บทความเรื่อง "พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มีความรู้สึก" โดย Philip Kavilar
ปัญหาหนึ่งที่เพื่อนๆบางคนมีเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือ
ความรู้สึกที่มองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพลังงานหรือฤทธิ์เดช
โดยไม่ได้มองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคลที่ดีใจได้หรือเสียใจได้ หากเพื่อนๆไม่ได้รู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคล
โอกาสที่เพื่อนๆจะรู้สึกสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นไปได้ยาก
คนเราจะรู้สึกสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
ก็ต้องเกิดจากการตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นสิ่งของหรือพลังงาน
แต่พระองค์เป็นบุคคลที่มีความรู้สึกและความคิดเป็นของตัวเอง
ในที่นี้ผมมุ่งเน้นให้เพื่อนๆได้เกิดความเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคลที่มีความรู้สึก
พระองค์ทรงยินดีไปกับเพื่อนๆได้และรู้สึกทุกข์ไปกับเพื่อนๆได้ โดยเนื้อหาในบทความนี้ผมจะดึงมาจากบางส่วนของหนังสือ
Systematic
Theology for the New Apostolic Reformation
(ศาสนศาสตร์ระบบสำหรับการปฏิรูปเรื่องอัครทูตครั้งใหม่) ที่เขียนโดย Harold
Eberle (ฮาร์โรลด์ เอเบอร์เล)
พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระเจ้าพระบิดา
พระนาม
“พระวิญญาณบริสุทธิ์” กับ “พระวิญญาณของพระเจ้า” มีการใช้สลับกันไปในพระคัมภีร์
เช่น (มัทธิว 12:28,32) นี่หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระวิญญาณของพระเจ้า
คือบุคคลเดียวกัน
มีข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระเจ้าพระบิดา
เช่น ใน (ยอห์น 15:26) พระเยซูได้อธิบายว่า “…คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจากพระบิดานั้น...”
หรือใน (สดุดี 104:30) ก็ได้กล่าวในทิศทางเดียวกัน
การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดานั้น แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มีเนื้อแท้ที่ไม่ต่างไปจากพระบิดา
พระบิดากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย
เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
พระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดา
และพระองค์ได้ทรงเทพระวิญญาณมายังโลกนี้ตาม (กิจการ 2:33)
เห็นได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดาโดยถ่ายเทลงมาผ่านพระบุตร
ด้านหนึ่งจึงกล่าวได้ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดาและพระบุตร
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล
ต่อมาพวกเราจำต้องตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล
ไม่ใช่ฤทธิ์เดชหรือพลังงานที่ออกมาจากพระบิดา
มีวิธีหลายๆวิธีที่พวกเราใช้แยกแยะว่าอะไรเป็นบุคคลและอะไรเป็นสิ่งของ
สิ่งหนึ่งที่บุคคลมีแต่สิ่งของไม่มีก็คือความปรารถนา
ซึ่งเห็นได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีความปรารถนา
เมื่อเปาโลอธิบายเกี่ยวกับของประทานใน (1 โครินธ์ 12:11) เขากล่าวว่า “พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัย[ความปรารถนา]พระองค์”
นอกจากนี้พวกเรายังเห็นถึงความปรารถนาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงห้ามเปาโลในการทำพันธกิจ ณ บางพื้นที่ ตาม (กิจการ
16:6-7)
การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีความปรารถนาของตัวเองชี้ให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคลจริงๆ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีพันธกิจที่แตกต่างไปจากพระบิดาและพระบุตร
ซึ่งพระเยซูได้อธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
(ยอห์น
14:16) เราจะทูลขอพระบิดา
และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน
เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป
จากพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระองค์ทรงเป็นทั้งผู้ปลอบโยน ผู้ให้คำปรึกษา ผู้ช่วยเหลือ ผู้ให้กำลังใจ
เปาโลได้เขียนใน
(1 โครินธ์ 2:10) ว่า
“…เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า”
นี่ชี้ให้เห็นถึงพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่หยั่งรู้ถึงความล้ำลึกของพระเจ้าพระบิดา
ในพระคัมภีร์มีหลายครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดพันธกิจต่างๆ
เช่นใน (กิจการ 13:2) เขียนไว้ว่า
(กิจการ
13:2) ...พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสสั่งว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับงานที่เราเรียกให้พวกเขาทำนั้น
