ยุคสุดท้ายไม่ใช่อนาคตของพวกเรา โดย Haiyong Kavilar
เมื่อกล่าวถึงคำว่า
“ยุคสุดท้าย” บางคนก็นึกถึง ภัยพิบัติและความทุกขเวทนาต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่ว่าคำว่า “ยุคสุดท้าย” ในพระคัมภีร์มีความหมายว่าอย่างไร? ใช่อนาคตของพวกเราหรือไม่? ในมุมมองแบบอนาคตมืดมนมองว่า ยุคสุดท้าย หมายถึงอนาคตของพวกเรา
อัครทูตในพระคัมภีร์เชื่อว่ายุคสมัยของเขาคือ
“ยุคสุดท้าย”
ในพระคัมภีร์
ดูเหมือนว่าอัครทูตที่เขียนพันธสัญญาใหม่ต่างก็มีความเชื่อว่าพวกเขาอยู่ในยุคสุดท้ายหรือในวาระสุดท้ายแล้ว
ขณะที่เปโตรเริ่มจะเทศนาในวันเพนเทคอส
เขาได้กล่าวว่า
(กิจการ 2:16-17)
แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด
บุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะ
คำว่าวาระสุดท้ายนี้ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Last Days ที่แปลว่าวันสุดท้าย
นี่หมายความว่าเปโตรเข้าใจว่าตัวเขาเองกำลังอยู่ในยุคสุดท้าย
ซึ่งไม่ใช่แค่เปโตรเท่านั้นที่เข้าใจอย่างนี้ แม้แต่เปาโล ยากอบ
กับยอห์นก็เข้าใจแบบนี้
(1 โครินธ์ 10:11) เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง
และได้เขียนไว้เพื่อเตือนสติเราผู้ซึ่งมาถึงวาระสุดท้ายของยุคนี้แล้ว
(ยากอบ 5:3) ท่านสะสมสมบัติไว้สำหรับวาระสุดท้าย
(1 ยอห์น 2:18) ลูกทั้งหลายเอ๋ย
บัดนี้เป็นวาระสุดท้าย[Last Hour]แล้ว
จดหมายยอห์นเป็นจดหมายที่เขียนในช่วงเวลาท้ายๆของพระคัมภีร์
โดยคำว่าวาระสุดท้ายในภาษาอังกฤษที่ปรากฏในหนังสือยอห์นจะใช้คำว่า Last Hour หรือ “ชั่วโมงสุดท้าย” ซึ่งเป็นการใช้คำที่แตกต่างจากจดหมายของอัครทูตคนอื่นที่ใช้เพียงคำว่า
Last Days ที่แปลว่า “วันสุดท้าย” นั่นหมายความว่าอัครทูตที่เขียนพระคัมภีร์นั้น
ในช่วงแรกๆพวกเขาต่างเชื่อว่าตนเองกำลังอยู่วันสุดท้ายของยุคแล้ว
แต่พอวันเวลาผ่านไปจนถึงสมัยของยอห์น
พวกเขาก็เชื่อว่าตนเองกำลังอยู่ในชั่วโมงสุดท้ายแล้ว
แนวทางการตีความคำว่า “ยุคสุดท้าย”
เป็นที่แน่นอนว่า
ผู้เขียนพระคัมภีร์ต่างเชื่อว่าตนเองกำลังอยู่ในยุคสุดท้าย
แต่คำว่ายุคสุดท้ายนั้นหมายความว่าอะไร? และยุคสุดท้ายกินเวลานานขนาดไหน?
มีแนวคิดหนึ่งที่สอนว่ายุคสุดท้ายเริ่มต้นตั้งแต่วันเพนเทคอสและจะยืดยาวจนถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซู
แต่เมื่อพิจารณาแนวคิดนี้อย่างจริงจัง
แนวคิดนี้จะดูเหมือนจะขัดกับอารมณ์ความรู้สึกของยอห์นที่เชื่อว่าตนกำลังอยู่ในชั่วโมงสุดท้ายแล้ว
เป็นการดีที่จะพิจารณาถึงความหมายของคำว่า
“ยุคสุดท้าย” เป็นไปได้ไหมที่คำว่ายุคสุดท้ายจะไม่ได้หมายถึงจุดจบของโลก
แต่หมายถึงจุดจบของพันธสัญญญาเดิม
เมื่อพระเยซูตายบนไม้กางเขน
พันธสัญญาใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น
ส่วนพันธสัญญาเดิมที่มีการถวายเครื่องบูชาก็เป็นอันยุติ
จริงอยู่ที่ว่าการตายบนไม้กางเขนของพระเยซู จะเป็นการยุติพันธสัญญาเดิม
แต่โดยกางเขน พันธสัญญาเดิมก็ยังไม่ยุติอย่างบริบูรณ์ เพราะพระวิหารซึ่งเป็นสถานที่ของการถวายสัตวบูชาของพันธสัญญาเดิมยังคงตั้งอยู่
ในพันธสัญญาเดิม
พระวิหารนับเป็นศูนย์รวมจิตใจสำคัญของผู้คน ทว่าในพันธสัญญาใหม่
คริสตจักรได้กลายมาเป็นพระวิหารของพระเจ้า
พระวิหารที่เป็นอาคารสถานที่จึงไม่จำเป็นต้องมีอีก แม้ว่าพันธสัญญาเดิมจะสิ้นสุดลงแล้วที่กางเขน
แต่พระวิหารในเยรูซาเล็มก็ยังมีอยู่ ทว่าในปี คศ.70 (40 ปี หลังการตายของพระเยซู)
พระวิหารในเยรูซาเล็มก็ถูกทำลาย
พันธสัญญาเดิมที่มีพระวิหารเป็นสัญลักษณ์สำคัญก็ได้ปิดฉากลงอย่างบริบูรณ์
สรุปแล้วผมต้องการจะสื่อว่า
คำว่า “ยุคสุดท้าย” ในพระคัมภีร์ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของโลก
แต่หมายถึงการสิ้นสุดของพันธสัญญาเดิมซึ่งสิ้นสุดลงอย่างบริบูรณ์เมื่อพระวิหารถูกทำลายในปี
