บทเพลง:ทรงพระเจริญ ที่ร้องจากปากและท่วงทำนองที่ทุ้มในหัวใจคนไทยว่า "...เป็นเจ้าฟ้าที่ยืนข้างล่าง แบกไพร่ฟ้าเอาไว้บนไหล่ อยากรู้พระองค์เคยคิดเหนื่อยบ้างไหม ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน ...พระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย จากใจพสกนิกรของพระองค์"
สะท้อนให้เห็นถึงความวิริยอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หรือ พ่อหลวงของปวงชนชาวไทยที่พระองค์ทรงกระทำต่อพสกนิกรของพระองค์ นั้นเป็นภาระที่พระองค์ได้แบกไว้เพื่อทำให้ภาระหนักเราทั้งหลายได้รับบรรเทาและผ่อนคลาย
พระองค์ทรงกระทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มครองราชย์จนถึงปัจจุบัน กว่า 66 ปี ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะพระองค์ทรงมองเห็นถึงปัญหาของเราทุกคน เป็นดั่งภาระของพระองค์ที่ต้องแบกไว้ นี่คือความห่วงใยในสายตาของพ่อที่มีต่อลูก
ความรักของในหลวงที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยและพระองค์ทรงสำแดงออกเป็นการกระทำ ทำให้คนไทยได้เข้าใจและสัมผัสได้เป็นรูปธรรม แม้ว่าพระองค์จะอยู่ในสถานะที่สูงส่ง แต่พระองค์ทรงดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างในปรัชญาอยู่อย่างพอเพียงที่พระองค์ทรงสอนจากชีวิต มีความเรียบง่าย เข้าถึงและเข้าใจนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง
ในความคิดของผม จะมีสักกี่ประเทศที่กษัตริย์ของพวกเขามีความใกล้ชิดประชาชน เทียบเท่ากับกษัตริย์ของไทย พระองค์ทรงเป็นพ่อของคนไทยทุกคน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเราทุกคนสมควรที่จะมีสิทธิในการเป็นลูก แต่เพราะพระองค์ถ่อมพระทัยให้สิทธินี้แก่คนไทยทุกคน ผมคิดว่าสถานภาพระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกร มีความสัมพันธ์เป็นแบบพ่อกับลูกนี้ เราในฐานะคนไทยควรจะรู้สึกมีความภาคภูมิใจในสิทธิพิเศษนี้
ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันที่ 5 ธ.ค.เป็นวันพ่อแห่งชาติ พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา
ผมขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระองค์ ความว่า...
ในความคิดของผม จะมีสักกี่ประเทศที่กษัตริย์ของพวกเขามีความใกล้ชิดประชาชน เทียบเท่ากับกษัตริย์ของไทย พระองค์ทรงเป็นพ่อของคนไทยทุกคน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะเราทุกคนสมควรที่จะมีสิทธิในการเป็นลูก แต่เพราะพระองค์ถ่อมพระทัยให้สิทธินี้แก่คนไทยทุกคน ผมคิดว่าสถานภาพระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกร มีความสัมพันธ์เป็นแบบพ่อกับลูกนี้ เราในฐานะคนไทยควรจะรู้สึกมีความภาคภูมิใจในสิทธิพิเศษนี้
ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันที่ 5 ธ.ค.เป็นวันพ่อแห่งชาติ พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา
ผมขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระองค์ ความว่า...
