วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี
เป็นอีกหนึ่งวันที่ชาวไทยให้ความสำคัญของวันนี้ เพราะเป็นวันแม่แห่งชาติ
เพราะวันนี้เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นวันที่ลูกๆจะได้แสดงความเคารพต่อแม่ของแผ่นดิน
และแม่ผู้ให้กำเนิด
ในปี พ.ศ.2560 ปีนี้เป็นปีพิเศษ
เนื่องด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมายุ 85 พรรษา เราทั้งหลายที่เป็นพสกนิกรชาวไทยขอร่วมใจน้อมเกล้าฯ
ถวายสดุดีแด่พระมิ่งแม่ของแผ่นดิน ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
สำหรับคำขวัญวันแม่ ปี 2560 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2560 เพื่ออัญเชิญลงหนังสือวันแม่แห่งชาติ
ปี 2560 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ความว่า
“สอนให้ลูก เรียนรู้ สู้ปัญหา
พัฒนา
ด้วยตน จนเติบใหญ่
เพราะคนแกร่ง
จะก้าว ได้ยาวไกล
เพื่อมาเป็น
กำลังไทย ให้แข็งแรง”
เมื่อเราได้อ่านคำขวัญวันแม่ปีนี้
ใจความสำคัญคือ แม่ได้บอกกับเราให้เป็น "คนแกร่ง"ไม่ใช่เพียงแค่เป็น "คนเก่ง" คนที่เก่งจะเก่งในการเรียนแต่คนที่แกร่งสามารถเรียนรู้เพื่อสู้ปัญหาและเป็นกำลังที่ทำให้ประเทศไทยแข็งแรง
เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าในสังคมปัจจุบันยุคนี้
เราต้องเผชิญปัญหาต่างๆมากมาย ทั้งปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ คนที่แข็งแกร่งจะฟันผ่าอุปสรรคไปได้
ไม่ใช่เพียงช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น
ยังต้องเป็นกำลังใจเพื่อทำให้คนอื่นแข็งแรงได้ด้วย
สำหรับความคิดของผมแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่แม่จะบอกกับเราว่า "ให้เราเป็นคนแกร่ง" เพราะปีนี้ต่างจากปีก่อนๆ เพราะปีนี้ "พ่อไม่อยู่แล้ว" แม่ต้องสร้างกำลังใจให้กับตนเอง แม้อายุของแม่จะ “แก่ลง” แต่หัวใจของแม่ “แกร่ง”เพิ่มขึ้น เพื่อเป็น “กำลังใจ” ให้ลูกๆทุกคนเป็น “กำลังไทย” ที่จะก้าวได้ยาวไกลในอนาคต
สำหรับความคิดของผมแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่แม่จะบอกกับเราว่า "ให้เราเป็นคนแกร่ง" เพราะปีนี้ต่างจากปีก่อนๆ เพราะปีนี้ "พ่อไม่อยู่แล้ว" แม่ต้องสร้างกำลังใจให้กับตนเอง แม้อายุของแม่จะ “แก่ลง” แต่หัวใจของแม่ “แกร่ง”เพิ่มขึ้น เพื่อเป็น “กำลังใจ” ให้ลูกๆทุกคนเป็น “กำลังไทย” ที่จะก้าวได้ยาวไกลในอนาคต
แม้ว่าพ่อจะไม่อยู่แล้ว แต่คำที่พ่อสอนยังอยู่ใจของเราเสมอ ขอเพียงให้จิตใจเราแข็งแกร่ง เชื่อว่าเราดำเนินชีวิตต่อไป
เพื่อสานต่อสิ่งดีที่พ่อทำ ในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
"แม่" ในยุคปัจจุบันนี้แตกต่างไปจากยุคสมัยก่อนๆมาก เพราะในสมัยก่อนผู้หญิงที่เป็นคุณแม่ จะทำหน้าที่เป็น "แม่บ้าน" จะอยู่กับเหย้าเฝ้าเรือน เป็นแม่ศรีเรือน แต่สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมันแตกต่างไปอย่างมาก
