ศึกษาพระธรรมกิจการของอัครทูต
คริสตจักร “ต้นแบบ” ตามพระบัญชา
กิจการของอัครทูต 3:17-26คริสตจักร “ต้นแบบ” ตามพระบัญชา
17 "พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายได้ทำการนั้น เพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร ทั้งคณะผู้ครอบครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย
18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น
19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า
20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระคริสต์ซึ่งกำหนดไว้แล้วนั้นมาเพื่อท่านทั้งหลายคือพระเยซู
21 พระองค์นั้นสวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระ เมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ โดยปากบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่กาลโบราณมา
22 โมเสสได้กล่าวไว้ว่า "พระเจ้าของท่านทั้งหลาย จะทรงโปรดประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์จะได้ตรัสแก่ท่าน
23 ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่เชื่อฟังผู้เผยพระวจนะผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากชนชาติของพระเจ้า
24 และบรรดาผู้เผยพระวจนะ ตั้งแต่ซามูเอลเป็นลำดับมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน พยากรณ์ถึงกาลครั้งนั้น
25 ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะนั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของท่าน คือได้ตรัสกับอับราฮัมว่า "บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า
26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ทุกคนกลับจากบาปของตน"
อารัมภบท
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เราได้ทำการศึกษาพระธรรมกิจการฯอย่างต่อเนื่องกันมาหลายสัปดาห์แล้ว ครั้งที่แล้วเป็นเรื่อง "ประกาศความจริงเรื่องพระคริสต์" ในครั้งนี้เป็นตอนที่ 9 แล้วขอตั้งชื่อว่า "ตอบสนองต่อความจริงเรื่องพระคริสต์" เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากครั้งก่อนอัครทูตเปโตรได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นผู้ใดแล้ว เราควรตอบสนองอย่างไรบ้างและ จะได้รับผลอย่างไรตามมา เมื่อท่านได้กล่าวจบลงว่า พระคริสต์ คือ ผู้ใด คือ ทรงเป็นผู้รับใช้ เป็นองค์บริสุทธิ์ชอบธรรมและเป็นเจ้าชีวิต เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว เราทุกคนจำเป็นต้องตอบสนอง เพื่อจะเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตทันที การตอบสนองคือการกลับใจใหม่หันกลับจากวิถีชีวิตแบบเดิมที่อยู่ในความบาป แล้วมาพึ่งพาพระเยซูคริสต์ ในข้อ 19 กล่าวว่า "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงล้าง..."คำว่า “จงหันกลับ” ความหมายในภาษาเดิมแสดงถึงความรู้สึกที่เสียใจในความผิดพลาดในอดีต โดยมีความตั้งใจอย่างจริงใจที่จะหันจากการละเมิดและ มีชีวิตที่บริสุทธิ์ ซึ่งบริบทในที่นี้พูดถึงคนยิวที่ได้ตัดสินใจผิดพลาดมอบพระเยซูคริสต์ไว้แก่ความตายโดยนำไปตรึงที่ไม้กางเขน คำว่า “จงหันกลับ” จึงหมายถึง เมื่อได้รู้ความจริงว่า พระเยซูคริสต์ คือ พระมาซีฮา จิตใจที่คิดผิด การตัดสินใจที่ผิดนั้นต้องรับการเปลี่ยนแปลง “จงหันกลับ” จึงหมายถึง จิตใจภายในต้องรู้สึกเสียใจต่อความผิดบาปที่ได้ทำลงไปนั้น คำว่า “จงหันกลับ” ในบทที่ 3:19 เป็นคำเดียวกันที่อัครทูตเปโตรได้ใช้ก่อนหน้านี้ใน บทที่ 2:38 คือ คำว่า “จงกลับใจใหม่”
ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า"จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคนเพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย..."