“...บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติและต่างร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่างและนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติ…”
(พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง)
เราในฐานะคนไทยควรจะที่จะดำเนินชีวิตตามรอยของพ่อหลวง และทำสิ่งที่ดีเพื่อเทิดพระเกียรติของพระองค์ท่านและขอพระองค์ทรงพระเจริญ
สำหรับเราในฐานะคริสเตียน เราต้องขอบคุณพระเจ้าพระบิดา พระองค์ทรงรักเราทั้งหลายดุจแก้วตาดวงใจ พระองค์ทรงให้สิทธิพิเศษให้กับเราทุกคนเป็นดังบุตรของพระองค์ เมื่อเราตัดสินใจเชื่อวางใจในพระองค์
ในหนังสือพระกิตติคุณซึ่งเขียนโดยยอห์นอัครสาวก ได้กล่าวไว้ใน
ยน. 1:12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า
เราทั้งหลายสามารถเป็นบุตรพระเจ้า หรือ มีสถานะ เป็นบุตรพระเจ้าได้ ผ่านการเกิดใหม่ รับบัพติศมาเข้าส่วนในความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ด้านจิตวิญญาณ
ยน.3:5-6
5พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้
6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
แต่หลายครั้งคริสเตียนกลับไม่เข้าใจในความสัมพันธ์แบบนี้ บางครั้งเราก็ทำตัวเหมือนเป็นลูกกำพร้าในฝ่ายวิญญาณ พยายามต่อสู้และทำอะไรด้วยตนเองแต่ไม่ยอมเข้ามาพึ่งพาการช่วยเหลือจากพระบิดา หรือบางครั้งทำตัวเป็นลูกทาสที่ต้องทำงานเพื่อได้รับค่าจ้างแรงงาน
เป็น "ลูกจ้างชั่วคราว" แต่ที่แท้เราทั้งหลายเป็น "ลูกพระเจ้าชั่วนิรันดร์"
เราต้องทำความเข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นทาสแล้วเพราะพระเยซูคริสต์ในฐานะพระบุตรของพระบิดา ได้มาตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับเราและมอบสิทธิในการเป็นลูกเช่นเดียวกับพระบุตรให้กับเราแล้ว อัครทูตเปาโลได้อธิบายไว้ในพระธรรม
รม.8:15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับนิสัยอย่างทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรซึ่งให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา
กท.4:6 และเพราะท่านเป็นบุตรแล้ว พระเจ้าจึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของท่าน ร้องว่า “อับบา” คือพระบิดา
คำที่น่าสนใจคือ คำเรียกต่อพระเจ้า พระบิดา ว่า "อับบา" คำนี้เป็นคำที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้เรียกพระบิดา ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มก.14:36 พระองค์ทูลว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงสามารถกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอเอาถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
ในภาษาฮีบรูหรือในภาษาอาราเมคใช้คำว่า "อับบา"( אַבָּא -abba) ซึ่งเป็นคนละความหมายกับคำว่า "daddy"หรือ "father" แต่มีความแตกต่างกัน นั่นคือ
ในภาษากรีก คำว่า "ฟาเทอร์" (πατηρ) หมายถึง "Father" แปลว่า "พ่อ"
คำว่า "πατηρ" ( Father) ใช้สำหรับลูกเรียกพ่อผู้ให้กำเนิด (Daddy)
แต่คำว่า "อับบา"(אַבָּא )ใช้สำหรับเรียกพ่อที่อยู่ในสวรรค์ ซึ่งถ้าหากว่าเรายังไม่ได้เกิดจากพระเจ้า ก็ไม่สามารถเรียกพระองค์ว่า "พ่อ" (abba) ได้
คำนี้เองเป็นเหตุให้พวกฟาริสีได้ต่อต้านพระเยซู เพราะพระองค์ใช้คำว่า (abba) ในการเรียกพระเจ้าซึ่งเท่ากับเป็นการตีตนเทียบเท่ากับพระเจ้า
ยน.10:30-35
30 เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
31 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย
32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการ ของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า"
33 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า "เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า"
34 พระเยซูตรัสว่า "ในพระธรรมของท่านมีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า "เราได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายเป็นพระ(เจ้า)