แม่บ้านจำเป็นต้องออกจากบ้านเพื่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แม่บ้านอยู่บ้านเฉยๆคงทำไม่ได้ แม่บ้านหลายท่านแปรฝันหันมาเป็น "แม้ค้าออนไลน์" ขายของอยู่หน้าสื่อออนไลน์
"แม่" ในยุคปัจจุบันนี้แตกต่างไปจากยุคสมัยก่อนๆมาก เพราะในสมัยก่อนผู้หญิงที่เป็นคุณแม่ จะทำหน้าที่เป็น "แม่บ้าน" จะอยู่กับเหย้าเฝ้าเรือน เป็นแม่ศรีเรือน แต่สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมันแตกต่างไปอย่างมาก
แม่บ้านจำเป็นต้องออกจากบ้านเพื่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แม่บ้านอยู่บ้านเฉยๆคงทำไม่ได้ แม่บ้านหลายท่านแปรฝันหันมาเป็น "แม้ค้าออนไลน์" ขายของอยู่หน้าสื่อออนไลน์
ยุคนี้เป็นยุคดิจิตัล 4.0 "มนุษย์แม่ต้องสตรอง(Strong)"อย่างสเตเปิล(Stable) แข็งแกร่งอย่างมีสเถียรภาพ นั่นคือ สามารถปรับตัวเข้ากับยุคและอดทนทำงานหนัก จากอยู่บ้านทำงานบ้านต้องออกไปทำงาน หรือ เป็นแม่ค้าออนไลน์ เพื่อหาเงินมาดูแลคนในครอบครัว
“มนุษย์แม่ต้องสตรอง" แม่ต้องแกร่ง ไม่แกว่งตามสภาวะการณ์
คำว่า "สตรอง"(Strong) คือ การครองสติ เพราะสติทำให้ปัญหาเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก แต่อคติเรื่องเล็กกลายเป็นปัญหาใหญ่
ผมขอชื่นชมในหัวใจที่แกร่งของพวกเธอ ผู้ที่เป็น "มนุษย์แม่" ในปัจจุบัน พวกเธออดทนและทนอดในทุกสถานการณ์ ทนยิ่งกว่าสีทนได้ ทำงานหนักวนไป ไม่เคยเกี่ยง การดูแลตนเองก็ดูแลให้ตัวเองดูดีเสมอ จะได้เฉิดฉายออร่า เป็นซุป'ตาร์ตัวแม่ กับคนอื่นเค้าบ้าง เพราะรูปร่าง หน้าตาเป็นจุดขายสินค้า จะปล่อยให้ขายหน้าได้อย่างไร
นี่แหละครับ คุณแม่จึงเป็น "Supermom" ทำได้ทุกสิ่งเพื่อลูกและครอบครัว
ปัญหาสังคมในปัจจุบัน คือ "การหย่าร้าง" มีมากขึ้น และเราจะเห็นว่ามีคุณแม่ที่ต้องรับภาระในการเลี้ยงลูกคนเดียว ที่เรียกว่า "Single mom"มีมากขึ้นด้วย คุณแม่เหล่านี้มีความมั่นใจและเด็ดเดี่ยว เป็นสาวมั่น สายมั่นคง ไม่ง้อผู้ชาย เธอสตรองอย่างแข็งแกร่งไม่แกว่งในสภาวการณ์ต่างๆ
(ผมได้เขียนบทความวันแม่ไปหลายบทความ เพื่อนผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านได้ตาม Link นี้นะครับ รวมรวมบทความ "วันแม่" )
สำหรับบทความในครั้งนี้
ผมขอนำเสนอเรื่องราวความรักของแม่จากบุคคลที่ถูกบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์
บทความครั้งนี้ ขอนำเสนอมุมมองข้อคิดของบุคคลที่เป็น "Single mom" คุณแม่ที่ต้องรับภาระในการเลี้ยงลูกเพียงลำพัง เนื่องจากสามีตายไปและถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย ด้วยความรักแท้ แม้สถานการณ์เป็นอย่างไร แม่ก็คือแม่ดูแลลูกอย่างดีเสมอ ตัวอย่างจากคุณแม่เหล่านี้
บทความครั้งนี้ ขอนำเสนอมุมมองข้อคิดของบุคคลที่เป็น "Single mom" คุณแม่ที่ต้องรับภาระในการเลี้ยงลูกเพียงลำพัง เนื่องจากสามีตายไปและถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย ด้วยความรักแท้ แม้สถานการณ์เป็นอย่างไร แม่ก็คือแม่ดูแลลูกอย่างดีเสมอ ตัวอย่างจากคุณแม่เหล่านี้
นางฮาการ์ ความรักแท้ แม้ยามยากลำบาก
