27 มีนาคม 2560

พระเจ้าไม่ทรงจดจำบาปของผู้เชื่อ

พระเจ้าไม่ทรงจดจำบาปของผู้เชื่อ
โดย Haiyong Kavilar
พันธสัญญาอันประเสริฐกว่า
(ฮีบรู 8:6) แต่​บัดนี้​พระ​เยซู ทรง​ได้​รับ​พันธ​กิจ​ที่​สูงส่ง​กว่า​ของ​พวก​เขา เช่น​เดียว​กับ​ที่​พระ​องค์​ทรง​เป็น​คน​กลาง​แห่ง​พันธ​สัญ​ญา​อัน​ประ​เสริฐ​กว่า ซึ่ง​ตั้ง​อยู่​บน​พระ​สัญ​ญา​ที่​ประ​เสริฐ​กว่า

ใน (ฮีบรู 8:6) ได้กล่าวว่าพันธสัญญาใหม่เป็นพันธสัญญาที่ประเสริฐกว่าพันธสัญญาเดิม ซึ่งผู้คนจะก้าวเข้าสู่พันธสัญญาใหม่นี้ได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พันธสัญญานี้ถูกตราขึ้นโดยพระโลหิตพระคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่นี้ พระเจ้าทรงอภัยบาปให้ผู้เชื่อและไม่จดจำบาปของผู้เชื่ออีก

(มัทธิว 26:28) เพราะ​ว่า​นี่​เป็น​โลหิต​ของ​เรา​อัน​เป็น​โลหิต​แห่ง​พันธ​สัญญา​ที่​หลั่ง​ออก​เพื่อ​อภัย​บาป​โทษ​คน​จำนวน​มาก

(ฮีบรู 8:12) เพราะ​เรา​จะ​เมต​ตา​ต่อ​การ​อธรรม​ของ​พวก​เขา และ​จะ​ไม่​จด​จำ​บรร​ดา​บาป​ของพวก​เขา​ไว้​เลย 

เทวนิยมแบบดั้งเดิม (Classical Theism)
คำถามมีอยู่ว่า ถ้าพระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง(สัพพัญญู) แล้วพระเจ้าจะไม่จดจำบาปของผู้เชื่อได้อย่างไร? ในมุมมองของเทวนิยมแบบดั้งเดิมยึดมั่นว่าพระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง ดังนั้นตามมุมมองเทวนิยมแบบดั้งเดิม การที่พระคัมภีร์เขียนว่าพระเจ้าจะไม่จดจำบาปจึงไม่ได้มีความหมายแบบนั้นตามตัวอักษร แต่พระคัมภีร์เขียนแบบเปรียบเปรยเพื่อให้มนุษย์เข้าใจได้ (ภาษาวิชาการเรียกว่า Anthropomorphism) นี่เป็นคำอธิบายที่นักศาสนศาสตร์บางส่วนยึดถือ

เทวนิยมแบบเปิด (Open Theism)
ในช่วงปีคริสตศักราชที่ 1980 มีนักวิชาการบางกลุ่มได้เสนอมุมมองทางศาสนศาสตร์ที่แตกต่างไปจากเทวนิยมแบบดั้งเดิม มุมมองนี้เสนอว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และมีเอกสิทธิ์ในการจำกัดความรู้ของพระองค์ กล่าวคือถ้าพระเจ้าเลือกที่จะไม่รู้ในเรื่องใด พระองค์ก็สามารถกระทำเช่นนั้นได้ มุมมองนี้มีชื่อในเชิงวิชาการว่าเทวนิยมแบบเปิด
ในพระคัมภีร์มีหลายเหตุการณ์ที่ดูประหนึ่งว่าพระเจ้าเลือกที่จำกัดพระองค์โดยไม่รับรู้ในบางเรื่อง เช่น (ปฐมกาล 18:20-21)