นี่ไม่ได้หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงริเริ่มทำกิจที่ขัดกับความปรารถนาของพระเจ้าพระบิดา
แต่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เปิดเผยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำกิจต่างๆเฉกเช่นบุคคลคนหนึ่ง
ในพระคัมภีร์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงถูกเรียกด้วยสรรพนามที่เป็นบุคคล เช่น “พระองค์”(He
หรือ Him) พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ถูกเรียกโดยสรรพนาม
“มัน”(It) อันเป็นสรรพนามของวัตถุ
ด้วยสรรพนามที่เป็นบุคคลแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นมากกว่าฤทธิ์เดชของพระบิดา
พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่สามของตรีเอกานุภาพ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาและพระบุตร
ก่อนหน้านี้
พวกเราได้เห็นถึงข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่ชี้ถึงสามบุคคลในตรีเอกานุภาพ
อันเป็นเรื่องที่ได้กล่าวไว้แล้ว แต่ให้พวกเรามาดูการกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระบิดาและพระบุตรในพระคัมภีร์
โดยดูจากลำดับที่พระคัมภีร์เขียนไว้
ซึ่งแท้จริงแล้วมีบางข้อพระคัมภีร์ที่ให้พระนามพระบิดาเขียนขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก
บางข้อพระคัมภีร์ก็เขียนให้พระนามพระบุตรขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก และบางข้อพระคัมภีร์ก็ได้เขียนพระนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก
ตัวอย่างเช่นใน (มัทธิว 28:19) ได้กล่าวถึงพระบิดาเป็นลำดับแรก
(มัทธิว
28:19) เพราะฉะนั้น
ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา
จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
ใน (2
โครินธ์ 13:14) ได้กล่าวถึงพระบุตรก่อนเป็นลำดับแรก
(2
โครินธ์ 13:14) ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า
ความรักของพระเจ้า และการมีส่วนกันที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายทุกคนเถิด
ใน (1
โครินธ์ 12:4-6) ได้กล่าวถึงพระวิญญาณเป็นลำดับแรก
(1
โครินธ์ 12:4-6) ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน
การปรนนิบัติมีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน
กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมทั้งหมดในทุกคน
ถ้าพระบิดาใหญ่กว่าพระบุตรและพระวิญญาณ
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ก็ควรจะขึ้นต้นด้วยพระบิดาก่อนเสมอ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
แม้ว่าพวกเราจะกำหนดว่าพระบุตรทรงเป็นพระภาคที่สองและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระภาคที่สาม
แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วทั้งพระบุตรกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดา ปัญหาหนึ่งที่เพื่อนๆบางคนมีเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือ
ความรู้สึกที่มองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพลังงานหรือฤทธิ์เดช
โดยไม่ได้มองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคลที่ดีใจได้หรือเสียใจได้ หากเพื่อนๆไม่ได้รู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคล
โอกาสที่เพื่อนๆจะรู้สึกสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นไปได้ยาก
คนเราจะรู้สึกสนิทสนมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
ก็ต้องเกิดจากการตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นสิ่งของหรือพลังงาน
แต่พระองค์เป็นบุคคลที่มีความรู้สึกและความคิดเป็นของตัวเอง
ในที่นี้ผมมุ่งเน้นให้เพื่อนๆได้เกิดความเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคลที่มีความรู้สึก
พระองค์ทรงยินดีไปกับเพื่อนๆได้และรู้สึกทุกข์ไปกับเพื่อนๆได้ โดยเนื้อหาในบทความนี้ผมจะดึงมาจากบางส่วนของหนังสือ
Systematic
Theology for the New Apostolic Reformation
(ศาสนศาสตร์ระบบสำหรับการปฏิรูปเรื่องอัครทูตครั้งใหม่) ที่เขียนโดย Harold
Eberle (ฮาร์โรลด์ เอเบอร์เล)
พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระเจ้าพระบิดา
พระนาม
“พระวิญญาณบริสุทธิ์” กับ “พระวิญญาณของพระเจ้า” มีการใช้สลับกันไปในพระคัมภีร์
เช่น (มัทธิว 12:28,32) นี่หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระวิญญาณของพระเจ้า
คือบุคคลเดียวกัน
มีข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระเจ้าพระบิดา
เช่น ใน (ยอห์น 15:26) พระเยซูได้อธิบายว่า “…คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจากพระบิดานั้น...”