นางฮาการ์(Hagar)
ผู้เป็นภรรยาของอับราฮัม หรือ อับราม ซึ่งเป็นสาวใช้ของนางซาราห์
หรือ ซาราย ภรรยาหลวงของอับราฮัม เรื่องราวของเธอถูกบันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาล บทที่
16:1-16,บทที่ 21:1-21
นางซาราห์ เธอไม่มีบุตรให้อับราฮัม
เนื่องจากเธอเป็นหมัน นางจึงได้ยกสาวใช้ของเธอคือนางฮาการ์ให้เป็นภรรยาอีกคนของอับราฮัม จนนางฮาการ์ตั้งครรภ์ คลอดบุตร
เมื่อเด็กคลอดออกมากลับกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งในครอบครัวระหว่างนางซาราห์กับฮาการ์
ทำให้นางฮาการ์ถูกเคี่ยวเข็ญอย่างหนักจนต้องหนีไป (ปฐมกาล 16:1-6)
เมื่อนางฮาการ์พาลูกน้อยหนีไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เธอต้องเผชิญการการถูกปฏิเสธ ความยากลำบากและขัดสน แต่พระยาห์เวห์ทรงให้ทูตสวรรค์มาสำแดงตนและหนุนใจให้นางฮาการ์กลับมาอยู่กับนางซาราห์ตามเดิม(ปฐมกาล 16:7-16)
…9
ทูตของพระยาห์เวห์จึงกล่าวว่า “กลับไปหานายผู้หญิงของเจ้า
และยอมอยู่ใต้บังคับนางเถิด”…
11
ทูตของพระยาห์เวห์กล่าวแก่นางอีกว่า “นี่แน่ะ เจ้ามีครรภ์แล้ว
จะคลอดบุตรชาย และจะตั้งชื่อบุตรนั้นว่าอิชมาเอล
เพราะพระยาห์เวห์ทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า
13
นางฮาการ์จึงเรียกพระนามพระยาห์เวห์ผู้ตรัสแก่นางว่า
“พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า”…
นางฮาการ์ตั้งชื่อบุตรชายของเธอว่า “อิชมาเอล” แปลว่า “พระเจ้าทรงฟัง” เพราะพระยาห์เวห์ทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเธอ
เมื่อนางฮาการ์กลับมาเธอได้รับการต้อนรับ ดูเหมือนเรื่องราวจะจบลงด้วยดี แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ความขัดแย้งระหว่างเมียหลวง VS เมียน้อย มีภาคที่ 2
เมื่อนางซาราห์คลอดบุตรตามพระสัญญาของพระยาห์เวห์ เธอตั้งชื่อว่า “อิสอัค” นางซาราห์ไม่ยอมรับอิชมาเอล ลูกของนางฮาการ์ เพราะกลัวจะมาแย่งมรดก นางจึงขับไล่ทั้งแม่และลูกออกจากบ้าน ไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
นางฮาการ์ตั้งชื่อบุตรชายของเธอว่า “อิชมาเอล” แปลว่า “พระเจ้าทรงฟัง” เพราะพระยาห์เวห์ทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเธอ
เมื่อนางฮาการ์กลับมาเธอได้รับการต้อนรับ ดูเหมือนเรื่องราวจะจบลงด้วยดี แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ความขัดแย้งระหว่างเมียหลวง VS เมียน้อย มีภาคที่ 2
เมื่อนางซาราห์คลอดบุตรตามพระสัญญาของพระยาห์เวห์ เธอตั้งชื่อว่า “อิสอัค” นางซาราห์ไม่ยอมรับอิชมาเอล ลูกของนางฮาการ์ เพราะกลัวจะมาแย่งมรดก นางจึงขับไล่ทั้งแม่และลูกออกจากบ้าน ไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ปฐมกาล
21:9-14
9 แต่ซาราห์เห็นบุตรชายของฮาการ์คนอียิปต์ซึ่งนางคลอดให้อับราฮัม กำลังเล่นอยู่กับอิสอัคบุตรชาย
10 นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสหญิงคนนี้กับบุตรชายของนางไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรชายของทาสหญิงคนนี้จะเป็นผู้รับมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรชายของฉันไม่ได้”…
