กิจการของอัครทูต 3:13-16
13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ทรงโปรดประทานพระเกียรติแด่พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธต่อหน้าปีลาต เมื่อปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป
14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย
15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้
16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้นคือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย
อารัมภบท13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ทรงโปรดประทานพระเกียรติแด่พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธต่อหน้าปีลาต เมื่อปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป
14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย
15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้
16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้นคือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย
สวัสดีครับ เพื่อนๆผู้อ่านทุกท่าน เรามีโอกาสได้ร่วมกันศึกษาพระธรรมกิจการฯ มาแล้วอย่างต่อเนื่อง ในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8แล้ว ในครั้งก่อนเป็นเรื่อง"ประกาศข่าวประเสริฐตามการทรงนำ"เป็นการประกาศโดยให้พระวิญญาณฯนำในการรับใช้ เห็นถึงการอัศจรรย์ที่ยิ่งใญ่และในครั้งนี้เป็นความต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว นั่นคืออัครทูตเปโตรได้ประกาศความจริงในสาระที่สำคัญอย่างแท้จริง(True essence)เป็นการ"ประกาศความจริงเรื่องพระคริสต์" เหตุการณ์ครั้งก่อนหน้านี้เป็นดุจการเป่าแตรที่เป็นการจุดประกายให้ ผู้คนพากันสนใจว่า การอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะผู้คนต่างก็รู้ดีว่า ชายคนนี้ไม่เคยเดินได้มาก่อนเลยในชีวิต แล้วจู่ ๆ เกิดอะไรขึ้นกับเขา ผลของการตอบสนองต่อการทรงนำในครั้งนั้น มีผลทำให้ข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ได้รับการเปิดเผยสำแดงโดยอัครทูตเปโตร ในเรื่องความจริงเกี่ยวกับพระคริสต์ให้ผู้คนที่พากันมาห้อมล้อมสนใจการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับชายคนนั้น
ดังที่ปรากฏใน ข้อ 12 บอกว่า...พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า "ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยเรื่องของคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความชอบธรรมของเราเอง
นั่นคือ ในขณะที่ผู้คนกำลังสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิด ที่ไม่เคยเดินได้ บัดนี้ลุกขึ้นเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าถึงมหกิจที่พระเจ้าทำผ่านมือของอัครทูตเปโตรและอัครทูตยอห์น ท่านได้ฉวยโอกาสประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ ท่านไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มาจากตัวของท่านมีฤทธิ์อำนาจแต่เป็นพระคริสต์ที่สำแดงฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ นี่คือสาระสำคัญทที่เราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อต้องออกไปประกาศถึงความจริงนี้!
1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
ความจริงประการแรกเกี่ยวกับพระคริสต์ พบใน ข้อ 13 เปโตร กล่าวว่า ..
พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ทรงโปรดประทานพระเกียรติแด่พระเยซู ผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธต่อหน้าปีลาต เมื่อปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป
เป็นการกล่าวที่ชัดเจนว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การอัศจรรย์ที่พวกเขาเห็นต่อหน้าต่อตานี้ เป็นการอัศจรรย์ที่ชายซึ่งไม่เคยเดินได้มาก่อนเลยในชีวิต บัดนี้ เดินได้แล้วนั้น พระเยซูพระองค์นี้ที่อยู่เบื้องหลังการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาพวกเขาไม่ใช่ใครไกลอื่น พระเจ้าที่พวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขา นับถืออยู่นั้น เป็นผู้ประทานพระเกียรติให้พระองค์ พวกเขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดใหญ่หลวงที่ได้มอบพระเยซูคริสต์ไว้ในมือของปีลาต ซึ่งตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป ท่านกล่าวกับคนที่ฟังอยู่ว่า “พระเยซูซึ่ง ‘ท่านทั้งหลาย’ ได้มอบไว้แล้ว” นั่นคือ ท่านกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินคำกล่าวนี้รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และ บางคนก็อาจมีส่วนร่วมอยู่ด้วยในขณะนั้น
จากคำกล่าวของอัครทูตเปโตรนี้ ท่านได้แสดงให้เห็นถึงสถานะประการแรกของพระคริสต์ คือ ทรงเป็น “ผู้รับใช้”
คำว่า “ผู้รับใช้” เป็นคำเดียวกันที่พบในหนังสือ (อิสยาห์ 52:13)ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราจะทำอย่างมีสติปัญญาท่านจะสูงเด่นและเป็นที่เทิดทูน และท่านจะสูงนัก
การที่ท่านใช้คำนี้แสดงให้เห็นว่า คำพยากรณ์ที่ปรากฏในหนังสืออิสยาห์นั้นหมายถึงพระเยซูคริสต์ และ คำว่า “ผู้รับใช้” นี้ ไม่ได้หมายถึงการเป็นทาส แต่อิสยาห์ หมายถึง ผู้ที่จะมาทำให้เกิดการรื้อฟื้นสภาพให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา
นั่นคือ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้รับใช้ที่มาช่วยให้มนุษย์เราให้รอดด้วยการยอมรับการทนทุกข์อันเกิดจากบาปเสียเอง
ซึ่งพระเยซูได้กล่าวเองว่า พระองค์คือผู้ที่ทำให้คำพยากรณ์ในอิสยาห์นี้สำเร็จ
อิสยาห์ 53:12 ฉะนี้เราจะแบ่งส่วนหนึ่งให้ท่านกับผู้ยิ่งใหญ่และท่านจะแบ่งรางวัลกับคนแข็งแรง เพราะท่านเทวิญญาณจิตของท่านถึงความมรณะ และถูกนับเข้ากับคนทรยศ ถึงกระนั้นท่านก็แบกบาปของคนเป็นอันมาก และทำการอ้อนวอนเพื่อผู้ทรยศ
ลูกา 22:37ด้วยเราบอกท่านทั้งหลายว่า พระวจนะซึ่งเขียนไว้แล้วนั้นต้องสำเร็จในเรา คือที่ว่า ท่านถูกนับเข้ากับคนอธรรม เพราะว่าคำพยากรณ์ที่เล็งถึงเรานั้นจะสำเร็จ"
ความจริงที่เราต้องไปประกาศคือ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าที่รับสภาพมาเป็นมนุษย์เพื่อปรนนิบัติรับใช้มนุษย์ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของ ผู้รับใช้ที่สมบูรณ์แบบ
พระเยซูได้ตรัสถึงตัวของพระองค์เองใน มาระโก 10:45...เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแห่งการเป็นผู้รับใช้ที่สมบูรณ์แบบ พระเยซูทรงเป็นต้นแบบของผู้รับใช้ที่ถ่อมพระทัย ไม่ทรงถือว่าสภาพที่ทรงเป็นพระเจ้าเป็นอุปสรรค หรือ ต้องยึดถือ แต่ได้ทรงยินดีเสียสละมารับสภาพเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยไม่เพียงเท่านั้น ยังถ่อมพระทัยถึงขั้นมรณาที่ไม้กางเขน(ฟิลิปปี 2:6-8)
6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ
7แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์
8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตเป็นเหมือนพระองค์ คือ ยินดีรับใช้ผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ คนที่จะยินดีปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นได้นั้น จำเป็นต้องตายต่อตนเอง จำเป็นต้องไม่มีตัวเองเหลืออยู่ หัวใจนั้นยินดีเห็นแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ
เราเห็นแบบอย่างนี้จากอัครทูตเปาโล ก่อนนั้นชื่อว่า "เซาโล(Saul)" ซึ่งแปลว่า "ผู้ยิ่งใหญ่" ชื่อเดียวกับกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลคือซาอูล พระเจ้าได้ให้ชื่อใหม่ท่านว่า "เปาโล"(Paul) ซึ่งแปลว่า "ผู้เล็กน้อย" และ ชีวิตของท่านก็เป็นเช่นชื่อที่พระเจ้าให้ใหม่จริง ๆ ท่านมีชีวิตที่ถ่อมใจและยินดีปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่น
