21 ธันวาคม 2560

แรงกระทำและแรงต้าน (Equal and Opposite Reaction)

บทความเรื่อง "แรงกระทำและแรงต้าน" (Equal and Opposite Reaction) 
โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์(Asher Intrater)
เรามักจะประสบกับการต่อต้าน และแรงเสียดทานฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่เราพยายามที่จะรับใช้พระเจ้า
ในสัปดาห์นี้ ขณะที่เราอธิษฐานร่วมกันในกลุ่ม อธิษฐานนานาชาติ International Zoom Call กับกลุ่ม Global Gathering และเดวิด เดเมียน (David Demian) ผมได้ข้อสังเกตกฎฝ่ายวิญญาณหนึ่งคือ: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มตระหนักว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาตินั้นไม่ได้เกิดโดยความบังเอิญหรืออุบัติเหตุ ทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุ กฎแห่งเหตุและผลนั้น คือ พื้นฐานของวิทยาศาสตร์
ในทำนองเดียวกัน เราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงกำหนดกฎของเหตุและผล ให้แก่โลกฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกับโลกฝ่ายธรรมชาติ นี่คือ กฎแห่ง "ความบาปและความตาย" - บาปเป็นเหตุให้เกิดความตาย และมีกฎที่ตรงข้ามกันคือ "กฎแห่งพระวิญญาณและชีวิต" - พระวิญญาณของพระเจ้าให้ชีวิต (โรม 8:2)
เยชูวาห์ได้ให้ "กุญแจ" แก่เราในการผูกมัด กล่าวห้าม สั่งให้เป็นโมฆะสิ่งใดบนโลก สิ่งนั้นก็จะถูกผูกมัด หรือกล่าวห้ามในสวรรค์ สิ่งใดที่เรากล่าวอนุญาต หรือสั่งให้เปิดออกบนโลก สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นในสวรรค์ด้วย สิ่งใดที่เรา "หว่าน" เราก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น (กาลาเทีย 6:7) เมื่อเราให้สิ่งใด เราก็จะได้รับสิ่งนั้น (ลูกา 6:38)
หลักฟิสิกส์กฎที่3 ของนิวตัน คือ ทุก "การกระทำ" จะต้องมี "ผลของการกระทำ" "แรงกระทำ และ แรงต่อต้าน" นี่ทำให้ผมได้เข้าใจในความเหมือนกันของมิติฝ่ายวิญญาณ คือ เมื่อเราต่อต้านความชั่วร้ายและความมืดมิด มักจะมีผลของแรงกระทำและแรงต้านทานต่อต้านเรา ดังนั้นการเจริญเติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณ     จะมาพร้อมกับแรงต้านในฝ่ายวิญญาณด้วย
ในทางที่อาจดูไม่คุ้นชิน ทั้งแรงผลักและแรงต้าน แรงต้านนั้นกลับช่วยให้เราเข้าใจว่าความจริงคืออะไร ในขณะที่เยชูวาห์ถูกตรึงที่กางเขน ทหารโรมันได้เยาะเย้ยพระองค์ว่า "ขอสรรเสริญ แด่กษัตริย์ของชาวยิว" การตอบสนองเช่นนี้ช่างเป็นแรงกระทำในทิศทางที่ตรงกันข้าม (ยอห์น 19:3)
เยชูวาห์ได้สอนเราว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นเหมือนกับหญิงที่กำลังจะคลอดบุตร มีอาการเจ็บปวดทรมาน และแรงบีบตัวที่ในครรถ์ กระทั่งกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้บีบเค้นและผลักดันทารกออกมา และเมื่อทารกได้ถือกำเนิดมา ความเจ็บปวดยากลำบาก ได้ถูกลืมจนหมดสิ้น (ยอห์น 16:21) การข่มเหงในยุคสุดท้ายก็เหมือนการปวดครรภ์พร้อมคลอดบุตรในการมาถึงของแผ่นดินของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก
เยชูวาห์ได้สอนเราให้"รู้" ถึงหมายสำคัญของเวลาที่จะเกิดขึ้น (มัทธิว 16:3) ลมจากทางตะวันตก ที่มีทะเลจะพัดพาฝนมา ลมจากทางทิศใต้ทางที่มีทะเลทราย จะนำเอาอากาศร้อนแห้งแล้งมา มันก็เหมือนกันเหตุและผลในสภาพทางลมฟ้าอากาศ ดังนั้นควรหรือไม่ที่เราจะวินิจฉัยว่าอิทธิพลทางฝ่ายวิญญาณและศีลธรรมอันไหนจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆรอบๆ ตัวเรา
เหตุการณ์ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และแม้แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินไหวล้วนมีเหตุปัจจัยมาจากการงานฝ่ายวิญญาณที่อยู่เบื้องหลัง (มัทธิว 24:7,29 วิวรณ์ 8:2-5) ให้เราตระหนักรู้ว่าการต่อต้านฝ่ายวิญญาณจะเกิดขึ้นในทุกครั้งที่เราตัดสินใจจะทำ "สิ่งดี" ให้เราตื่นตัว กระตือรือร้นมากขึ้นในการอธิษฐานและกระทำกิจพยากรณ์ เพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้าด้วยแสงสว่างและความรักแก่โลกใบนี้
ขอบคุณบทความจาก https://www.reviveisrael.org/