ส่วนคำว่า “ตั้งใจใหม่” ความหมายในภาษาเดิมหมายถึง การหันกลับจากทางที่ได้ผิดพลาดไป เช่น การหันกลับจากวิถีทางแห่งความผิดบาป หรือ ละทิ้งบาป คำนี้มักใช้ในกรณีการหันกลับมาหาพระเจ้า เช่น (1ธส1:9)ดังนั้น ความหมายของคำนี้คือเสียใจและหันกลับจากบาปแต่เป็นการหันกลับมาหาพระเจ้า สิ่งที่เป็นการตอบสนองต่อความจริงเรื่องพระคริสต์มีผลเป็นอย่างไร เราจะมาพิจารณาร่วมกันดังนี้
1.ข้อสังเกตเพื่อใคร่ครวญ
19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า
ผลประการแรกคือการ“ได้รับการลบล้างความผิดบาป” นี่คือ พระสัญญาของพระเจ้า ความผิดบาปจะได้รับการลบล้างจนหมดสิ้น พระเจ้าจะทรงอภัยโทษบาปของเรา พระองค์สัญญาไว้มากมาย เช่น …อสย.43:25 บอกว่า "ไม่จดจำบาปนั้นเลย" อสย.44:22 บอกว่า "ลบล้างบาปเหมือนเมฆหมอกที่จางหายไป" อสย.1:8 พระเจ้าได้ท้าทายว่า ไม่มีบาปใดที่พระเจ้าลบไม่ได้ นี่คือ ฤทธิ์อำนาจแห่งการอภัยโทษบาปผ่านทางพระคริสต์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ที่บนไม้กางเขนเพื่อเรา จงเชื่อในฤทธิ์อำนาจนี้ที่มีในพระโลหิตของพระคริสต์
ไม่มีบาปใดที่ใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะอภัยโทษให้ไม่ได้ ไม่มีใครปรักปรำได้อีกต่อไป ถ้าเราพาชีวิตเข้ามาซ่อนอยู่ภายใต้พระคุณที่กางเขนของพระคริสต์ พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจโดยสมบูรณ์ที่จะประทานชีวิตใหม่ให้แก่เราได้ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องจมปลักอยู่ในบาปอีกต่อไป ลุกขึ้นรับชัยชนะแห่งไม้กางเขนของพระคริสต์เถิด เมื่อเรากลับใจจากความผิดบาป หันกลับมาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราจะได้รับการลบล้างบาปผิดจนหมดสิ้น ถ้าเชื่อจงสารภาพการอธรรมทั้งสิ้นในชีวิต 1ยน.1:9 บอกว่า "พระเจ้าทรงเที่ยงธรรม พระองค์จะทรงยกโทษความบาปจนหมดสิ้น"
2.ข้อคิดสะกิดใจ
19 หตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า
20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระคริสต์ซึ่งกำหนดไว้แล้วนั้นมาเพื่อท่านทั้งหลายคือพระเยซู
21 พระองค์นั้นสวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระ เมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ โดยปากบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่กาลโบราณมา
22โมเสสได้กล่าวไว้ว่า "พระเจ้าของท่านทั้งหลาย จะทรงโปรดประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์จะได้ตรัสแก่ท่าน
คำว่า “วาระพักผ่อนหย่อนใจ” หมายถึงสภาวะที่เกิดจากการมีพระเจ้าเป็นผู้นำ เป็นสภาวะที่อยู่ในการปกครองดูแลของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแห่งพระคุณของพระเจ้า เป็นสภาวะที่อยู่ในแวดวงแห่งพระพรซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ผู้เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสันติสุข ความรัก ความชื่นชมยินดี และเป็นสภาวะที่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
วาระพักผ่อนหย่อนใจนี้ เป็นคำที่ถูกใช้อธิบายในยุคสมัยพระกิตติคุณ หรือ พันธสัญญาใหม่ เป็นเวลาของพระมาซีฮาที่นำการพักสงบ อิสรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง
และ วาระพักผ่อนหย่อนใจนี้ ผู้คนมากมาย ณ ที่แห่งนี้ได้รับแล้ว เราจึงได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ แม้อยู่ท่ามกลางปัญหามากมายเป็นสันติสุขที่เกินความเข้าใจ เป็นสันติสุขที่โลกไม่อาจให้ได้
ยน.14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย
คริสเตียนไม่ใช่คนผิดปกติ แต่เป็นคนปกติที่เกินธรรมดา คือ สามารถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก
อสย.28:12 คือแก่บรรดาผู้ที่พระองค์ตรัสว่า "นี่คือการหยุดพัก จงให้การหยุดพัก
แก่คนเหน็ดเหนื่อย และนี่คือการพักผ่อน"