14 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ให้ขนมปังและน้ำหนึ่งถุงหนังแก่ฮาการ์ ใส่บ่าให้นางพร้อมกับเด็กนั้นแล้วให้ออกจากบ้านไป นางก็จากไปและพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เชบา
10 นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสหญิงคนนี้กับบุตรชายของนางไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรชายของทาสหญิงคนนี้จะเป็นผู้รับมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรชายของฉันไม่ได้”…
14 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ให้ขนมปังและน้ำหนึ่งถุงหนังแก่ฮาการ์ ใส่บ่าให้นางพร้อมกับเด็กนั้นแล้วให้ออกจากบ้านไป นางก็จากไปและพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เชบา
สิ่งที่เกิดขึ้นกับนางฮาการ์
เราได้เห็นความรักแท้แม้ในยามยากลำบากของผู้เป็นแม่ เธอต้องเลี้ยงลูกตามลำพังในถิ่นทุรกันดาร
องค์พระเจ้าทรงช่วยเหลือเธออีกครั้ง ให้เธอและลูกของเธอรอดพ้นจากความตาย
เราได้เห็นความรักแท้ที่นางฮาการ์ไม่ยอมแพ้ ความยากลำบาก เธอดูแลลูกด้วยใจมั่นคง และมองไปยังอนาคตของลูกตามที่พระเจ้าทรงนำ ต่อมาเธอได้จัดหาภรรยาให้อิชมาเอล และเชื้อสายของอิชมาเอลกลายเป็นชนชาติใหญ่อีกชนชาติหนึ่งควบคู่กับอิสราเอล
เราได้เห็นความรักแท้ที่นางฮาการ์ไม่ยอมแพ้ ความยากลำบาก เธอดูแลลูกด้วยใจมั่นคง และมองไปยังอนาคตของลูกตามที่พระเจ้าทรงนำ ต่อมาเธอได้จัดหาภรรยาให้อิชมาเอล และเชื้อสายของอิชมาเอลกลายเป็นชนชาติใหญ่อีกชนชาติหนึ่งควบคู่กับอิสราเอล
ปฐมกาล
21:15-21
15 เมื่อน้ำในถุงหนังนั้นหมดแล้วนางก็วางเด็กนั้นไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง
15 เมื่อน้ำในถุงหนังนั้นหมดแล้วนางก็วางเด็กนั้นไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง
16 แล้วนางก็ไปนั่งอยู่ห่างออกไป ประมาณเท่ากับระยะลูกธนูตก เพราะนางพูดว่า “อย่าให้ข้าเห็นความตายของลูกเลย” ขณะที่นางนั่งอยู่แต่ไกล เด็กนั้นก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้…
17 พระเจ้าทรงสดับเสียงร้องของเด็กนั้น และทูตของพระเจ้าจึงเรียกฮาการ์จากฟ้า กล่าวกับนางว่า “ฮาการ์ เจ้าเป็นอะไรไป อย่ากลัวเลยเพราะว่าพระเจ้าทรงสดับเสียงของเด็ก ณ ที่ที่เขาอยู่นั้นแล้ว
18 ลุกขึ้นอุ้มเด็กนั้น เอามือจับเขาไว้ให้แน่น เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง”
19 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาของนาง นางก็เห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง จึงไปเติมน้ำเต็มถุงหนัง และให้เด็กนั้นดื่ม
20 พระเจ้าทรงสถิตกับเด็กนั้น เขาเติบโตขึ้น อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเป็นนักธนู
21 เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราน มารดาก็หาภรรยาคนหนึ่งจากประเทศอียิปต์ให้เขา