(ปฐมกาล 18:20-21)  พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ว่า “เสียง​ร้อง​กล่าว​โทษ​เมือง​โสโดม​และ​เมือง​โกโม​ราห์​นั้น​ดัง​เหลือ​เกิน และ​บาป​ของ​เขา​ก็​หนัก​มาก เรา​จะ​ลง​ไป​ดู​ว่า​พวก​เขา​ทำ​ผิด​จริง​ตาม​คำ​ร้อง​ที่​มา​ถึง​เรา​นั้น​หรือ​ไม่ ถ้า​ไม่ เรา​ก็​จะ​รู้”

ในหนังสือ Who is God? (พระเจ้าคือผู้ใด) ที่เขียนโดย Harold Eberle (ฮาร์โรล เอเบอร์เล) ได้กล่าวถึงข้อพระคัมภีร์นี้ว่า
       ข้อพระคัมภีร์นี้ทำให้คุณปั่นป่วนหรือประหลาดใจไหม? ข้อพระคัมภีร์นี้ชี้ว่าพระเจ้ารับรู้ถึงความบาปในเมืองโสโดมกับเมืองโกโมราห์ ทว่าพระองค์รู้แบบบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด พระองค์ได้ส่งเหล่าทูตสวรรค์ไปในพื้นที่นั้นเพื่อที่จะตรวจสอบดูว่าผู้คนในเมืองเหล่านั้นได้กระทำบาปตามคำร้องที่มาถึงหรือไม่? พระเจ้าทรงไปตรวจสอบเพื่อที่ว่าพระองค์จะได้ “รู้”
        เป็นไปได้ว่าพระเจ้าทรงยอมจำกัดการทรงสถิตของพระองค์และซ่อนพระพักตร์จากสถานที่ชั่วร้ายอย่างเมืองโสโดมกับเมืองโกโมราห์ นั่นคือพระองค์เลือกที่จะไม่สำแดงความบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อสิ่งชั่วร้าย และดังนั้นพระองค์เลือกที่จะไม่รับรู้ในบางเรื่องแบบทั้งหมด บางทีพระองค์สามารถเลือกที่จะรู้เรื่องไหนก็ได้ที่พระองค์ต้องการจะรู้ บางทีพระองค์ทรงมีเอกสิทธิ์ในการเลือกที่จะไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ดาเนียล จัสเตอร์
       ตามมุมมองของเทวนิยมแบบเปิด พระเจ้าทรงมีเอกสิทธิ์ที่จะไม่รับรู้ในบางเรื่องได้ นั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงไม่จดจำบาปของผู้เชื่อที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ได้จริงๆ พระองค์ทรงมีเอกสิทธิ์ในการเลือกที่จะไม่จดจำรู้บาปของผู้เชื่อ มุมมองเทวนิยมแบบเปิดจึงตีความข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระเจ้าทรงไม่จดจำบาปได้ตรงตามตัวอักษร
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่านักวิชาการทุกคนจะยอมรับเรื่องเทวนิยมแบบเปิด ในแวดวงศาสนศาสตร์ประเด็นเรื่องเทวนิยมแบบเปิดเป็นเรื่องที่โต้เถียงกันมาก กระนั้นก็มีนักวิชาการพระคัมภีร์ชาวยิวที่เป็นคริสเตียนบางคน เช่น ดาเนียล จัสเตอร์ ได้ออกมาสนับสนุนแนวคิดเทวนิยมแบบเปิด เนื่องจากเขาเห็นว่า มุมมองของเทวนิยมแบบเปิดสอดคล้องกับความเป็นพระเจ้าของอิสราเอลมากกว่ามุมมองของเทวนิยมแบบดั้งเดิม
หนังสือแนะนำเพิ่มเติม
ถ้าเพื่อนๆสนใจศึกษาเรื่องเทวนิยมแบบเปิดอย่างลึกซึ้งขึ้น ผมขอแนะนำหนังสือดังต่อไปนี้

1. Who is God? เขียนโดย Harold R. Eberle หนังสือเล่มนี้ใช้อ่านเข้าใจง่าย เพราะใช้ภาษาที่ง่ายและกระชับ

2. God of the Possible เขียนโดย Gregory A. Boyd หนังสือเล่มนี้มีความเป็นวิชาการบ้าง แต่ก็ยังอ่านง่าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น