35 ถ้าพระธรรมนั้นเรียกผู้ที่รับพระวจนะของพระเจ้าว่า เขาเป็นพระ(เจ้า) (และจะฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ได้)
การที่พระเยซูคริสต์เรียกพระเจ้าว่า "อับบา"ด้วยความสนิทสนมเหมือนกับเด็กเรียกพ่อของตนว่า "พ่อจ๋า" เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า คนๆ นั้น เกิดจากพระเจ้า ซึ่งฟาริสีรับไม่ได้ หากมนุษย์เรียกพ่อของตัวเองว่า "พ่อจ๋า" ไม่แปลกอะไร แต่ใครจะเรียกพระเจ้าว่า "อับบา" หรือ "พ่อจ๋า" มันรับไม่ได้จริงๆ นั่นเป็นการยกตนเทียบเท่าพระเจ้า จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่พวกฟาริสีคิดที่จะปองร้ายหมายเอาชีวิตของพระเยซูคริสต์เพราะพระองค์ดูหมิ่นพระเจ้าที่สูงส่งของพวกเขา
ดังนั้น คำว่า "พ่อจ๋า" หรือ "อับบา" นี้เป็นคำที่ผู้ที่มีวิญญาณศาสนาแบบฟาริสีจะไม่เข้าใจในความสัมพันธ์นี้
เมื่อเรามีมุมมองพระเจ้าแบบศาสนาจะทำให้ความสัมพันธ์เราห่างไกลจากพระองค์ ทั้งที่พระองค์ปรารถนาที่จะเข้ามาพูดคุยกับลูกของพระองค์ บางครั้งเราเป็นคริสเตียนก็เข้ามาอธิษฐานแบบพร่ำบ่นเพื่อขอสิ่งต่างๆ เป็นการบนบานศาลกล่าว อยากได้สิ่งโน้น สิ่งนี้ ตามใจของเราแต่ไม่เข้าใจหัวอกความเป็นพ่อที่รอลูกเข้ามาใกล้ชิดกับพระองค์ พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกในฐานะพระบุตรจึงได้สอนเราทั้งหลายให้เข้าใจการอธิษฐาน ดังเช่นในพระธรรม
มธ.6:7-10
7 "แต่เมื่อท่านอธิษฐานอย่าพูดพล่อยๆซ้ำซาก เหมือนคนต่างชาติกระทำเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง
8 อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว
9 "ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก
ในพระธรรมยอห์นบทที่17:1-26 พระเยซูคริสต์ได้เป็นแบบอย่างในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมและพระองค์อธิษฐานให้เราทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา
พระองค์ใช้คำว่า "อับบา" ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์แบบพ่อลูกตามสายเลือด เป็นการพูดคุยในสถานะที่เป็นลูกคุยกับพ่อ ไม่ใช่ มนุษย์อธิษฐานต่อพระเจ้า
ดังนั้นเราควรจะเข้ามาหาพระองค์เหมือนเด็กเล็กๆที่เข้ามาแสวงหาพระองค์ เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นเช่นเด็กเล็กๆ
มธ.19:14 ฝ่ายพระเยซูตรัสว่า "จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น"
พระเจ้า พระบิดา พระองค์เป็นพ่อที่เราทุกคนสามารถเข้ามาหาพระองค์ได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง เราสามารถมาแสวงหาพระองค์ได้อย่างเด็กเล็กที่่เข้าม่นั่งใกล้ชิดและเรียกพ่อของตนว่า "พ่อจ๊ะ พ่อจ๋า"
ในวันนี้อย่าให้มีสิ่งใดเป็นอุปสรรคขัดขวางในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระบิดา พระองค์ได้มอบสิทธิการเป็นบุตรให้กับเรา เราทุกคนเป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เพราะความดีของเราที่เราสมควรจะได้รับ แต่เพราะความดีงามของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยพระคุณที่ประทานให้กับเรา
หากในอดีตเราอาจจะเคยมีปัญหาความสัมพันธ์กับคุณพ่อ คุณพ่อในโลกนี้อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์ แม้คุณพ่อที่เป็นคนบาปยังให้สิ่งดีกับลูกของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาในสวรรค์จะต้องให้สิ่งที่ดีกับเราเสมอ
มธ.7:9 -11
9 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง
10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา
11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์
ขอบคุณพระเจ้า พระบิดา ที่เป็นพ่อที่ใจดี ขอเพียงเราเข้ามาแสวงหาพระองค์อย่างลูกที่เข้ามาหาพ่ออย่างไม่กลัว แม้เราจะเป็นคนบาปหรือทำผิด แต่พ่อไม่เคยโกรธและพร้อมจะให้อภัยเสมอ อย่าได้กลัวแต่จงเปลี่ยนความกล้ว เป็นความกล้า เข้าหาพระบิดาและเรียกพระบิดาว่า "พ่อจ๋า" พระองค์พร้อมจะขานรับตอบเสมอ