นางโยเคเบด ความรักแท้ แม้ต้องยอมเสี่ยงตายช่วยชีวิตลูก
นางโยเคเบด ความรักแท้ แม้ต้องยอมเสี่ยงตายช่วยชีวิตลูก
อพย. 6:20 ส่วนอัมรามได้โยเคเบด น้องบิดาของตนเป็นภรรยา แล้วนางให้กำเนิดบุตรแก่เขาชื่อ อาโรนและโมเสส
อัมรามมีอายุได้ 137 ปี
โยเคเบด(Jochebed) ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นกัน แต่นางเป็นแม่ของ"โมเสส" ซึ่งนางไม่สามารถเปิดเผยตัวตนว่านางเป็นแม่ของโมเสสได้ เพราะการเปิดเผยตัวตนในเวลานั้นอาจจะถึงแก่ความตาย แต่นางทำหน้าที่ของความเป็นความเป็นแม่อย่างดี จากพระธรรมอพยพ บทที่ 2:1-10
เมื่อนางโยเคเบดให้กำเนิดโมเสส ฟาโรห์แห่งอียิปต์ได้กำหนดกฎในการฆ่าเด็กทารกเพศชายชาวฮีบรู เด็กทารกชาวฮีบรูถูกนำไปทิ้งลงแม่น้ำไนล์ เมื่อโมเสสเกิดมา นางโยเคเบดไม่เชื่อฟังคำสั่งของกษัตริย์ซึ่งเป็นการเสี่ยงว่าจะต้องโทษถึงตายโดยซ่อนบุตรชายของเธอไว้ 3 เดือน แต่โมเสสเติบโตอย่างรวดเร็วเธอจึงไม่สามารถซ่อนเขาไว้ได้อีก
โยเคเบดจึงวางตะกร้าที่ใส่โมเสสไว้แล้วปล่อยลงสู่แม่น้ำไนล์ เธอให้มิเรียมพี่สาวของโมเสสเป็นผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆพอที่จะซ่อนตัวได้ แต่ก็ให้ใกล้พอที่จะเห็นว่าอะไรได้เกิดขึ้น
เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์เห็นโมเสสที่อยู่ในตระกล้าลอยน้ำ พระองค์ทรงสงสารและประสงค์ให้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้ยงในพระราชวัง โยเคเบดจึงยอมเสี่ยงตายเปิดเผยตนและอาสาตัวเป็นแม่เลี้ยง
อพยพ 2:3-7
โยเคเบดจึงวางตะกร้าที่ใส่โมเสสไว้แล้วปล่อยลงสู่แม่น้ำไนล์ เธอให้มิเรียมพี่สาวของโมเสสเป็นผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆพอที่จะซ่อนตัวได้ แต่ก็ให้ใกล้พอที่จะเห็นว่าอะไรได้เกิดขึ้น
เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์เห็นโมเสสที่อยู่ในตระกล้าลอยน้ำ พระองค์ทรงสงสารและประสงค์ให้เก็บเด็กคนนี้มาเลี้ยงในพระราชวัง โยเคเบดจึงยอมเสี่ยงตายเปิดเผยตนและอาสาตัวเป็นแม่เลี้ยง
อพยพ 2:3-7
3 เมื่อซ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว นางก็เอาตะกร้าสานจากต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน วางทารกนั้นลงในตะกร้า แล้วนำไปไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำไนล์
4 ส่วนพี่สาวของทารกนั้นยืนอยู่ห่างๆ คอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับน้อง
5 เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์เสด็จลงสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินเที่ยวตามริมฝั่ง พระนางทรงเห็นตะกร้าอยู่กลางกอปรือ จึงมีรับสั่งให้สาวใช้ไปนำมา
6 เมื่อเปิดตะกร้าออกก็เห็นทารก และดูสิ เด็กนั้นกำลังร้องไห้ พระนางทรงสงสาร ตรัสว่า “นี่เป็นลูกคนฮีบรู”
7 พี่สาวเด็กนั้นจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า “จะให้หม่อมฉันไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม?”
