เทคนิคการทำอัศจรรย์ของพระเยซู โดย Haiyong Kavilar
ที่มาของภาพ https://www.pinterest.com/sabrinarhockey6/jesus-wins/ |
มีข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่สร้างความงุนงงให้กับเพื่อนๆบางท่านก็คือ
(มาระโก 13:32) แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลานั้น
แม้แต่พวกทูตในฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาเท่านั้น
ในบริบทของข้อพระคัมภีร์นี้ได้กล่าวถึงการเสด็จมาของพระบุตร ทว่าตัวพระบุตรเองกลับไม่รู้วันที่พระองค์จะเสด็จมา โดยมีแต่พระบิดาเท่านั้นที่รู้
ข้อพระคัมภีร์นี้ดูเหมือนจะขัดกับอัตลักษณ์แห่งความเป็นพระเจ้าของพระเยซู
เพราะถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริง พระองค์ก็ควรจะรู้ทุกสิ่งและทรงฤทธิ์ทุกอย่าง
ทั้งนี้ในแวดวงศาสนศาสตร์ได้อธิบายเกียวกับข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ 4 แนวคิด คือ
แนวคิดแรก
บางเรื่องเป็นความล้ำลึกที่มนุษย์ไม่อาจรู้ได้
แนวคิดนี้อธิบายว่า
บางเรื่องในพระคัมภีร์หรือบางเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าเป็นสิ่งล้ำลึกที่สมองมนุษย์ไม่อาจจะเข้าใจได้
บางครั้งเมื่อนักวิชาการไม่สามารถอธิบายในบางเรื่อง
นักวิชาการก็มักจะวางเรื่องนั้นไว้ในหมวดของความล้ำลึกที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได่
อย่างไรก็ตามจากการค้นคว้าของผม เรื่องที่พระเยซูไม่รู้ถึงวันที่พระองค์เสด็จมานั้น
สามารถหาคำตอบได้
และเป็นคำตอบที่ยังคงสนับสนุนความเป็นพระเจ้าและความเป็นมนุษย์ของพระเยซู
แนวคิดที่สอง
พระเยซูเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น
แนวคิดนี้อธิบายว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าเป็นแต่เพียงมนุษย์เท่านั้น
ทว่าแนวคิดนี้ขัดกับข้อพระคัมภีร์ข้ออื่นๆที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู
เช่น ใน (ยอห์น 1:1,14) (โรม 9:5) (1 ยอห์น 20)
(ยอห์น 1:1,14) ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่
และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า, พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา
แนวคิดที่สาม บ้างใช้ความเป็นมนุษย์,บ้างใช้ความเป็นพระเจ้า
แนวคิดนี้อธิบายว่า
ในเวลาที่พระเยซูทำการอัศจรรย์หรือรักษาโรค พระเยซูทรงใช้ความเป็นพระเจ้า
แต่เวลาที่พระเยซูทรงหิวหรือเหนื่อยหรือหลับ พระเยซูทรงใช้ความเป็นมนุษย์
กล่าวคือพระเยซูใช้ความเป็นพระเจ้ากับความเป็นมนุษย์สลับไปมา
นี่หมายความว่าตอนที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับวันที่พระองค์เสด็จกลับมา
พระองค์ทรงใช้ความเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงไม่รู้วันที่พระองค์เสด็จกลับมา
อย่างไรก็ตามผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้นัก
แนวคิดที่ผมรู้สึกว่ามีเหตุผลมากที่สุดคือแนวคิดที่สี่ซึ่งจะกล่าวต่อไป
แนวคิดที่สี่ วาระพิเศษแห่ง 33 ปีครึ่ง
ในด้านประวัติศาสตร์
เวลาที่พระบุตรออกจากครรภ์นางมารีย์จวบจนตายที่กางเขนนั้น กินเวลา 33 ปีครึ่ง
ซึ่งในช่วง 33 ปีครึ่งนี้เป็นวาระพิเศษของพระบุตรที่แตกต่างจากเวลาทั่วๆไป
แนวคิดนี้อธิบายว่า พระบุตรทรงเป็นพระเจ้าที่ดำรงอยู่แล้วตั้งแต่แรก
(ไม่มีใครสร้างพระองค์) ทรงดำรงอยู่กับพระบิดาตั้งแต่ต้น ทว่าในช่วง 33 ปีครึ่งนี้
พระบุตรทรงอยู่ในวาระพิเศษ
