ภาษาแปลกๆ
ไม่ใช่แค่เสียงที่เปล่งออกมาลอยๆ โดย Haiyong Kavilar
( 1 โครินธ์ 13:1 )
แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้
แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง
จากข้อพระคัมภีร์นี้
บริบทหลักคือเรื่องของความรัก ทว่าข้อพระคัมภีร์นี้ยังบอกเป็นนัยว่า ภาษาแปลกๆ
สามารถเป็นภาษาของทูตสวรรค์หรือภาษาของมนุษย์ก็ได้
ในภาษากรีกเองคำว่า ภาษาแปลกๆ มาจากศัพท์คำว่า glossa ซึ่งศัพท์คำนี้จะแปลว่า “ลิ้น” ก็ได้หรือ “ภาษา” ก็ได้ ฉะนั้นภาษาแปลกๆจึงเป็นถ้อยคำภาษาที่มีเนื้อความ ไม่ใช่แค่การเปล่งเสียงออกมาลอยๆเท่านั้น ใน (1 โครินธ์ 14:9-10) เปาโลก็ได้เน้นย้ำอีกว่า ภาษาแปลกๆ เป็นถ้อยคำภาษาที่มีความหมาย
ในภาษากรีกเองคำว่า ภาษาแปลกๆ มาจากศัพท์คำว่า glossa ซึ่งศัพท์คำนี้จะแปลว่า “ลิ้น” ก็ได้หรือ “ภาษา” ก็ได้ ฉะนั้นภาษาแปลกๆจึงเป็นถ้อยคำภาษาที่มีเนื้อความ ไม่ใช่แค่การเปล่งเสียงออกมาลอยๆเท่านั้น ใน (1 โครินธ์ 14:9-10) เปาโลก็ได้เน้นย้ำอีกว่า ภาษาแปลกๆ เป็นถ้อยคำภาษาที่มีความหมาย
ภาษาแปลกๆโดยทั่วไปแล้ว
มักจะเป็นหนึ่งในภาษาบนโลกนี้ที่มนุษย์ใช้กัน มีคำพยานจากมิชชันนารีมากมายที่เล่าว่า
ขณะที่มิชชันนารีกำลังพูดภาษาแปลกๆที่ประเทศหนึ่งอยู่
คนท้องถิ่นในประเทศนั้นกลับรู้ความหมายของภาษาแปลกๆที่มิชชันนารีพูด
เนื่องจากว่าภาษาแปลกๆที่มิชชันนารีพูดนั้น คือภาษาถิ่นของคนในประเทศนั้นพอดี
ทว่าตัวมิชชันนารีที่พูดภาษาแปลกๆกลับไม่รู้ความหมายของภาษาที่ตนพูดเลย
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ผมได้มีโอกาสค้นคว้าเกี่ยวกับการแปลภาษาแปลกๆจากคำเทศนาและหนังสือหลายๆเล่ม
ในบรรดาหนังสือที่ผมใช้ค้นคว้านั้น มีอยู่เล่มหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษ
หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า Tongues
Interpret & Prophecy (ภาษาแปลกๆ การแปล และการเผยพระวจนะ)
เขียนโดย Don Basham (ดอน บาแชม)
หนังสือเล่มนี้นอกจากจะให้ข้อแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาแปลกๆและการแปลแล้ว
หนังสือเล่มนี้ยังบรรจุคำพยานที่เลอค่ามากมาย
เนื่องจากว่าอีกไม่นานก็ใกล้ถึงวันเพนเทคอสแล้ว
ผมจึงขอเล่าคำพยานเกี่ยวกับภาษาแปลกๆและการแปลที่น่าตื่นเต้นจากหนังสือเล่มนี้
เพื่อจะให้เพื่อนๆได้เห็นว่าภาษาแปลกๆไม่ได้เป็นเสียงที่เปล่งออกมาลอยๆ
แต่เป็นถ้อยคำภาษาที่มีความหมาย
"เมื่อผม[ดอน
บาแชม]อยู่นิวซีแลนด์ในเดือนมิถุนายน ปี 1970
ผมได้ประสบการณ์กับการอัศจรรย์เรื่องภาษาแปลกๆและการแปลถึงสองครั้ง
ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ ศาสนจารย์ชาร์ล ซิมสัน