8 พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า “ไปหาเถิด” หญิงสาวคนนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกมา
9 พระราชธิดาของฟาโรห์ตรัสสั่งนางว่า “รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เรา แล้วเราจะให้ค่าจ้าง” นางจึงรับทารกไปเลี้ยง
10 เมื่อทารกเติบโตขึ้น นางก็พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็ทรงรับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง และประทานนามให้ว่า โมเสส ตรัสว่า “เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ”
4 ส่วนพี่สาวของทารกนั้นยืนอยู่ห่างๆ คอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับน้อง
5 เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์เสด็จลงสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินเที่ยวตามริมฝั่ง พระนางทรงเห็นตะกร้าอยู่กลางกอปรือ จึงมีรับสั่งให้สาวใช้ไปนำมา
6 เมื่อเปิดตะกร้าออกก็เห็นทารก และดูสิ เด็กนั้นกำลังร้องไห้ พระนางทรงสงสาร ตรัสว่า “นี่เป็นลูกคนฮีบรู”
7 พี่สาวเด็กนั้นจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า “จะให้หม่อมฉันไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม?”
8 พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า “ไปหาเถิด” หญิงสาวคนนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกมา
9 พระราชธิดาของฟาโรห์ตรัสสั่งนางว่า “รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เรา แล้วเราจะให้ค่าจ้าง” นางจึงรับทารกไปเลี้ยง
ในที่สุดโยเคเบด แม่ของโมเสสก็ได้ดูแลและมีอิทธิพลชีวิตต่อบุตรชายแท้ๆของเธอและได้รับการปกป้องเขาอย่างดีเลิศเหนือชีวิตของเขาและสั่งสอนโมเสสตามวิถีทางของคนฮีบรู ทำให้โมเสสไม่หลงระเริงในความเป็นเจ้าชายอียิปต์ แต่ท่านได้รับพระประสงค์จากพระยาห์เวห์ในการปลดปล่อยคนอิสราเอลออกจากคงวามเป็นทาสในประเทศอียิปต์ (อพยพ บทที่ 3)
โมเสสได้เป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ท่านมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยเพราะแม่ของท่านยอมเสี่ยงตายเพื่อปกป้องท่าน และเป็นผู้ที่สั่งสอนในเรื่องชีวิตฝ่ายวิญญาณ
พระคัมภีร์บันทึกว่า "ไม่มีใครทำการอัศจรรย์มากเท่ากับเขา ไม่มีใครพบพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้ามากเท่าโมเสส"
10 ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอลเสมอโมเสส ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงรู้จักหน้าต่อหน้า
11 ในเรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงใช้ให้ท่านทำในแผ่นดินอียิปต์ ต่อฟาโรห์และต่อบรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์และต่อแผ่นดินของท่านทั้งสิ้น
เราได้รับแบบอย่างชีวิตของโยเคเบด แม่ผู้เสริมสร้างชีวิตของโมเสส แม้เธอต้องหลบซ่อนไม่สามารถเปิดเผยตัวตนในการเป็นแม่ของเธอ แต่เธอทำหน้าที่แม่ได้อย่างดียอดเยี่ยม
นางมารีย์ ความรักแท้ อยู่เคียงข้างลูกจนนาทีสุดท้ายของชีวิต
เมือทูตสวรรค์มาปรากฎกับเธอและการตอบสนองของเธอเปลี่ยนชะตาชีวิตของเธอและส่งผลต่อชะตากรรมความเป็นความตายของมวลมนุษยชาติ (ลูกา 1: 30-32)
