู้เผยพระวจนะเอง ข้อพระคัมภีร์นี้บอกเป็นนัยว่า เมื่อผู้เผยพระวจนะจะใช้ของประทานของเขานั้น ผู้เผยพระวจนะสามารถควบคุมได้ว่าเขาจะใช้ของประทานเมื่อใดและจะหยุดใช้ของประทานเมื่อใด ดังนั้นถ้าผู้เผยพระวจนะสามารถควบคุมการใช้ของประทานการเผยพระวจนะได้ ผู้เผยพระวจนะก็ควรควบคุมการพูดภาษาแปลกๆของเขาได้ นอกจากนี้บริบทของพระคัมภีร์ใน (1 โครินธ์ 14:14-15) เปาโลได้เขียนราวกับว่า เขาจะพูดภาษาแปลกๆเมื่อใดก็ได้ และเขาจะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อใดก็ได้ จากบริบทโดยรวมของพระคัมภีร์ทำให้ผมมีความคิดเห็นว่า ถ้าผู้ใดสามารถพูดภาษาแปลกๆได้แล้ว ผู้นั้นก็จะพูดภาษาแปลกๆอีกเมื่อใดก็ได้ และจะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้

หลักการสำคัญของภาษาแปลกๆ
หลักการสำคัญเกี่ยวกับภาษาแปลกๆนั้นก็คือว่า ผู้ใดก็ตามถ้าของประทานแห่งภาษาแปลกๆได้ “ตื่น” ขึ้นมาในผู้นั้นแล้ว ผู้นั้นก็จะเริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้และจะหยุดพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรก็ได้

เอาล่ะ ผมได้ชี้แจงถึงหลักการสำคัญของภาษาแปลกๆแล้ว ต่อไปนี้ผมก็ขอส่องสว่างเกี่ยวกับหลักการสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์

หลักการสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์
ในพระคัมภีร์ได้อธิบายว่า ภาษาแปลกๆถือเป็นของประทานอย่างหนึ่ง (ดู 1 โครินธ์ 12:10) และตามที่ผมได้ชี้แจงไว้ ถ้าของประทานแห่งภาษาแปลกๆของผู้ใดได้ “ตื่น” ขึ้นมาแล้ว ผู้นั้นก็สามารถเริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อใดก็ได้และจะหยุดพูดเมื่อใดก็ได้

การมองเห็นทูตสวรรค์ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งในของประทานการเผยพระวจนะ และในทำนองเดียวกับของประทานแห่งภาษาแปลกๆ ถ้าของประทานด้านการมองเห็นทูตสวรรค์ของผู้ใดได้ “ตื่น” ขึ้นมาแล้ว ผู้นั้นก็สามารถมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้ และจะหยุดมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้

ใช่แล้วครับ หลักการสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์ก็คือ ถ้าของประทานด้านนี้ของเพื่อนๆได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เพื่อนๆจะมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้ และจะหยุดมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้

เมื่อของประทานแห่งภาษาแปลกๆของผู้ใดได้ตื่นขึ้น ผู้นั้นก็ได้รับลิ้นฝ่ายวิญญาณ และผู้นั้นจะใช้ลิ้นฝ่ายวิญญาณเมื่อใดก็ได้ และจะหยุดใช้ลิ้นฝ่ายวิญญาณเมื่อไรก็ได้ ในทำนองเดียวกัน เมื่อของประทานแห่งการมองเห็นทูตสวรรค์ได้ตื่นขึ้น ผู้นั้นก็ได้รับดวงตาฝ่ายวิญญาณ และผู้นั้นก็จะลืมตาฝ่ายวิญญาณเพื่อมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้ และจะหลับตาฝ่ายวิญญาณเมื่อไรก็ได้

ความเข้าใจส่งผลต่อประสบการณ์
ความเข้าใจที่ว่า “การมองเห็นทูตสวรรค์ต้องรอคอยให้พระวิญญาณเปิดตา มนุษย์ไม่สามารถเปิดตาได้เอง” ความเข้าใจแบบนี้จะทำให้คนเรานานๆทีถึงจะเจอทูตสวรรค์ อนึ่ง ถ้าคนเราเข้าใจว่า “มนุษย์สามารถมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้” คนเราก็จะพบเจอทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติ

เคล็ดลับสำคัญของการมองเห็นทูตสวรรค์
เคล็ดลับสำคัญที่ทำให้คนเราเห็นทูตสวรรค์ได้อย่างง่ายดายก็คือ
ภาษาแปลกๆนั้นคนเราจะเริ่มพูดเมื่อไรก็ได้และจะหยุดพูดเมื่อไรก็ได้ การมองเห็นทูตสวรรค์ก็เช่นกัน คนเราก็มองเห็นทูตสวรรค์เมื่อไรก็ได้และจะหยุดมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อไรก็ได้

ประสบการณ์ของคนเรา
คนที่นานๆทีถึงจะได้เจอทูตสวรรค์นั้นเป็นเพราะเขาเข้าใจว่าเขาไม่สามารถเริ่มมองเห็นทูตสวรรค์ได้ด้วยตัวเอง แต่คนที่พบเจอทูตสวรรค์และสนทนากับทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันได้นั้นก็เป็นเพราะเขาเข้าใจว่าเขาสามารถมองเห็นทูตสวรรค์เมื่อใดก็ได้

เรื่องน่าเสียดาย
บางคนของประทานแห่งการมองเห็นทูตสวรรค์ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว บางคนเคยมองเห็นทูตสวรรค์มาก่อน แต่ด้วยความเข้าใจที่ว่า “ผู้เชื่อไม่สามารถริเริ่มเห็นทูตสวรรค์ได้ด้วยตัวเอง” พวกเขาจึงไม่ค่อยได้เห็นทูตสวรรค์ทั้งๆที่ความจริงแล้วพวกเขาสามารถเห็นได้ในทุกวัน นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย วันนี้จึงเป็นวันที่คนเราจะเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ และคนเราก็จะมองเห็นทูตสวรรค์และสนทนากับทูตสวรรค์อย่างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน อาเมน

การมองเห็นทูตสวรรค์จงตื่นขึ้นท่ามกลางเพื่อนๆเถิด อาเมน
 Philip Kavilar

หนังสือแนะนำเพิ่มเติม
Everyday Angels โดย Charity Virkler Kayembe, Joe Brock
Seeing Angels โดย Joshua Mills

Philip Kavilar นักวิชาการด้านฟิสิกส์ ผู้ศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานอดิเรก เป็นผู้ที่มีของประทานด้านวิชาการและการเผยพระวจนะผสมผสานกัน  ท่านมีความปรารถนาที่จะเห็นการร่วมประสานกันระหว่างพี่น้องในสายวิชาการกับพี่น้องในสายฤทธิ์เดช และหนุนใจให้คริสตจักรขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะและการแปลภาษาแปลกๆ

คำอธิษฐานประจำเดือนคิสเลฟ 5780

Chodesh Tov สุขสันต์สำหรับการเริ่มต้นใหม่ในเดือนคิสเลฟ (Kislev כִּסְלֵו) ปี 5780 (ช่วงวันที่ 29 พฤศจิกายน -28 ธันวาคม 2019)🌙
🌈 คิสเลฟ (Kislev)เป็นเดือนที่ 9 ตามปฏิทินศาสนาและเป็นเดือนที่ 3 ปฏิทินการปกครองของอิสราเอล
🕎 เทศกาลสำคัญในเดือนนี้คือ เทศกาลแห่งแสงสว่าง หรือ ฮานุกกะห์(Hanukkah) เป็นเวลา 8 วันช่วงวันที่ 25 คิสเลฟ-2 เทเบท (ปี 5780 จะอยู่ในช่วงวันที่ 23 -30 ธันวาคม 2019)
🕍 เทศกาลนี้เรียกอีกชื่อว่า “เทศกาลฉลองพระวิหาร” เป็นการระลึกถึงการชำระพระวิหารให้พ้นจากมลทินจากการถูกชนชาติกรีกนำไปใช้เพื่อถวายเครื่องบูชาแก่รูปเคารพ(ยอห์น 10:22)
✝️ เทศกาลนี้เป็นภาพเงาเล็งถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงเป็นความสว่างที่เข้ามาในโลกและมีชัยชนะเหนือความมืด (ยอห์น 1:4-5)
เช่นเดียวกับเทศกาลคริสต์มาส(วันที่ 25ธันวาคม) ที่คนทั่วโลกฉลอง ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์(ยอห์น 3:16) พระองค์ทรงเป็นของขวัญที่แท้จริงในเทศกาลนี้

🌈เดือนนี้ให้เราอธิษฐานป่าวประกาศถ้อยคำอธิษฐานอวยพระพรประจำเดือนคิสเลฟ (Kislev)ดังนี้