19 ธันวาคม 2560

Love Match "เลือกคนที่เหมาะเพราะเป็นคู่ที่ใช่"

สิ้นสุดการรอคอย เตรียมพับกบ แฮ่! พบกับ e book เล่มใหม่ของครอบครัวนัฟทาลี
e book  Love Match "เลือกคนที่เหมาะเพราะเป็นคู่ที่ใช่ "

โปรโมชั่นพิเศษ ! ราคา 390 บาท ลดเหลือเพียง 250 บาท
ซื้อ 2 เล่ม (บ้านในฝัน+Love Match) จาก 780 ลดเหลือเหลือ 390

เพื่อนๆที่เคยซื้อ e book บ้านในฝัน สวรรค์เดินได้ ส่งเมล์มาที่ heavenfamily777@gmail.com เพื่อรับสิทธิ์ส่วนลด 100 บาทเหลือเพียง 150 บาท














วิธีการสั่งซื้อ 
1. inbox เข้ามาในเพจเล่าเรื่องครอบครัว
https://www.facebook.com/Naphtali5777/
2. สั่งซื้อผ่าน Line@ : @family777 หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40wpi1491h

18 ธันวาคม 2560

ทรัมพ์ยอมรับกรุงเยรูซาเล็ม(Trump’s Recognition of Jerusalem)



ทรัมพ์ยอมรับกรุงเยรูซาเล็ม(Trump’s Recognition of Jerusalem) 
โดย รอน แคนเทอร์(Ron Cantor)
เมื่อวันพุธที่ผ่าน (6 ธ.ค.) มาประธานาธิบดีทรัมพ์ได้ยอมรับสิ่งที่เป็นความจริงมานับทศวรรษ นั่นคือกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เขาได้ประกาศเจตจำนงที่จะยกเลิกการชะลอวาระตามสิทธิประธานาธิบดีซึ่งมีการผัดผ่อนมาหลายสิบปี คือที่จะย้ายสถานทูตจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเล็ม โดยวาระดังกล่าว สภาคองเกรสได้ลงมติยอมรับอย่างท่วมท้นในปี1995
ปฏิกิริยาของคนในโลกมีหลากหลายทั้งตื่นเต้น ผิดหวัง และโกรธเกรี้ยว บ้างก็อ้างว่านี่เป็นไปตามคำพยากรณ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ว่านี่คือหายนะ และนี่เป็น 7 ประเด็นที่จะช่วยให้เราคิดและอธิษฐาน