1โครินธ์ 9:19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น
นั่นคือ ความตั้งใจจริงของอัครทูตเปาโลที่แม้ว่า ท่านไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้บังคับของผู้ใด แต่ท่านยินดีที่จะเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อชนะใจคน เพื่อนำพระคุณความรักพระเจ้าไปถึงคนทั้งปวง
ในการปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นนั้น เราต้องตระหนักว่า เป็นการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
พระเยซูบอกว่า สิ่งที่เราทำต่อพี่น้องแม้เป็นสิ่งเล็กน้อย แต่นั่นมีคุณค่าในสายพระเนตรพระเจ้า มีค่าเท่ากับเราทำให้พระองค์เลยทีเดียว
โคโลสี 3:23 ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์
ข้อคิดคือ "การที่จะเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ ต้องมีความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง" นั่นคือการถ่อมใจ ปรนนิบัติหน้าที่ดูแลฝูงแกะของพระเจ้าด้วยความรัก เป็นภาระรับผิดชอบตามที่พระเยซูคริสต์ได้กำชับกับท่านเปโตรไว้ว่า"ถ้ารักเราก็จงเลี้ยงแกะของเรา"(ยน.21:17) ความรักนี้จึงเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข(Agape)ฉะนั้นหากมีความรักแบบนี้ หน้าที่ที่จ้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้า จึงไม่เป็นภาระหนักแต่เป็นภาระใจที่มาจากความรักที่ยินดีทำการปรนนิบัติรับใช้
ผู้เลี่ยงแกะที่ดีจึงเป็นแบบพระเยซูคริสต์ ที่มี "ใจเป็นผู้รับใช้ ไม่ใช่ผู้รับจ้าง" ไม่ทอดทิ้งแกะ
ยอห์น 10:12 ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป
2.ข้อคิดสะกิดใจ
ข้อ 14 อัครทูตเปโตรกล่าวต่อไปว่า…แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย
สถานะของพระคริสต์ ประการที่ 2 ที่อัครทูตเปโตรได้สำแดงให้เราได้รู้ คือ “องค์บริสุทธิ์และชอบธรรม” คำว่า “องค์บริสุทธิ์และชอบธรรม” เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายถึงพระมาซีฮาที่คนยิวรอคอยตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะเสด็จมา เป็นผู้ช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้น
ท่านใช้คำว่า “องค์บริสุทธิ์” ก่อนหน้านี้แล้วในบทที่ 2:27 ส่วนคำว่า “ชอบธรรม” ในที่นี้ให้ความหมายในลักษณะของการไม่มีความผิด หรือ บุคคลที่เป็นอิสระจากโทษทัณฑ์
คำนี้ใช้สำหรับอ้างถึงกฎบัญญัติ ที่แสดงถึงบุคคลที่มีความเที่ยงตรงในด้านบทบัญญัติ หรือ ผู้ซึ่งไม่สามารถเอาผิดได้
ความหมายในที่นี้ คือ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เป็นเพียงเฉพาะบุคคลที่ปราศจากความผิด แต่พระองค์ทรงรับเอาโทษทัณฑ์แห่งความผิดมาไว้ที่พระองค์
เป็นสิ่งที่เกินกว่าจะเข้าใจได้ที่คนยิวเรียกร้องให้พระมาซีฮาที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะเสด็จมาเพื่อช่วยกู้พวกเขา ต้องถูกปลงพระชนม์
มาระโก 15:6-15 ได้บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนว่า พระคริสต์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม พระองค์ไม่มีตำหนิ ไม่มีความผิดและทรงบริสุทธิ์ แต่พวกยิวก็ตรึงพระคริสต์โดยใช้ประชามติของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบพระองค์
เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในการรับโทษทัณฑ์แห่งความผิดนี้ พระคริสต์ทรงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยปราศจากข้อพิสูจน์(มธ.26:59)
สาระสำคัญคือ พระคริสต์ผู้ทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม พระองค์ยอมตายเพื่อชำระบาปแก่เรา
1เปโตร 3:18 ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์