นั่นคือ สภาพของคนในสมัยนั้นได้รับสภาวะพักสงบก่อนยุคพระกิตติคุณ เป็นการพักสงบจากศัตรู พักสงบจากสิ่งเลวร้าย พักสงบจากศึกสงครามที่ทำให้หนักใจ ได้มาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และมีสันติ ด้วยภายใต้ความคิดที่ว่า เป็นเวลาแห่งความสุขเมื่อพระมาซีฮาเสด็จมา อัครทูตเปโตรได้หยิบยกขึ้นมากล่าวกับคนยิวในเวลานั้น ยืนยันว่า พวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและสันติสุข วาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มา…จึงไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของอนาคตที่คนยิวรอคอยวันที่พระมาซีฮาจะเสด็จมา แต่บัดนี้พระองค์ได้เสด็จมาแล้ว และพวกเขาก็ได้ตัดสินลงโทษไปเรียบร้อยแล้วด้วย
พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และเสด็จขึ้นสวรรค์ ประทานสันติสุข และ วาระพักผ่อนหย่อนใจมาให้แก่ทุกคนที่เชื่อ ส่วนที่บอกว่า วาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มานั้นจากพระพักตร์พระเจ้า …แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ด้วยพระองค์เอง
ข้อ 20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระคริสต์ซึ่งกำหนดไว้แล้วนั้น มาเพื่อท่านทั้งหลายคือพระเยซู นั่นคือ คำกล่าวที่แสดงพระประสงค์พระเจ้าที่ต้องการชักนำคนอิสราเอล ให้กลับคืนมาหาพระมาซีฮา เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการนำความรอดมาสู่อิสราเอล
รม.11:26 และเมื่อเป็นดังนั้นพวกอิสราเอลทั้งปวงก็จะได้รับความรอด ตามที่มี คำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาจากเมืองศิโยน และจะทรงกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไปจากยาโคบ
พระคุณของพระเจ้านั้น ไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่อิสราเอล พระเจ้ามีแผนการแห่งความรอดสำหรับมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา พระองค์ทรงเลือกอิสราเอลออกมาเป็นชนชาติเฉพาะเพื่อประกาศพระบารมีของพระองค์ เพื่อเป็นตัวแทนที่สำแดงสง่าราศีขอพระเจ้า
สิ่งที่อัครทูตเปโตรพยายามขอคนยิวในเวลานั้นให้ยอมรับการช่วยให้รอดจากพระคริสต์ ซึ่งพระองค์มาในแผนการของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระมาซีฮา พระองค์เสด็จมาเพื่อสั่งสอนประชากรของพระองค์ เพื่อไถ่พวกเขา เพื่อช่วยพวกเขาให้รอด เพื่อพิพากษาโลกนี้ เพื่อรวบรวมประชากรของพระองค์ และ เพื่อพิพากษาสิ่งที่เลวร้าย
นี่คือ เหตุผลที่ว่า พวกเขาต้องกลับใจจากความผิดบาป และหันกลับมาหาพระเจ้าเสีย เพื่อจะรอดพ้นจากการพิพากษา
21 พระองค์นั้นสวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ โดยปากบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่กาลโบราณมา
บทบาทของพระคริสต์ที่ทรงเป็นมหาปุโรหิตที่เป็นผู้กลางนำ เราเข้าเฝ้าพระเจ้าได้สงบนิรันดร์ ฮบ.9:24 เพราะว่าพระคริสต์ไม่ได้เสด็จเข้าในสถานศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสร้างขึ้นด้วยมือ
มนุษย์ อันเป็นแบบจำลองจากของจริง แต่พระองค์ได้เสด็จไปสวรรค์นั้น เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย
นี่คือสิ่งที่น่าสังเกตจากกจ.3:21 คือ คำว่า "สวรรค์ต้องรับไว้" อัครทูตเปโตรไม่ได้อ้างเนื้อหาจากพระคัมภีร์เดิม แต่คำนี้ให้ความคิดเกี่ยวกับการถูกยกขึ้น และ สิทธิอำนาจ
1 ปต.3:22 พระองค์เสด็จสู่สวรรค์และทรงสถิตอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
แล้วมีพวกทูตสวรรค์และศักดิเทพ และอิทธิเทพ ทั้งหลายอยู่ใต้ อำนาจของพระองค์ทั้งสิ้น
คำว่า “จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่” เป็นคำที่มาจากคำที่ให้ความหมายว่า รื้อฟื้นให้มีสภาพที่สภาพที่ดี สร้างขึ้นใหม่ให้คืนสภาพดี หรือ รักษาให้หายดี
สิ่งอัครทูตที่เปโตรปรารถนาที่จะสำแดงให้พวกยิวที่ยืนฟังท่านอยู่นั้นได้รู้ และ ยึดมั่นคำพยากรณ์นี้ไว้อย่างแท้จริง เพื่อจะได้รับการลบล้างความผิดและได้พักสงบทั้งในปัจจุบันกาล และ นิรันดรกาลด้วย
คำถามที่เราจะใคร่ครวญร่วมกันดังนี้
การพักสงบในพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด และเราเรียนรู้สิ่งใดจากการพักสงบในพระองค์?
