22 กุมภาพันธ์ 2560

เจาะลึกพระคัมภีร์เกี่ยวกับการสอนเรื่องการรักษาโรค

เจาะลึกพระคัมภีร์เกี่ยวกับการสอนเรื่องการรักษาโรค(Approaching the Bible’s Teaching on Healing) 
โดย แดน จัสเตอร์(Dan Juster)
ในปี 1980 อาเชอร์และผมได้ศึกษาในหัวข้อเรื่องการรักษาโรคกันอย่างเข้มข้นโดยศึกษาจากอาจารย์ที่โดดเด่นที่สุดในสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับการรักษา  เราเองนั้นได้เห็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ มีการรักษาที่เด่นชัดแต่ก็ยังมีบางความเจ็บป่วยที่น่าผิดหวังมาก ซึ่งในที่สุดก็จบลงด้วยความตาย
เพื่อนสนิทของเรา ดร. ไมเคิล บราวน์ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่สุดในเรื่องของการรักษาตามอย่างพระคัมภีร์ไบเบิล เขาได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในการทำวิทยานิพนธ์ของเขาเกี่ยวกับการรักษาโรคในพระคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งต่อมานี้ถูกจัดให้เป็นหนังสือที่สำคัญ โดยมีชื่อว่า "การรักษาโรคจากพระเจ้าของชาวอิสราเอล"
นี่คือมุมมองทั่วๆไป 3 ประการในการรักษาโรค:
 1. ในขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันพื้นฐานของเราซึ่งมาจากพระเจ้านั้นได้นำการรักษาและเป็นของขวัญจากพระเจ้า  การหายโรคอย่างอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ และปรากฏการณ์สร้างสรรค์อวัยวะใหม่และการฟื้นฟูร่างกายอย่างเหนื่อธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นน้อยมาก    เราสามารถและควรจะอธิษฐานขอให้การอัศจรรย์ดังกล่าว เกิดขึ้น  แต่ในหลักการทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นชีวิตของผู้เชื่อหรือผู้ไม่เชื่อก็ตามโรคภัยไข้เจ็บก็จะให้ผลลัพท์ออกมาอย่างเดียวกันเพราะนี่เป็นผลมาจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาปและนี่คือมุมมองพื้นฐานของผู้เชื่อนอกนิกายคาริสเมติก (non-charismatics) รวมถึงผู้นำเมสสิยานิคยิว หลายคนด้วยกัน
2. เราจะต้องอธิษฐานสำหรับการรักษา และถ้าเรามีการอธิษฐานขอให้มีการรักษาเป็นปกติสม่ำเสมอหรือทุกครั้งที่มีโอกาสจะส่งผลให้เราเห็นการรักษาที่เหนือธรรมชาติมากขึ้น  อย่างไรก็ตามเราต้องวางใจในพระเจ้าและรู้ว่าการรักษาเป็นเรื่องของอำนาจอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้า  สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อให้มีความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาโรคคือการดำเนินชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า หลีกเลี่ยงบาป และมีชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจในพระเจ้า  ในขณะเดียวกันนั้นเราก็นำตัวเองเข้าสู่การอธิษฐานรักษาโรคและนี่คือมุมมองกลุ่มวินยาร์ด  (Vineyard) ที่สอนโดยจอห์น วิมเบอร์ (John Wimber)
3. การรักษาเป็นพระประสงค์นิรันดรของพระเจ้า  ถ้าเราต้องการให้ตัวเองเป็นที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เราจะต้องใคร่ครวญพระคัมภีร์ในเรื่องการรักษาโรคและประกาศถ้อยคำพวกตามพระสัญญาที่เฉพาะเจาะจงในข้อนั้นๆและได้รับการรักษา  ให้หายเสมอ  เพราะการรักษาโรคของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน  ดังนั้นถ้าผู้ใดที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหนือธรรมชาตินั้นก็เป็นความล้มเหลวของบุคคลนั้นที่ไม่ได้สร้างความเชื่อของเขาเพื่อที่จะได้รับมัน  ความเชื่อเรื่องการหายโรคเป็นสิ่งที่ผู้นั้น    จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบที่จะต้องขวนขวายเองเพื่อจะได้รับ และนี่คือมุมมองของกลุ่มถ้อยคำแห่งความเชื่อซึ่งมีอาจารย์ผู้ขับเคลื่อนได้แก่ เคนเน็ธ เฮกิ้น  เคนเนธ โคปแลนด์  แอนดรูว์ วอร์แมคและอื่น  อีกมากมาย  สำหรับพี่น้องเหล่านี้ถ้าไม่สามารถยึดว่า พระสัญญาเกี่ยวกับการเยียวยานั้นครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นไปได้แน่นอนมันก็จะเป็นการบั่นทอนการสร้างความเชื่อเพื่อที่จะ     ได้รับการรักษานั้น