อันเป็นวาระที่พระองค์ถอดพลานุภาพของความเป็นพระเจ้าและดำรงชีวิตเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป
ในช่วง 33 ปีครึ่ง พระองค์ทรงถอดความสามารถในการรู้ทุกสิ่ง
พระองค์ถอดความสามารถด้านฤทธานุภาพทุกอย่าง
พระองค์ถอดความสามารถในการอยู่ทุกที่ในเวลาเดียวกัน ในช่วง 33 ปีครึ่งนี้
พระองค์ไม่ได้รู้ทุกสิ่ง และพระองค์อยู่ได้แค่ที่เดียวในเวลาเดียว
(ไม่ได้อยู่หลายๆที่พร้อมกันเหมือนพระวิญญาณบริสุทธิ์) อย่างไรก็ตามในช่วง 33
ปีครึ่งนี้ พระองค์ยังคงมีฐานันดรแห่งความเป็นพระเจ้าอยู่
เพื่อที่จะให้เพื่อนๆเข้าใจยิ่งขึ้น ผมจึงขอเล่าอุปมาเรื่องหนึ่ง
อุปมาบริษัททำแว่นตา
มีบริษัททำแว่นตาแห่งหนึ่งประกาศรับสมัครตำแหน่งผู้จัดการ
โดยมีที่ว่างสำหรับตำแหน่งนี้แค่คนเดียว เมื่อประกาศนี้กระจายออกไป
ปรากฏว่ามีผู้มาสมัครเป็นพันคน
โดยหนึ่งในผู้สมัครพันคนนี้เป็นลูกชายของผู้ก่อตั้งบริษัทด้วย
แต่ตัวลูกชายของผู้ก่อตั้งบริษัทมาสมัครในฐานะผู้สมัครทั่วๆไปเท่านั้นโดยไม่ได้ใช้เส้นสายอะไรเลย
และแล้วการสอบแข่งขันเพื่อรับตำแหน่งผู้จัดการก็เกิดขึ้น
การสอบแข่งขันนี้มีทั้งสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์
การสอบนี้ยากมากเพราะรับคนเข้าทำงานแค่คนเดียว
อย่างไรก็ตามลูกชายของผู้ก่อตั้งบริษัทก็สอบแข่งขันด้วยความสุจริตโดยไม่ได้ใช้เส้นสายหรือใช้พลานุภาพของการเป็นลูกผู้ก่อตั้งบริษัทเลย
เขาสอบแข่งขันเหมือนกับผู้สมัครทั่วๆไป สุดท้ายผลการสอบแข่งขันก็เสร็จสิ้น
ซึ่งผู้ที่ได้รับคัดเลือกมาเป็นผู้จัดการก็คือลูกชายของผู้ก่อตั้งบริษัทนั่นเอง
ซึ่งเขาได้รับคัดเลือกโดยไม่ได้ใช้กลโกงอะไรเลย
เขาได้รับการคัดเลือกโดยความสามารถของเขาล้วนๆ
สำหรับลูกชายของผู้ก่อตั้งบริษัทในช่วงสอบคัดเลือกนั้น
เขาได้ถอดพลานุภาพของการเป็นลูกผู้ก่อตั้งบริษัท
แต่เขาก็ยังคงมีฐานันดรของการเป็นลูกผู้ก่อตั้งบริษัทอยู่ สำหรับพระเยซูก็เช่นกัน
ในช่วง 33 ปีครึ่งนั้น
พระองค์ได้ถอดพลานุภาพของความเป็นพระเจ้าและดำรงชีวิตเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป แต่พระองค์ก็ยังคงมีฐานันดรของความเป็นพระเจ้าอยู่
ใน (ฟิลิปปี 2:5-8) ได้กล่าวถึง วาระพิเศษช่วง 33
ปีครี่งไว้ว่า
(ฟิลิปปี 2:5-8) จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้
แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส
ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์
พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน
คำว่า “สละพระองค์เอง” นี้ในภาษากรีกมาจากคำว่า Kenos ซึ่งมีความหมายว่า “ถอด”
นั่นคือในช่วงที่พระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์จวบจนตายที่กางเขน
พระองค์ทรงถอดพลานุภาพของความเป็นพระเจ้าไว้
นี่หมายความว่าเมื่อพระเยซูคลอดออกมาจากครรภ์นางมารีย์ พระเยซูต้องเรียนภาษาฮีบรูจากพ่อแม่
พระองค์ต้องกินข้าวและนอนหลับเหมือนมนุษย์ทั่วไป
พระองค์ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆจากอาจารย์และคนรอบข้าง ใน (ลูกา 2:52) ได้เขียนไว้ว่า
(ลูกา 2:52) พระเยซูเจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย
เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย
ในช่วง 33 ปีครึ่ง
พระเยซูต้องเจริญเติบโตขึ้นในด้านสติปัญญา ซึ่งหมายความว่าในวาระพิเศษแห่ง 33
ปีครึ่งนี้ พระองค์มิได้ทรงรู้ทุกสิ่งเหมือนพระบิดา ด้วยเหตุนี้
เมื่อพระเยซูได้กล่าวถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมาใน (มาระโก 13:32) พระองค์จึงไม่รู้ถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมา
มีเพียงแต่พระบิดาเท่านั้นที่รู้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้น ใน
(กิจการ 1:7)
พระเยซูได้ตรัสกับเหล่าสาวกโดยตรัสราวกับว่าพระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อไร
นี่หมายความว่าเมื่อพระบุตรตายบนกางเขน พลานุภาพของความเป็นพระเจ้าได้กลับมาสู่พระบุตรอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันนี้พระเยซูจึงรู้เหมือนดั่งที่พระบิดารู้และสถิตอยู่ทุกที่ทุกเวลาเหมือนกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
ที่มาแห่งฤทธิ์เดชของพระเยซู
ในช่วง 33 ปีครึ่ง
ถ้าพระเยซูไม่ได้ใช้พลานุภาพของความเป็นพระเจ้า แล้วพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์และรักษาโรคได้อย่างไร?
พระคัมภีร์ได้ให้คำตอบว่าพระเยซูไม่ได้ใช้พลานุภาพของความเป็นพระเจ้าในการรักษาโรค
แต่พระองค์ใช้ความเป็นมนุษย์โดยพึ่งพาฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการรักษาโรค
(กิจการ 10:38) คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร
และเรื่องที่ว่าพระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียนอย่างไร
เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์
(มัทธิว 12:28) แต่ถ้าเราขับผีออกโดยพระวิญญาณของพระเจ้า
แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว
(ลก. 4:18) “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย
ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้บอกชัดเจนว่า
การอัศจรรย์ที่พระเยซูทำนั้น มีเบื้องหลังอยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่พลานุภาพของความเป็นพระเจ้าพระบุตร
ผู้เชื่อทำการอัศจรรย์ได้เหมือนที่พระเยซูทำ
ถ้าเพื่อนๆเชื่อว่า
พระเยซูทำการอัศจรรย์โดยใช้ความเป็นพระเจ้า
เพื่อนๆก็มีแนวโน้มที่จะมองว่าตัวเองทำการอัศจรรย์ไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ใช่พระเจ้า
แต่ถ้าเพื่อนๆเชื่อว่า พระเยซูทำการอัศจรรย์โดยใช้ความเป็นมนุษย์ที่พึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพื่อนๆก็มีแนวโน้มที่จะมองว่าตัวเองก็ทำการอัศจรรย์ได้เช่นกัน
เพราะถ้าพระเยซูทำการอัศจรรย์โดยพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพื่อนๆก็สามารถทำการอัศจรรย์ได้โดยพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ แท้จริงพระเยซูได้กล่าวว่า
ผู้เชื่อจะทำการอัศจรรย์ได้ยิ่งกว่าที่พระเยซูทรงกระทำเสียอีก
(ยอห์น 14:12) “เรา[พระเยซู]บอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย
และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา
บริบทของ (ยอห์น 14:12)
คือคำตรัสของพระเยซูเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะถูกประทานให้กับผู้เชื่อ
และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ผู้เชื่อจะสามารถทำกิจเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงทำได้
เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นเบื้องหลังของการอัศจรรย์และฤทธานุภาพต่างๆที่พระเยซูทรงทำ
แนะนำหนังสือเพิ่มเติม
1. ตื่นตะลึงเสียงพระเจ้า เขียนโดย แจ็ค เดียร์
2. ยุทธาธิษฐาน เขียนโดย ซี ปีเตอร์ แวกเนอร์
3. This
Changes Everything เขียนโดย C.
Peter Wagner
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น