นักเทศน์และครูสอนพระคัมภีร์ที่ผมทำพันธกิจด้วยได้มาร่วมรับใช้ที่นิวซีแลนด์ก่อนหน้าผมไม่กี่เดือน
ครั้งหนึ่งในระหว่างการประชุมที่ชาร์ลจัดขึ้น
มีชายคนหนึ่งได้ลุกขึ้นมาและพูดภาษาแปลกๆ แล้วชาร์ลก็ได้ปลดปล่อยคำแปลออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคริสเตียนชาวเมารีที่ได้อยู่ในการประชุมนั้น (ชาวเมารี
คือชาวพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ในยุคก่อนที่ชาวอังกฤษจะเข้ามา
ปัจจุบันนี้ชาวเมารีเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยในประเทศนิวซีแลนด์) ได้เล่าให้ฟังว่า
ภาษาแปลกๆที่ชายคนนั้นพูดในที่ประชุมนั้นเป็นภาษาของชาวเมารี
และคำแปลที่ชาร์ลปลดปล่อยออกมานั้น ก็เป็นคำแปลที่ถูกต้องด้วย
ทว่าทั้งชาร์ลและชายผู้ที่พูดภาษาแปลกๆไม่ได้มีความรู้พื้นฐานอะไรเกี่ยวกับภาษาเมารีเลย
อีกเหตุการณ์อันน่าประหลาดใจเกิดขึ้นกับศิษยาภิบาลชาวนิวซีแลนด์สองคน
ซึ่งพวกเขาได้แบ่งปันเรื่องราวของพวกเขาให้ผมฟัง เรื่องราวของพวกเขามีอยู่ว่า
ขณะที่พวกเขากำลังทำพันธกิจการอธิษฐานเผื่อเพื่อให้ผู้คนได้รับการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ก็มีชายคนหนึ่งเป็นคริสเตียนชาวเมารี
แต่ชายคนนี้ไม่มีความรู้ภาษาอังกฤษและแทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
ทำให้ชายคนนี้ไม่สามารถที่จะเข้าใจคำสอนหรือรับการเสริมสร้างจากพันธกิจของพวกเขาได้
ทันใดนั้น
หนึ่งในผู้ทำพันธกิจคนหนึ่งได้เริ่มพูดภาษาแปลกๆออกมาและวางมือบนพี่น้องชาวเมารีคนนี้
และคริสเตียนชาวเมารีคนนี้ก็เริ่มยิ้มพร้อมผงกศีรษะลงด้วยด้วยความตื่นเต้น ต่อจากนั้นไม่นานคริสเตียนชาวเมารีคนนี้ก็เปิดปากและพูดภาษาแปลกๆออกมา
เมื่อทำพันธกิจเสร็จเรียบร้อย
ก็มีผู้รับใช้คนหนึ่งที่รู้ภาษาเมารีเล่าให้ฟังว่า
ตอนที่แอล[ผู้ทำพันธกิจที่วางมือให้กับคริสเตียนชาวเมารี] พูดภาษาแปลกๆอยู่
ถ้อยคำที่แอลพูดออกมานั้นเป็นภาษาเมารี
ซึ่งแอลได้พูดภาษานี้ออกมาอย่างเหนือธรรมชาติเพราะปกติแล้วแอลไม่มีความรู้ภาษาเมารีเลย
ยิ่งไปกว่านั้น
เนื้อหาของภาษาแปลกๆที่แอลพูดก็เป็นข้อแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ทำให้คริสเตียนชาวเมารีที่รับการวางมือนั้นได้เข้าใจว่าเขาจะรับการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร
คริสเตียนชาวเมารีผู้นั้นจึงได้เปิดปากและเริ่มพูดภาษาแปลกๆออกมา
ความน่าตื่นตาตื่นใจก็คือ
แอลผู้ซึ่งแทบจะพูดภาษาเมารีไม่ได้เลย
กลับให้ข้อแนะนำของการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นภาษาเมารี
อันเป็นข้อแนะนำเดียวกันกับที่เขาสอนเป็นภาษาอังกฤษพอดี”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น