มุมมองของเราไม่สอดคล้องทีเดียวกับความเชื่อใดๆ ของทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้น เราสามารถสรุปความคิดเห็นของเรา      ดังต่อไปนี้โดยอ้างอิงตามหนังสือของดอกเตอร์บราวน์ว่าการรักษาเป็นพระประสงค์พื้นฐานของพระเจ้าสำหรับคนที่เชื่อฟังพระองค์  แต่ไม่สามารถทำให้เรื่องนี้เป็นกฎตายตัวและสรุปว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะทำการรักษาทุกคนในทุกกรณี  เราสามารถรู้ว่ามันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าทั่วไปในการรักษาซึ่งจะตั้งอยู่บนพื้นฐานต่อไปนี้:
1. เป็นพระสัญญาให้แก่อิสราเอลให้สุขภาพร่างกายที่ดี ถ้าพวกเขาจะมีชีวิตที่เชื่อฟังซึ่งรวมถึงการช่วยให้รอดพ้นจาก"โรคภัย    จากอียิปต์" การแท้งบุตรและพระพรของการมีชีวิตที่ยืนยาว
2. การหายจากความป่วยไข้ถูกรวมอยู่ในการลบมลทินบาป -การไถ่ของเยชูวาห์เช่นที่กล่างในอิสยาห์ 53:"เขาแบกรับความเจ็บไข้ของเราโดยบาดแผลเฆี่ยนตีเพื่อเราจะได้หายดี”
3. พันธกิจการรักษาของเยชูวาห์คือการสำแดงพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคนของพระองค์
4. คำพูดสรุปของเปโตรในการลบมลทินบาปว่า "พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้บนต้นไม้โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์รักษาเราให้หายแล้ว" ไม่ได้เป็นเพียง แต่รักษาทางจิตวิญญาณ แต่ทางกายภาพด้วย
5. ในช่วงเวลาของการฟื้นฟูและมีความตื่นตัวและความร้อนรนทางฝ่ายจิตวิญญาณนั้น มีการหายโรคกันอย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น เพนซาโคลา (Pensacola) ซึ่งมาจากกลุ่มวินยาร์ด (Vineyard) ในยุคต้นๆและคริสตจักรเบธเอลของ บิล จอห์นสัน
6. อย่างไรก็ตามแม้ว่าการรักษาจะเป็นพระประสงค์พื้นฐานของพระเจ้า   เราก็ยังเห็นการตายของเอลีชาและความเจ็บป่วย      ของบางคนในพันธสัญญาใหม่  ดังนั้นการรักษาจึงไม่ได้เป็นสัญญาแน่นอนสำหรับทุกกรณีหรือทุกครั้ง
7. ประเภทของความเชื่อที่จะเคลื่อนย้ายภูเขานั้น เป็นประเภทความเชื่ออย่างพระเจ้า  ซึ่งต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถมอบให้ได้   แน่นอนที่พระองค์จะทรงประทานความเชื่อที่เราจำเป็นสำหรับสิ่งที่พระองค์เรียกให้เราทำเและส่วนใหญ่ก็จะรวมถึงความเชื่อในการรักษาโรคด้วย 
 เมื่อมีคนพูดว่า สาเหตุที่คุณไม่ได้รับการรักษาโรค เพราะเป็นความผิดของเขาหรือเธอ ซึ่งรวมถึงประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต    เราเชื่อว่านี่เป็นการสอนที่ผิด สาเหตุที่คนไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เสริมสร้างชีวิตที่อยู่ด้วยความเชื่อผ่านทาง    พระวจนะของพระเจ้า หรืออาจจะไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงขณะใด เราสามารถกลับใจ แสวงหาพระเจ้าและจุ่มไปในพระคำ  และแน่นอน ถ้าคนนั้นมีความเชื่อตามพระคำมาระโก 11:24 เค้าก็จะได้ในสิ่งที่เค้าขอ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถ     จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าเราจะมีความเชื่อแบบนั้นได้ไหม ความเชื่อแบบนั้นต้องประทานมาจากพระเจ้า ฉะนั้น เราจะมาพูดคุยว่าเราสามารถทำอย่างไรเพื่อให้เพิ่มโอกาสเกิดการหายโรคในขณะที่ก็พักในพระเจ้าถ้าการรักษาโรคนั้นไม่เกิดขึ้น