ขอให้เรานำชีวิตเข้ามาพึ่งพาพระคุณของพระเจ้า พระองค์พร้อมเสมอที่จะช่วยผู้ที่สำนึกผิดและต้องการเริ่มต้นใหม่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ต่อแต่นี้ไป เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้ จะทำบาปต่อไปได้อย่างสบายใจเพราะอย่างไรเดี๋ยวก็มาแสวงหาขอการยกโทษบาปจากพระเจ้าได้ อัครทูตเปาโลบอกใน โรม 6:1-2 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย …
เพราะพระคริสต์ผู้ทรงบริสุทธิ์และชอบธรรมทรงยอมรับโทษทัณฑ์แห่งบาปเพื่อเรา
เราจึงสมควรดำเนินชีวิตที่ตอบสนองพระคุณของพระเจ้า โดยดำเนินชีวิตอยู่ในความบริสุทธิ์ และ ชอบธรรม นั่นคือ สภาวะชีวิตคริสเตียนที่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง คือ การตายต่อบาป
ให้วันนี้เราตั้งใจที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในความบริสุทธิ์และชอบธรรม
คริสเตียนจำนวนมากมายที่ยังไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ในความบริสุทธิ์ เพราะขาดการตระหนักถึงพระเจ้าอย่างครบถ้วน ดังนั้น "ความรู้จึงทำให้หยิ่ง ความจริงจึงทำให้ตระหนัก และความรักของพระเจ้าทำให้เรากลับใจใหม่" ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความจริงที่พระองค์สำแดงแก่เราทำให้เราได้ตื่นตระหนัก และดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังในทางชอบธรรมของพระองค์
ความจริงอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องประกาศนั่นคือ "พระคริสต์ทรงเป็นเจ้าชีวิต"
อัครทูตเปโตรได้กล่าวต่อไปใน ข้อ 15-16 ว่า
จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้
โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น
คำว่า “เจ้าชีวิต” เป็นคำที่ใช้เกี่ยวกับผู้นำในทางทหาร หรือ ผู้บังคับการเรือ
เช่น ใน ฮีบรู 2:10 แปลว่า “กัปตัน” หรือ “ผู้บุกเบิกทาง”พระคริสต์ทรงเป็นผู้นำทางแห่งความรอด หรือ ให้ความหมายในลักษณะทรงเป็นผู้นำ ผู้บุกเบิก ผู้นำทาง ซึ่งความหมายนี้พบใน ฮีบรู 12:2 หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความรื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์ ทรงถือว่าความละอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ได้ประทับ ณ เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า
ดังนั้น คำว่า “เจ้าชีวิต” จึงให้ความหมายที่ลึกซึ้งมาก พระคริสต์ทรงเป็นทั้งแหล่งแห่งชีวิต เป็นผู้นำในชีวิต เป็นผู้บุกเบิกทางที่นำไปสู่ชัยชนะในชีวิต
ยน.1:4 บอกชัดเจนว่า ..พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต…
1คร.15:45 กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันโดยเปรียบเทียบ พระคริสต์ว่าเป็นอาดัมที่มาภายหลังว่า…มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์คนเดิมคืออาดัม จึงเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่แต่อาดัมผู้ซึ่งมาภายหลังนั้นเป็นวิญญาณผู้ประสาทชีวิต
พระคริสต์เป็นผู้บุกเบิกทางแห่งชีวิต พระองค์เป็นกัปตันที่นำชีวิตของเราไปสู่ชัยชนะ
ชีวิตที่พระคริสต์มีให้เราเป็นชีวิตที่ครบถ้วน เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์
ยน.10:28 พระเยซูบอกว่า พระองค์เป็นผู้ให้ชีวิตนิรันดร์แก่ เราทั้งหลาย โดยให้ภาพของผู้เลี้ยงที่ปกป้องแกะไว้ให้รอดพ้นจากภัยอันตราย
ยน.14:6"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา"
ไม่มีใครในโลกนี้ที่กล้ากล่าวยืนยันแบบนี้ เราจึงต้องติดตามพระคริสต์ผู้เป็นเจ้าชีวิตของเราอย่าง เข้มแข็ง พระองค์เป็นทางเดียว ทางอื่นไม่มีพระองค์เป็นคำตอบเดียว และ เป็นคำตอบสุดท้ายที่มนุษย์มากมายไขว่คว้า บ้างก็พบแล้ว บ้างก็ยังไม่พบ บ้างก็ปฏิเสธพระองค์ไปอย่างน่าเสียดาย
อัครทูตเปโตรบอกว่า คนยิวทำในสิ่งที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวง โดย…ฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้ ท่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่า พระคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ความตายหาได้ชนะพระองค์ไม่ !