1. เดือนแห่งความสว่าง 🕎
อธิษฐานป่าวประกาศตามพระวจนะ
📕ยอห์น 1:5 ​ความ​สว่าง​ส่อง​เข้า​มา​ใน​ความ​มืด และ​ความ​มืด​ไม่​อาจ​เอาชนะ​ความ​สว่าง​ได้
เดือนนี้จึงเป็นเดือนแห่งความสว่าง พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแสงสว่างของโลก(ยอห์น 8:12) และเราทั้งหลายเป็นลูกของความสว่างที่ต้องออกไปสำแดงชีวิตเพื่อนำพระคุณ ความรักของพระเยซูไปสู่โลกนี้(โรม 13:11-14)

2. เดือนแห่งการพัฒนายุทธศาสตร์ 🏹
อธิษฐานป่าวประกาศตามพระวจนะ
📕 อิสยาห์ 49:2 ​พระ​องค์​ทรง​ทำ​ปาก​ของ​ข้าพเจ้า​เหมือน​ดาบ​คม ​พระ​องค์​ทรง​ซ่อน​ข้าพเจ้า​ไว้​ใน​ร่ม​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์ ​พระ​องค์​ทรง​ทำ​ข้าพเจ้า​ให้​เป็น​ลูกศร​ขัด​มัน ​พระ​องค์​ทรง​ซ่อน​ข้าพเจ้า​ไว้​เสีย​ใน​แล่ง​ของ​พระ​องค์
เดือนนี้เป็นเดือนที่เราจะรับการสำแดงเชิงเผยพระวจนะเพื่อรับยุทธศาสตร์ต่างๆ เผ่าเบนยามินเชี่ยวชาญในการยิงธนู (การยิงธนูเล็งถึงยุทธศาสตร์ด้านการกล่าวถ้อยคำแห่งความจริง) ดังนั้นเราถูกขัดเกลาจากพระองค์เพื่อเราจะปลดปล่อยถ้อยคำเผยพระวจนะเพื่อทำลายศัตรูและพุ่งไปสู่เป้าหมาย

3. เดือนแห่งการค้นพบอัตลักษณ์ที่แท้จริง❤️
อธิษฐานป่าวประกาศตามพระวจนะ
📕เอเฟซัส 1:5 ​พระ​องค์​ทรง​กำหนด​เรา​ไว้​ด้วย​ความ​รัก​ก่อน​ตาม​ที่​ชอบ​พระ​ทัย​พระ​องค์ ให้​เป็น​บุตร​โดย​พระ​เยซู​คริสต์​
🕎เดือนนี้เป็นเดือนแห่งเผ่าเบนยามินที่ได้ค้นพบค้นพบอัตลักษณ์ที่แท้จริงของตน
แม้ว่านางราเชลตั้งชื่อเขาว่าเบนโอนี หมายถึง "บุตรแห่งความทุกข์ระทม"
แต่ยาโคบรู้ว่านั่นไม่ได้เป็นตัวตนของเขา ท่านจึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า เบนยามิน หมายถึง "บุตรชายแห่งมือขวา" และเผ่านี้เป็นเผ่าแห่งนักรบที่ยิ่งใหญ่ตามเป้าประสงค์(ปฐมกาล35:16-21)

4. เดือนแห่งความฝัน 🌙
อธิษฐานป่าวประกาศตามพระวจนะ
📕กันดารวิถี 12:6 ​พระ​องค์​ตรัส​ว่า “จง​ฟัง​ถ้อยคำ​ของ​เรา ถ้า​จะ​มี​ผู้เผย​พระ​วจนะ​ท่ามกลาง​เจ้า​ทั้ง​หลาย เรา​พระ​เจ้า​จะ​สำแดง​ตัว​แก่​ผู้​นั้น​เป็น​นิมิต เรา​จะ​พูด​กับ​เขา​ทาง​ฝัน

เดือนนี้เป็นเดือนที่เราจะฝันไปกับพระเจ้าและรับการสำแดงจากพระองค์ จงอธิษฐานขอพระองค์ทรงประทานความเข้าใจในการตีความหมายของความฝันให้กับเรา ความฝันบางอย่างนั้นเพียงความทรงจำในบางสิ่ง ถ้าเราเคยประสบสิ่งนี้
จงทูลต่อพระองค์ให้เยียวยาจากบาดแผลนั้น แล้วพระองค์จะทรงกระทำให้เราหลับสบาย (สดุดี 127:2)