1. ข้อแรก การให้คำปรึกษาของเราควรนำให้เค้ายอมเอาตัวเองเข้าไปในพระหัตถ์ของพระเจ้า และยอมจำนนและยอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ให้เค้าสารภาพเท่าที่ทราบ บาปทั้งหมด คำสาปแช่ง ความขมขื่น การไม่ให้อภัย และคำสาปแช่งจากบรรพบุรุษที่ยังไม่เคยประกาศตัดขาดมาก่อน  (ถูกบอกเป็นนัยๆโดยยากอบ)
2. อย่างที่สอง ควรทำพิธีมหาสนิท เพราะมีฤทธิ์อำนาจในการรักษา
3. ควรขอให้ผู้อาวุโสในคริสตจักรเจิมด้วยน้ำมันและอธิษฐานเพื่อการหายโรค
4. เค้าควรให้ความคิดจดจ่อไปที่ลิขิตชีวิตในชีวิตนิรันดร์และยุคที่กำลังจะมาถึงและมอบชีวิตแด่ความหวังของลิขิตชีวิตสูงสุด ซึ่งทำให้เอาชนะความกลัวในความตาย
5. ใคร่ครวญถึงความดีงามของพระเจ้าและพระเมสสิยาห์และในข้อพระคัมภีร์ที่เป็นพระสัญญาในเรื่องการรักษาโรค เพื่อเปิดโอกาสให้พระเจ้าประทานความเชื่อในการหายโรค นี่คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นหลักประกันถึงการหายโรค   อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำสิ่งเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสโดยการเสริมสร้างความเชื่อในการรับให้มากขึ้น
6. ทำตัวเองให้ว่างเพื่อเปิดโอกาสเข้าร่วมการประชุมที่นำโดยพระวิญญาณ พันธกิจการรักษาโรคเป็นต้น ซึ่งต้องอธิษฐานของการทรงนำจากพระวิญญาณ โดยปราศจากการเชิญชวนให้เข้าร่วมสัมมนาหริอพันธกิจรักษาโรคแบบบ้าคลั่ง
7. จะดีกว่าที่จะหลีกเลี่ยงการแถลงการณ์ว่าได้รับการรักษาแล้ว เราหลีกเลี่ยงที่จะให้ผู้ที่หวังดีแถลงการณ์เรื่องว่าได้รับการรักษาแล้วเพื่อจะนำที่ประชุมเข้าสู่การยืนหยัดแบบเข้มข้นในทางใดทางหนึ่งเพื่อการรักษาโรค เพราะต่อมาอาจเกิดความผิดพลาดจากผลของการแถลงนั้น
8. เราควรเปิดโอกาสให้ผู้เผยพระวจนะที่เชื่อถือได้พูดถ้อยคำเข้าไปในสถานการณ์หรือในพื้นที่ที่ควรหักล้างทำลายหรือการแถลงการณ์อื่นๆ สถานการณ์ของลูกชายคนสุดท้องของผมเป็นตัวอย่างสำหรับกรณีนี้ ครั้งแรกที่เค้าป่วยนั้น เค้ามีอายุ 1 ขวบ      มีอาการโรคหัวใจขั้นรุนแรง หมอบอกว่าไม่มีหวังและเขาจะตาย ผู้เผยพระวจนะที่เชื่อถือได้หลายท่านป่าวประกาศว่าเค้าจะได้รับการรักษาแบบหายขาดและอาการจะดีขึ้น เราได้เห็นการฟื้นฟูแบบเหนือธรรมชาติ 11 ปีต่อมา ในอีกเหตุการณ์ ขณะที่เค้าอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ เราได้จัดการประชุมอธิษฐานแบบเข้มข้นสำหรับการรักษาโรคให้เค้า ซึ่งการประชุมนี้ได้รับการยืนยันจากผู้เผยพระวจนะที่เข้มแข็ง แต่ไม่มีผู้เผยพระวจนะท่านไหนได้รับถ้อยคำจากพระเจ้าว่าเค้าจะได้รับการรักษา หรือชุบให้ฟื้นจากความตาย ฉะนั้น เรารู้ว่าในขณะที่เรากำลังต่อสู้ เราไม่สามารถพักพิงในคำเผยพระวจนะได้ ถึงแม้เราอ่านข้อพระคัมภีร์ที่เป็นพระสัญญา   ของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานความเชื่อที่จะให้เราชุบเค้าให้ฟื้นขึ้นมา
ฉะนั้น ให้เราทุกคนอธิษฐานเพื่อการรักษาโรค ให้เราเสริมสร้างความเชื่อในเรื่องนี้  เมื่อมีอาการเจ็บป่วย ให้ไปหาพระเจ้าเป็นอันดับแรก และแสวงหาที่จะได้รับความเชื่อในการหายโรค ให้เราอธิษฐานเพื่อการหายโรคตราบที่คนนั้นยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม ให้เราพึงตระหนักว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุดดูแลเราในเรื่องนี้อยู่  ให้ศึษาใส่ใจคำสอนในเรื่องการหายโรคจากมุมมองของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม
ขอแนะนำหนังสือของไมเคิล บราวน์ (Michael Brown)  เรื่อง Israel’s Divine Healer
 ขอบคุณข้อมูลจาก http://reviveisrael.org/ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น