ในหนังสือกิจการฯ ที่ผู้เขียน คือ นายแพทย์ลูกาได้บันทึกไว้ว่า การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์นั้นมีพยานบุคคลมากมายที่ยังมีชีวิตในขณะนั้น
กจ.1:22 …คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์นจนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์
ขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องเป็นพยานกับเราว่า "พระองค์ได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว"
กจ.2:32พระเยซูนี้พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้คืนพระชนม์แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้ (กจ.10:40-41,13:30-31)
ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ! นี่คือ ชัยชนะของพระคริสต์ผู้เป็นเจ้าชีวิต ผู้ทรงเป็นผู้นำ ผู้เบิกทาง ผู้บุกเบิก ผู้นำหน้าชีวิต พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์มีชัยชนะเหนือความตาย แม้ว่าพวกยิวพยายามจะทำลายพระคริสต์ด้วยการมอบพระองค์ไว้กับความตาย แต่พระเจ้าได้ทำให้การตัดสินพิพากษาจัดการอันผิดพลาดของมนุษย์ที่ทำต่อพระองค์ต้องถูกทำลายไป ด้วยการเป็นขึ้นมาจากความตาย นี่คือ ชัยชนะของพระคริสต์ผู้เป็นเจ้าชีวิต
คำถามที่เราควรจะมาใคร่ครวญในวันนี้คือ (สามารถประยุกต์คำถามตามความเหมาะสมได้)
1.ในวันนี้ เราเป็นผู้รับใช้แบบพระเจ้าที่พอพระทัยหรือไม่ หากคิดว่า "ไม่" มีสิ่งใดที่เราจะปรับปรุงตัวอขงเราเอง?
2.ในพระนามของพระคริสต์ มีสิ่งใดบ้างที่เราต้องการได้รับการอวยพรจากพระองค์ ให้เราอธิษฐานขอการอวยพรจากพระองค์?
3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้
อัครทูตเปโตรสรุปลงท้ายใน ข้อ 16 เชื่อมต่อกับเหตุการณ์อันอัศจรรย์ที่คนยิวที่ห้อมล้อมฟังคำกล่าวของท่านว่า …โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้นคือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย
คำกล่าวที่ว่า “ในพระนาม” เป็นวิธีที่ถูกใช้ในภาษาฮีบรู โดยเฉพาะเมื่ออ้างถึงพระเจ้า เช่น
กจ.4:12ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า"
พระนามของพระเยซูพระคริสต์ แสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจแห่งพระนามนั้นที่ได้ทำให้ชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิดนั้นเดินได้อย่างอัศจรรย์ !
โดยความเชื่อที่เปโตรและยอห์นตอบสนองต่อการทรงนำของ พระเจ้าอย่างไม่สงสัยนี่เอง ที่ทำให้ชายคนนี้ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า
คำว่า “หายเป็นปกติ” นี้ ไม่ปรากฏในที่อื่น ๆ ในพันธสัญาใหม่ ซึ่งในภาษาเดิมให้ความหมายว่า เป็นความสมบูรณ์ ปราศจากข้อบกพร่อง
ซึ่งในที่นี้หมายถึงว่าชายที่ป่วยเป็นง่อยแต่กำเนิดนั้นได้หายเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ อย่างแท้จริง ขาของเขาซึ่งเป็นง่อย ไม่มีกำลัง ไม่เคยเดินได้มาก่อนเลยในชีวิต บัดนี้ได้รับการรักษาให้หายอย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
นั่นคือ ผลที่ตามมาของการตอบสนองของเปโตรและยอห์นที่ทำตามการทรงนำของพระเจ้าให้ทำการอัศจรรย์
ซึ่งเป็นเหตุให้ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ถูกประกาศออกไปได้ เพราะใจของคนเปิดเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ข้อสรุปสำหรับการประกาศความจริงเรื่องพระคริสต์คือโดยสำแดงให้เห็นสถานะของพระคริสต์ 3 ประการ คือ
1.พระคริสต์เป็นผู้รับใช้
2.พระคริสต์เป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม
3.พระคริสต์เป็นเจ้าชีวิต
ในวันนี้เราจึงต้องออกไปสำแดงถึงความจริงในเรื่องนี้ ให้โลกได้รับรู้!
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น