25 สิงหาคม 2560

กรอบความคิดแบบฮีบรู #1

บทความเรื่อง "กรอบความคิดแบบฮีบรู" #1 โดย Philip Kavilar (Haiyong)

ชาโลมครับเพื่อนๆ

ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องหนึ่งที่ได้เปลี่ยนความคิดผมไปมากและเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆฟัง ก็คือเรื่องกรอบความคิดแบบฮีบรู (Hebrew Mindset) เราทุกคนที่เป็นชาวต่างชาติมักจะได้รับอิทธิพลจากกรอบความคิดแบบกรีก (Greek Mindset) มาอย่างไม่รู้ตัว มีเพียงชนชาติอิสราเอลที่ถูกปลูกฝังกรอบความคิดแบบฮีบรู ด้วยกรอบความคิดแบบฮีบรูนี่เองที่ทำให้ชาวยิวมีอิทธิพลต่อโลกในหลายด้าน

กรอบความคิดแบบกรีกได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญาของเพลโต ที่แยกโลกฝ่ายวิญญาณกับโลกฝ่ายกายภาพออกจากกัน กรอบความคิดแบบกรีกมองว่าโลกฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แต่โลกฝ่ายกายภาพเป็นสิ่งมลทิน ด้วยกรอบความคิดนี้ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่าฝ่ายวิญญาณ เช่น การอธิษฐาน การนมัสการ และการมาคริสตจักร เป็นสิ่งบริสุทธิ์ ส่วนฝ่ายกายภาพ เช่น การทำงานอาชีพ การกินอาหาร และการใช้เงิน เป็นสิ่งมลทิน กรอบความคิดแบบกรีกนี้สะท้อนอยู่ในหลายๆศาสนาที่มักจะพาให้ผู้คนออกจากโลก(ฝ่ายกายภาพ) เพื่อให้ใส่ใจแต่ทางธรรม(ฝ่ายวิญญาณ)อย่างเดียว กรอบความคิดแบบกรีกนี้ยังมีผลต่อศาสนาคริสต์ด้วย ทำให้ชาวคริสต์บางท่านใส่ใจแต่ชีวิตการอธิษฐานและการมาคริสตจักร ส่วนชีวิตการทำงานกลับละเลยและไม่กล้าที่จะมีความสุขกับสิ่งของทางกายภาพที่พระเจ้าทรงสร้างมา

กรอบความคิดแบบฮีบรูมองว่าโลกฝ่ายกายภาพกับโลกฝ่ายวิญญาณนั้นเชื่อมติดกันและแยกกันไม่ออก กรอบความคิดแบบฮีบรูมองว่าโลกฝ่ายวิญญาณและโลกฝ่ายกายภาพเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ทั้งคู่ กรอบความคิดแบบฮีบรูมองว่าโลกฝ่ายกายภาพเป็นการทรงสร้างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า โลกฝ่ายกายภาพจึงเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ในสายตาของพระเจ้า ดังนั้นในกรอบความคิดแบบฮีบรู การทำงานอาชีพ การกินอาหาร และการใช้เงิน ไม่ได้เป็นสิ่งมลทินแต่ประการใด สิ่งเหล่านี้ก็บริสุทธิ์พอๆกับการอธิษฐาน การนมัสการ และการมาคริสตจักร แท้จริงแล้วรากศัพท์คำหนึ่งของคำว่า นมัสการ ในภาษาฮีบรูยังหมายถึง การทำงาน ด้วย ดังนั้นกรอบความคิดแบบฮีบรูจึงมองว่าการทำงานอาชีพเป็นสิ่งบริสุทธิ์และเป็นการนมัสการพระเจ้า

ด้วยกรอบความคิดแบบฮีบรูที่มองว่าโลกฝ่ายกายภาพกับโลกฝ่ายวิญญาณเชื่อมติดกัน โลกฝ่ายกายภาพจึงสะท้อนถึงสิ่งต่างๆในโลกฝ่ายวิญญาณ  เช่น สถาบันครอบครัวถูกสร้างมาเพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตร น้ำถูกสร้างมาเพื่อสะท้อนว่าพระคริสต์ทรงเป็นการชำระและการดับกระหาย แผ่นดินถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนว่าพระคริสต์ทรงเป็นฐานที่มั่นของสิ่งต่างๆ แท้จริงแล้วสรรพสิ่งในโลกกายภาพล้วนสะท้อนถึงพระคริสต์ทั้งนั้น เช่น อาหารสะท้อนถึงพระคริสต์ทรงเป็นอาหารแท้ แสงสว่างสะท้อนถึงพระคริสต์ทรงเป็นความสว่างแท้ บ้านที่เราอาศัยก็สะท้อนถึงพระคริสต์ทรงเป็นที่พักอาศัยแท้ของเรา สีต่างๆในโลกฝ่ายกายภาพก็สะท้อนถึงพระคริสต์ เช่น สีแดงเล็งถึงพระโลหิตของพระคริสต์ สีทองเล็งถึงพระสิริของพระคริสต์ สีฟ้าเล็งถึงพระคริสต์ทรงเป็นสิ่งของฝ่ายสวรรค์ สรุปได้ว่าสรรพสิ่งถูกสร้างโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ นี้แหละคือพระปัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เนรมิตสร้างสรรพสิ่งโดยมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง

(โคโลสี 1:16) เพราะ​ว่า​โดย​พระ​องค์[พระคริสต์]​ทุก​สิ่ง​ได้​รับ​การ​ทรง​สร้าง​ขึ้น ทั้ง​สิ่ง​ที่​อยู่​บน​ท้อง​ฟ้า​และ​บน​แผ่น​ดิน​โลก ทั้ง​สิ่ง​ที่​มอง​เห็น​และ​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น…  ทุก​สิ่ง​ถูก​สร้าง​ขึ้น​โดย​พระ​องค์[พระคริสต์]​​และ​เพื่อ​พระ​องค์[พระคริสต์]


พ่อผู้ที่เป็นบิดาฝ่ายกายภาพเป็นแบบเล็งของพระเจ้าที่เป็นพระบิดาฝ่ายวิญญาณ



อาหารฝ่ายกายภาพที่เรากินก็เป็นแบบเล็งของพระคริสต์ที่เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ

 
แม้แต่บ้านฝ่ายกายภาพก็เป็นแบบเล็งของพระคริสต์ที่เป็นบ้านและที่พักฝ่ายวิญญาณ


สรุป
โลกฝ่ายกายภาพกับโลกฝ่ายวิญญาณไม่ได้แยกจากกันตามกรอบความคิดแบบกรีก แต่โลกฝ่ายกายภาพกับโลกฝ่ายวิญญาณพัวพันกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน สรรพสิ่งในโลกฝ่ายกายภาพไม่ได้เป็นสิ่งมลทิน แต่สะท้อนถึงหลักความจริงหลายๆอย่างในฝ่ายวิญญาณด้วย

ขอขอบคุณ

คุณ Munin สำหรับการวาดรูปประกอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น