เธอเป็นแม่ที่มีด้วยความเชื่อในพระเจ้า การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ถ้าเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เมื่อได้ยินว่าเธอกำลังจะตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หาเป็นหญิงพรหมจารีย์ แต่ต้องตั้งครรภ์โดยยังไม่ได้มีการสมรส ถือว่าเป็นบุคคลน่ารังเกียจ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เธอต้องปฏิเสธไม่เป็นที่ยอมรับในบ้านเมืองของโยเซฟ ผู้เป็นชายคนรักของเธอ ไม่มีใครให้ที่พักรับรองที่เมืองเบธเลเฮ็ม เธอต้องไปคลอดลูกที่รางหญ้าในคอกวัวที่ต่ำต้อย
ลูกา 2:7 นางจึงคลอดบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างในโรงแรมสำหรับพวกเขา
เมื่อพระเยซูคริสต์ อายุ 8 วัน เธอพาไปทำพิธีเข้าสุหนัตและถวายบุตรตามธรรมเนียมยิว
ลูกา 2:21-22
21 หลังจากครบแปดวัน ซึ่งเป็นวันที่จะให้พระกุมารนั้นเข้าสุหนัต เขาจึงให้นามว่าเยซู ดังที่ทูตสวรรค์กล่าวไว้ก่อนจะปฏิสนธิในครรภ์
22 เมื่อถึงเวลาทำพิธีชำระตัวตามธรรมบัญญัติของโมเสส บิดามารดาจึงนำพระกุมารไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
คำเผยพระวจนะโดยสิเมโอน ว่า นางมารีย์จะต้องเจ็บปวดใจ เหมือนดาบแทงกลางใจ เพราะเธอจะเห็นลูกของเธอตายต่อหน้าต่อตา เพราะพระเยซูคริสต์จะรับความเจ็บปวดที่กางเขนเพื่อใจของคนจะประจักษ์แจ้งถึงความรักของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์มาตายไถ่บาป
ลูกา 2:34-35
34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรเขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาพระกุมารนั้นว่า “นี่แน่ะ พระกุมารนี้ได้รับการเลือกสรรเพื่อเป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือลุกขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญที่คนจะปฏิเสธ
35 เพื่อที่ว่าความคิดในใจของคนจำนวนมากจะปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเองก็จะถูกดาบแทงทะลุด้วย”
แม้ว่านางมารีย์จะทราบถึงแผนการของพระเจ้าในอนาคตของพระเยซูคริสต์ แต่เธอก็ทำหน้าที่แม่อย่างดีในการอบรมเลี้ยงดู และถวายพระเยซูคริสต์ในพระวิหาร เมื่ออายุ 12 ปีตามธรรมเนียวยิวคือ พิธีบาร์ มิตซวาห์ (Bar mitsvah) (ลูกา 2:41-42)
จากการคาดการณ์ของนักวิชาการ เนื่องจากพระคัมภีร์ไม่ค่อยได้เอ่ยถึงโยเซฟ หลังจากพระเยซูอายุ 12 ปีแล้ว เป็นไปได้ที่ว่าโยเซฟคงเสียชีวิตไปหลังจากนั้นไม่นาน หรืออย่างมากก็มีชีวิตจนถึงอยู่ก่อนพระเยซูเสด็จออกมารับใช้ ในการเทศนาสั่งสอน
นางมารีย์ทำหน้าที่เลี้ยงดูพระเยซูจนเติบโตถึงอายุ 30 ปี และพระเยซูเริ่มทำพระราชกิจของพระบิดา
นางมารีย์เป็นผู้ที่ติดตามพระเยซูไปเพื่อคอยดูแล จนแม้กระทั้งวาระสุดท้ายพระเยซูถูกตรึงกางเขน ในขณะที่สาวกที่เป็นผู้ชายที่ใกล้ชิดหายไปกันหมด แต่มางมารีย์อยู่ที่นั่นด้วยหัวใจที่บาดเจ็บเหมือนดังถ้อยคำเผยพระวจนะว่า "ถึงหัวใจของท่านเองก็จะถูกดาบแทงทะลุด้วย”
เมื่อลูกเจ็บ-แม่เจ็บด้วย เมื่อลูกจวนจะตาย หัวใจแม่แทบใจสลายแตกเป็นเสี่ยงๆ
นางมาเรียผู้เป็นแม่ของพระเยซูคริสต์ แม้ว่านางได้เคยเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำมากมายไม่ว่าจะเป็นการรักษาคนป่วยให้หาย คนตายให้ฟื้น ห้ามพายุ ขับผีร้าย ผู้ช่วยให้รอด แต่มีวันนี้นางต้องยืนดูลูกของนางตายต่อหน้าต่อตา ซึ่งไม่มีแม่คนไหนรับได้
ยอห์น 19:25-27
25 คนที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้นมีมารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัสและมารีย์ชาวมักดาลา
26 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน”
27 แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น
เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ ทรงมอบหมายให้ยอห์นทำหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูต่อไป
ความรักของแม่เป็นความรักที่เที่ยงแท้ แม้จะเป็นอย่างไรแม่ก็คือแม่คอยดูแลลูกไม่ห่างกาย
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรักของคุณแม่เหล่านี้ ที่ได้ถูกบันทึกในหนังสือพระคัมภีร์ จะเป็นแรงบันดาลใจของหลายๆคน ที่ท้อแท้ใจ ไม่มีใครเข้าใจ คนที่เป็นแม่นั้นพร้อมเสมอที่จะยืนเคียงข้างและให้กำลังใจลูกเสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรักของคุณแม่เหล่านี้ ที่ได้ถูกบันทึกในหนังสือพระคัมภีร์ จะเป็นแรงบันดาลใจของหลายๆคน ที่ท้อแท้ใจ ไม่มีใครเข้าใจ คนที่เป็นแม่นั้นพร้อมเสมอที่จะยืนเคียงข้างและให้กำลังใจลูกเสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า
“ความรักของแม่คือเชื้อเพลิงที่ช่วยให้คนธรรมดาๆ สามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
"Mother love is the
fuel that enables a normal human being to do the impossible." -
(แมเรียน ซี. การ์เร็ตตี้ Marion C. Garretty : นักเขียน/นักประพันธ์)
ผมขอขอบพระคุณคุณแม่ของผม ท่านเป็นทั้งคุณย่าที่น่ารักของหลานๆและคุณแม่ที่รักยิ่งของลูกๆ แม้เวลาจะผ่านไปเช่นไร แม้ผมและน้องจะแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว แต่ความรักของแม่ก็ยังเหมือนเดิม แม่ก็คือแม่ที่พร้อมจะรับฟังและช่วยเหลือให้กำลังใจมาโดยตลอด เพื่อเห็นถึงความสำเร็จของลูกทุกคน
ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ทุกท่าน ให้มีความแข็งแกร่งทั้งจิตใจและร่างกาย ที่พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคไปได้นะครับ เพราะสิ่งดีที่คุณแม่ทำจะไม่สูญเปล่าแต่เป็นเมล็ดพันธ์ที่หว่านเข้าไปในหัวใจของลูกที่จะเติบโตและเลียนแบบสิ่งดีที่ท่านได้ทำไป
ผมขอขอบพระคุณคุณแม่ของผม ท่านเป็นทั้งคุณย่าที่น่ารักของหลานๆและคุณแม่ที่รักยิ่งของลูกๆ แม้เวลาจะผ่านไปเช่นไร แม้ผมและน้องจะแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว แต่ความรักของแม่ก็ยังเหมือนเดิม แม่ก็คือแม่ที่พร้อมจะรับฟังและช่วยเหลือให้กำลังใจมาโดยตลอด เพื่อเห็นถึงความสำเร็จของลูกทุกคน
ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ทุกท่าน ให้มีความแข็งแกร่งทั้งจิตใจและร่างกาย ที่พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคไปได้นะครับ เพราะสิ่งดีที่คุณแม่ทำจะไม่สูญเปล่าแต่เป็นเมล็ดพันธ์ที่หว่านเข้าไปในหัวใจของลูกที่จะเติบโตและเลียนแบบสิ่งดีที่ท่านได้ทำไป
ในโอกาสวันพิเศษคือวันแม่แห่งชาติปีนี้ เราสามารถใช้เวลาในการสำแดงความรักให้กับท่าน แม้จะเป็นแค่ 1 วันในรอบปี เราก็ควรที่จะทำดีกว่าปล่อยให้ผ่านไปอย่างไม่มีความหมาย สำหรับคนที่สำแดงความรักกับคุณแม่ตลอดทุกวันอยู่แล้ว ก็ทำต่อไป เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษที่แตกต่างไปจากวันอื่นๆนะครับ
ขอพระเจ้าทรงอวยพรคุณแม่ทุกท่านนะครับ ขอพระเจ้าประทานพรให้กับทุกท่านให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวนานครับ พบกันใหม่ในบทความครั้งต่อไปครับ
สุภาษิต 31:28-30
28 ลูกๆ ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอว่า
29 “สตรีมากมายทำได้ดีเลิศ แต่เธอเลิศยิ่งกว่าเขาทั้งหมด”
30 เสน่ห์เป็นของหลอกลวง และความงามก็ไม่จีรัง แต่สตรีที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ สมควรได้รับคำสรรเสริญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น