3.ข้อสรุปเพื่อการประยุกต์ใช้
จากการศึกษามาตั้งแต่ข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า เมื่อเรากลับใจใหม่ หันกลับมาหาพระเจ้า เราจะได้เข้ามาพักสงบในพระองค์ และสิ่งที่สำคัญต่อไปคือ หากตอบสนองอย่างถูกต้อง คือการ “ได้รับพระพร” พบใน ข้อ 25 –26
25 ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะนั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของท่าน คือได้ตรัสกับอับราฮัมว่า "บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า
26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ทุกคนกลับจากบาปของตน"
อัครทูตเปโตรพูดอย่างเจาะจงกับคนยิวที่ยืนฟังท่านอยู่นั้นว่า พวกเขาเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะ และ ของพันธสัญญาพระเจ้าที่พระเจ้ากระทำกับอับราฮัม
พระเจ้าได้กำหนดคนยิวให้รับพระพรผ่านทางอับราฮัมซึ่งคนยิว ถือว่าเป็นบิดาแห่งชนชาติของพวกเขา
"บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า” นี่คือ พันธสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับอับราฮัม ซึ่งพระพรแห่งพันธสัญญานี้ได้สำเร็จผ่านทาง “พระเยซูคริสต์” ซึ่งทรงรับสภาพเป็นมนุษย์ผ่านทางเชื้อสายของอับราฮัม คือ คนอิสราเอล นั่นเอง
กท.3:16 บรรดาพระสัญญาที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น
มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคนแต่เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่านซึ่งเป็นพระคริสต์
ในข้อ 26 เปโตรสรุปคำเทศนาลงท้ายว่า ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลายโดยให้ทุกคนกลับจากบาปของตน"
ดังนั้นการตอบสนองคือ เมื่อรู้ความจริงเกี่ยวกับพระคริสต์ที่นำมาซึ่งพระพร พระเจ้าทรงให้พระคริสต์มายังคนยิวก่อนเมื่อทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการประทานพระพรให้แก่คนยิวแต่คนยิวมักเข้าใจผิดคิดว่า ตนเป็นลูกหลานของอับราฮัม พระสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมจึงมาถึงตนเองด้วย พระเยซูได้กล่าวแก้ความเข้าใจผิดนั้นอย่างชัดเจนใน ลก 3:8ว่า...เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา...
เงื่อนไขที่แท้จริงของการได้รับพระพรที่พระเจ้าสัญญาไว้กับอับราฮัม คือ การเป็นลูกหลานของอับราฮัม คือ ต้องพิสูจน์ชีวิตการกลับใจด้วยผลที่เกิดขึ้น
ฉะนั้น หากเรากลับใจจากความผิดบาป หันกลับมาหาพระเจ้า และ เชื่อฟังพระคริสต์
เราทั้งหลายเป็นลูกหลานของอับราฮัมทางความเชื่อ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขเราจึงเป็นทายาทที่มีสิทธิรับพระพรนี้โดยชอบธรรม เราจึงต้องดำเนินชีวิตโดยการสำแดงออกเป็นการกระทำ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดที่พระเจ้าประทานให้กับชนชาติยิวผ่านทางเชื้อสายของอับราฮัม พระพรจึงส่งผ่านมาถึงเราทั้งหลายที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์จึงเป็นดั่งการต่อเชื่อมกันโดยยิวเป็นรากของพระพร(รม.9-11)และเราทั้งหลายเป็นกิ่งที่ได้รับพระพรจากรากด้วยเช่นกัน เราจึงมีสันติสุขและพักสงบได้ในความเชื่อในพระคริสต์ร่วมกัน
สรรเสริญพระเจ้า! พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น