หรือใน (สดุดี 104:30) ก็ได้กล่าวในทิศทางเดียวกัน
การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดานั้น แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มีเนื้อแท้ที่ไม่ต่างไปจากพระบิดา
พระบิดากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย
เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
พระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดา
และพระองค์ได้ทรงเทพระวิญญาณมายังโลกนี้ตาม (กิจการ 2:33)
เห็นได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดาโดยถ่ายเทลงมาผ่านพระบุตร
ด้านหนึ่งจึงกล่าวได้ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์มาจากพระบิดาและพระบุตร
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล
ต่อมาพวกเราจำต้องตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล
ไม่ใช่ฤทธิ์เดชหรือพลังงานที่ออกมาจากพระบิดา
มีวิธีหลายๆวิธีที่พวกเราใช้แยกแยะว่าอะไรเป็นบุคคลและอะไรเป็นสิ่งของ
สิ่งหนึ่งที่บุคคลมีแต่สิ่งของไม่มีก็คือความปรารถนา
ซึ่งเห็นได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีความปรารถนา
เมื่อเปาโลอธิบายเกี่ยวกับของประทานใน (1 โครินธ์ 12:11) เขากล่าวว่า “พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัย[ความปรารถนา]พระองค์”
นอกจากนี้พวกเรายังเห็นถึงความปรารถนาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงห้ามเปาโลในการทำพันธกิจ ณ บางพื้นที่ ตาม (กิจการ
16:6-7)
การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีความปรารถนาของตัวเองชี้ให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคลจริงๆ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีพันธกิจที่แตกต่างไปจากพระบิดาและพระบุตร
ซึ่งพระเยซูได้อธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
(ยอห์น
14:16) เราจะทูลขอพระบิดา
และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน
เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป
จากพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระองค์ทรงเป็นทั้งผู้ปลอบโยน ผู้ให้คำปรึกษา ผู้ช่วยเหลือ ผู้ให้กำลังใจ
เปาโลได้เขียนใน
(1 โครินธ์ 2:10) ว่า
“…เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า”
นี่ชี้ให้เห็นถึงพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่หยั่งรู้ถึงความล้ำลึกของพระเจ้าพระบิดา
ในพระคัมภีร์มีหลายครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดพันธกิจต่างๆ
เช่นใน (กิจการ 13:2) เขียนไว้ว่า
(กิจการ
13:2) ...พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสสั่งว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับงานที่เราเรียกให้พวกเขาทำนั้น
นี่ไม่ได้หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงริเริ่มทำกิจที่ขัดกับความปรารถนาของพระเจ้าพระบิดา
แต่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เปิดเผยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำกิจต่างๆเฉกเช่นบุคคลคนหนึ่ง
ในพระคัมภีร์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงถูกเรียกด้วยสรรพนามที่เป็นบุคคล เช่น “พระองค์”(He
หรือ Him) พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ถูกเรียกโดยสรรพนาม
“มัน”(It) อันเป็นสรรพนามของวัตถุ
ด้วยสรรพนามที่เป็นบุคคลแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นมากกว่าฤทธิ์เดชของพระบิดา
พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่สามของตรีเอกานุภาพ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาและพระบุตร
ก่อนหน้านี้
พวกเราได้เห็นถึงข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่ชี้ถึงสามบุคคลในตรีเอกานุภาพ
อันเป็นเรื่องที่ได้กล่าวไว้แล้ว แต่ให้พวกเรามาดูการกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระบิดาและพระบุตรในพระคัมภีร์
โดยดูจากลำดับที่พระคัมภีร์เขียนไว้
ซึ่งแท้จริงแล้วมีบางข้อพระคัมภีร์ที่ให้พระนามพระบิดาเขียนขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก
บางข้อพระคัมภีร์ก็เขียนให้พระนามพระบุตรขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก และบางข้อพระคัมภีร์ก็ได้เขียนพระนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก
ตัวอย่างเช่นใน (มัทธิว 28:19) ได้กล่าวถึงพระบิดาเป็นลำดับแรก
(มัทธิว
28:19) เพราะฉะนั้น
ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา
จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
ใน (2
โครินธ์ 13:14) ได้กล่าวถึงพระบุตรก่อนเป็นลำดับแรก
(2
โครินธ์ 13:14) ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า
ความรักของพระเจ้า และการมีส่วนกันที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายทุกคนเถิด
ใน (1
โครินธ์ 12:4-6) ได้กล่าวถึงพระวิญญาณเป็นลำดับแรก
(1
โครินธ์ 12:4-6) ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน
การปรนนิบัติมีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน
กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมทั้งหมดในทุกคน
ถ้าพระบิดาใหญ่กว่าพระบุตรและพระวิญญาณ
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ก็ควรจะขึ้นต้นด้วยพระบิดาก่อนเสมอ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
แม้ว่าพวกเราจะกำหนดว่าพระบุตรทรงเป็นพระภาคที่สองและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระภาคที่สาม
แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วทั้งพระบุตรกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น