คศ.70 เมื่ออัครทูตในพระคัมภีร์กล่าวว่าตนเองกำลังอยู่ในวาระสุดท้าย
พวกเขากำลังสื่อว่าพวกเขากำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของพันธสัญญาเดิม
พวกเขากำลังอยู่ในวาระที่ว่าอีกไม่นานพระวิหารในเยรูซาเล็มจะถูกทำลายและเมื่อพระวิหารในเยรูซาเล็มถูกทำลาย
วาระสุดท้ายหรือยุคสุดท้ายก็ได้ผ่านพ้นไป
ในพระคัมภีร์ได้กล่าวพยากรณ์ไว้ว่าในช่วงยุคสุดท้าย
หัวใจของผู้คนจะเสื่อมทราม ซึ่งถ้าดูจากประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่า ในช่วงก่อนปี
คศ.70 ก็เกิดความเสื่อมทรามกับผู้คนโดยเฉพาะในเยรูซาเล็ม
ตามบันทึกประวัติศาสตร์ว่ากันว่า ขณะที่กองทัพโรมกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มในช่วงปี
คศ.70 นั้น ความรักของผู้คนในเยรูซาเล็มก็เยือกเย็นลงมากและการกันดารอาหารก็เกิดขึ้น
ความกันดารอาหารนี้รุนแรงถึงขนาดที่ว่าพ่อแม่ต้องฆ่าทารกที่เป็นบุตรของตนเพื่อนำมาต้มกิน
ถ้าเราตีความว่า
ยุคสุดท้ายหมายถึงอนาคตพวกเรา
การตีความแบบนี้ก็จะสร้างความคาดหวังของอนาคตแบบมืดมน
โดยจะเชื่อว่าในอนาคตหัวใจของผู้คนจะต่ำทรามลง แต่ถ้าเราตีความว่า
ยุคสุดท้ายหมายถึงช่วงปี คศ.70 การตีความแบบนี้ก็จะสร้างความคาดหวังที่สดใสขึ้น
เพราะการตีความนี้มองว่าความมืดมนหรือความต่ำทรามได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงไปแล้วในช่วงปี
คศ.70
(1 ทิโมธี 3:1-6) แต่จงเข้าใจข้อนี้คือ
วาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว เพราะผู้คนจะเห็นแก่ตัว รักเงินทอง โอ้อวด
หยิ่งยโส ชอบดูหมิ่น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ชั่วร้าย ไร้มนุษยธรรม
ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ
โอหัง รักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า ยึดถือทางพระเจ้าแต่เพียงเปลือกนอก
แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้น จงอย่าเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น
เพราะในพวกนั้นมีบางคนที่แอบไปตามบ้าน
แล้วครอบงำบรรดาผู้หญิงเบาปัญญาที่หนาด้วยบาปและหลงใหลไปตามตัณหาต่างๆ
หากเราตีความข้อพระคัมภีร์นี้ตามมุมมองแบบอนาคตมืดมน(มุมมองที่มองว่ายุคสุดท้ายคืออนาคตของพวกเรา)
ก็จะมองว่าในอนาคต ผู้คนจะเลวทรามลงไปเรื่อยๆ แต่หากเราตีความตามมุมมองแบบอดีตมืดมนบางส่วน(มุมมองที่มองว่ายุคสุดท้ายคือช่วงปี
คศ.70) ก็จะมองว่าความเลวทรามอย่างนี้
เกิดขึ้นในช่วงก่อนพระวิหารจะถูกทำลายในปีคศ.70 เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงอนาคตของพวกเรา
เพราะตัวเปาโลเองก็เข้าใจว่าตัวเขากำลังอยู่ในวาระสุดท้าย
ซึ่งวาระสุดท้ายนี้หมายถึงวาระที่พันธสัญญาเดิมกำลังจะสิ้นสุดอย่างบริบูรณ์
สรุป
ยุคสุดท้ายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในช่วงปีคศ.70
ดังนั้นคำพยากรณ์ที่บอกว่าในวาระสุดท้ายคนจะเสื่อมทรามลงนั้น
หมายถึงเฉพาะช่วงปีคศ.70 เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงอนาคตของพวกเราแต่อย่างใด
เวลาที่เราเห็นความเสื่อมทรามของอาชญากรในข่าว
เราไม่ควรจะผูกอาชญากรเหล่านั้นเข้ากับข้อพระคัมภีร์เหล่านี้
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกัน หากเราสำรวจข้อมูลทางสังคมวิทยา
เราอาจพบว่าสังคมไม่ได้เสื่อมทรามลง แต่กำลังดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะอาณาจักรพระเจ้ากำลังแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดินโลก
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ Victorious
Eschatology เขียนโดย Harold Eberle และ Martin
Trench
หนังสือ Understanding
the Whole Bible เขียนโดย Jonathan Welton
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น