1 เธสะโลนิกา
5:19-21) อย่าดับพระวิญญาณ อย่าหมิ่นประมาทคำเผยพระวจนะ
แต่จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น
“การดับพระวิญญาณ”เป็นวลีที่ปรากฏเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์ ซึ่งบริบทที่วลีนี้ปรากฏมีความเกี่ยวข้องกับคำเผยพระวจนะ
ปกติแล้ว
เมื่อคนเราได้รับคำเผยพระวจนะหรือได้รับพระสัญญาบางอย่าง
ในช่วงแรกๆที่พวกเขาเพิ่งจะได้รับพระสัญญานั้น
ความเปรมปรีดิ์ก็เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา
พวกเขาสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย ยามใดที่พวกเขาคิดถึงถ้อยคำที่พวกเขาได้รับ
พวกเขาก็มักจะยิ้มได้และหัวเราะได้ร่ำไป พร้อมกับความหวังในหัวใจว่า
พระสัญญานี้จะสำเร็จแน่นอน บ้างก็คิดว่า
อีกไม่นานคำเผยพระวจนะนี้ก็จะลุล่วงไปด้วยดี
ทว่า เมื่อวันเวลาผ่านไป
ดูเหมือนว่าพระสัญญาที่เคยได้รับก็ติดขัดและไม่เห็นผลสักที วันเวลาผ่านไป
อุปสรรคนานาประการก็เกิดขึ้น เส้นทางที่แรกๆดูเหมือนจะราบรื่นก็พานพบกับทางตัน โอ
ในวาระเช่นนี้แหละ ที่คนเราเริ่มสงสัยว่า คำเผยพระวจนะที่ได้รับนี้
ใช่มาจากพระเจ้าหรือไม่?
ในวาระเช่นนี้แหละ ที่คนเราเริ่มสงสัยว่า ถ้อยคำที่เราเคยได้รับนั้น
เป็นพระสัญญาของพระเจ้าหรือเปล่า? ทว่า
เมื่อหัวใจของพวกเราขบคิดอย่างเที่ยงตรง
พวกเราก็เห็นถึงการยืนยันจากพระเจ้าอยู่ตลอดมา หลายครั้งหลายครา
พระเจ้าก็อยู่ด้วยและยืนยันในพระสัญญานี้อยู่เสมอ
จากประสบการณ์ของหลายคน
สามารถบอกได้ว่า หลายครั้งหลายครา พระสัญญาของพระเจ้าก็ไม่ได้สำเร็จในวิธีที่พวกเราคิด
บางครั้งพระเจ้าประทานพระสัญญามาให้ แต่พระสัญญานั้นก็ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ
โอ เพื่อนๆเอ๋ย จงดูอับราฮัมบิดาของพวกเราเป็นแบบอย่าง
ท่านได้รับพระสัญญาจากพระเจ้าอย่างจริงแท้แน่นอน และพระองค์ก็ทรงยืนยันพระสัญญานั้นกับอับราฮัมเป็นระยะๆ
แต่พระสัญญานั้นก็ใช้เวลาหลายปีกว่าสำเร็จ โอ เพื่อนๆเอ๋ย
ให้พวกเรามีอับราฮัมเป็นแบบอย่าง แม้เส้นทางดูเหมือนจะมืดมน แม้ว่าหนทางจะดูตีบตัน
แต่อับราฮัมบิดาของพวกเราก็ยังคงมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะทำให้พระสัญญาสำเร็จ
ฉะนั้นแล้ว การดับพระวิญญาณคืออะไร? ในพระคัมภีร์เมื่อพวกเราดูบริบทของคำว่า
“ดับพระวิญญาณ” พวกเราก็ค้นพบว่า
การดับพระวิญญาณดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับ “การหมิ่นประมาทคำเผยพระวจนะ” กล่าวได้ว่าด้านหนึ่ง “การดับพระวิญญาณ” ก็คือการที่พวกเราเริ่มหยุดเชื่อในคำเผยพระวจนะ
และเริ่มดูแคลนพระสัญญาของพระเจ้า ซึ่งคนเรามักจะเกิดอาการนี้
เมื่อได้รับพระสัญญามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่เห็นผลสำเร็จเสียที
แรกๆที่คนเราเพิ่งได้รับพระสัญญาใหม่ๆมักจะไม่ค่อยมีอาการเช่นนี้ เพราะตอนแรกๆ
ไฟยังคงลุกโชนอยู่ ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆก็เริ่มไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ไฟที่เคยลุกโชติช่วงในตอนแรกๆก็ค่อยๆริบหรี่ลง จนเริ่มสงสัยในพระสัญญา อย่างไรก็ดี
พระคัมภีร์ตอนนี้ ก็ให้แนวทางในการจุดไฟแห่งพระวิญญาณขึ้นมาอีก โอ ขอบคุณพระเจ้า
แนวทางจุดไฟแห่งพระวิญญาณ
(1 เธสะโลนิกา
4:16-19) จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า
ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย อย่าดับพระวิญญาณ
โอ เพื่อนๆเอ๋ย จงชื่นบานเถิด
แม้ว่าเส้นทางจะดูเหมือนตีบตัน แต่ถ้าเพื่อนๆพิจารณาดูให้ดี
เส้นทางนั้นก็ไม่ได้ตีบตันซะทีเดียว แต่ยังคงมีช่องทางและมีแสงสว่างอยู่
แม้ว่ามันจะเล็กไปบ้าง
แต่พระเจ้าก็สามารถขยายโอกาสและช่องทางที่เล็กๆนี้ให้กว้างขึ้นได้ โอ ให้พวกเราขอบคุณพระเจ้า
สำหรับโอกาสและช่องทางเล็กๆนี้กันเถิด ไม่แน่นะ โอกาสและช่องทางเล็กๆนี้นี่แหละ
ที่จะนำไปสู่โอกาสและเส้นทางที่กว้างขวางในอนาคต
นอกจากการชื่นบานและการขอบพระคุณแล้ว
โอ เพื่อนๆเอ๋ย พวกเราต้องอธิษฐานด้วย ดูสิ
แม้ดาเนียลจะล่วงรู้คำเผยพระวจนะจากหนังสือเยเรมีย์ว่าพระเจ้าจะนำคนอิสราเอลกลับสู่เยรูซาเล็ม
แต่ดาเนียลก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
ดาเนียลไม่ได้อยู่นิ่งๆและเอาแต่รอคอยให้คำเผยพระวจนะสำเร็จ
แต่ดาเนียลได้มีส่วนร่วมในการทำให้คำเผยพระวจนะนี้สำเร็จ
ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้าให้พระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ โอ
เพื่อนๆเอ๋ย อย่าเพียงแต่รอคอยให้พระสัญญาสำเร็จเท่านั้น ให้พวกเราลุกขึ้นมา
ใช่แล้ว ให้พวกเราลุกขึ้นมา และอธิษฐานต่อพระเจ้า
ทูลขอให้พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้สำเร็จ โอ
ไฟแห่งพระวิญญาณจงลุกโชนท่ามกลางเพื่อนๆเถิด
พระคุณจงมีแด่เพื่อนๆ
Philip Kavilar
รูปภาพจาก
https://iamnotashamedofthegospelofchrist.com/2017/01/11/holy-spirit-and-fire-the-desperate-need/