1. อิสราเอลประกาศไว้ในปี 1950ว่ากรุงเยรูซาเล็มคือเมืองหลวง ทว่าตั้งแต่วันนั้นมีเพียงแค่สองประเทศที่ตกลงยอมรับความจริงข้อนี้ และภายหลังก็ได้ย้ายสถานทูตของตนกลับไปยังกรุงเทลอาวีฟ ลองนึกดูว่า ถ้าทุกประเทศในโลกปฏิเสธที่จะรับกรุงวอชิงตันดีซีเป็นเมืองหลวงของสหรัฐฯ หรือกรุงปักกิ่งของจีน หรือกรุงปารีสของฝรั่งเศส สิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่อง“ปกติ”หรือไม่หากร้องขอให้ประเทศเหล่านั้นปฏิบัติงาน ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว แต่นี่คือสิ่งที่โลกร้องขอให้อิสราเอลทำ

2. กลุ่มฮามาสและกลุ่มก่อการร้ายต่างๆกล่าวว่าการกระทำของทรัมพ์เกี่ยวกับเยรูซาเล็มเป็น “สิ่งเลวร้าย” พวกเขาเรียกร้องให้มีการลุกฮือขึ้นของชาวปาเลสไตน์อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่พูดถึงการใช้อาวุธเคมีของนายอัสซาด หรือโจร ISIS ที่ฆ่ากรรมชาวมุสลิมและคริสเตียน 500,000 คนในซีเรีย แล้วยังผู้ลี้ภัยจำนวน 10 ล้านคน การข่มเหงสตรีในโลกอาหรับ ฯลฯ ยังมี“สิ่งเลวร้าย”ที่แท้จริงในตะวันออกกลางให้โกรธเกรี้ยว ทว่าเรื่องนี้ (การยอมรับเยรูซาเลม) ไม่ควรรวมเป็นประเด็นหนึ่งในนั้นเลย

3. พระเจ้าพยากรณ์ (หรือรู้ล่วงหน้า) มาหลายพันปีแล้วว่ากรุงเยรูซาเล็มจะเป็นเมืองที่มีความขัดแย้ง มากที่สุดในโลก สดุดีบทที่2 กล่าวว่าประชาชาติต่อสู้พระเจ้า แต่คำตอบของพระองค์คือ “เราเองได้ตั้งกษัตริย์ของเราไว้แล้วบนศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” เศคาริยาห์12:2-3 กล่าวว่ากรุงเยรูซาเล็มในยุคสุดท้ายจะเป็น“ถ้วยน้ำเมาและหินหนัก”ต่อชนชาติที่รายล้อม “เขาจะบาดเจ็บเพราะตนเอง”เนื่องจากลุกขึ้นต่อสู้ กรุงเยรูซาเล็มและพระเจ้าของอิสราเอล

4. จากกระแสความเกรี้ยวกราดดูเหมือนว่าผู้คนลืมไปว่าตลอดประวัติศาสตร์ กรุงเยรูซาเล็มแทบไม่มีความสำคัญเลยต่อโลกมุสลิมอาหรับ ที่นี่ไม่เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศใดในโลกอาหรับ ความร้อนรนแบบ จอมปลอมนี้เพิ่งเกิดขึ้นไปทั่วโลกมุสลิมเมื่อชาวยิวเริ่มกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม อาณาจักรมุสลิมออตโตมานปล่อยให้เมืองรกร้างอย่างสิ้นเชิงตลอดเวลา400ปีที่ครองกรุงเยรูซาเล็ม

5. ในทางกลับกันพระเจ้าได้เลือกกรุงเยรูซาเล็มไว้เป็นที่สถานที่สำหรับสร้างที่ประทับของพระองค์ และที่นี่ยังเป็นเมืองหลวงชนชาติยิวทั้งสิ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์ดาวิดซึ่งเป็นเวลายาวนานกว่า 3,000 ปีมาแล้ว กรุงเยรูซาเล็ม (หรือศิโยน) ถูกกล่าวถึงราว 1,000 ครั้งในพระคัมภีร์เดิมแต่ไม่พบเลยสักครั้งในคัมภีร์อัลกุรฺอาน

6. สภาพภูมิศาสตร์ในพระกิตติคุณได้บรรยายถึงจุดสำคัญทั่วอิสราเอล และกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายของชีวิตพระเยซูไม่ว่าจะเป็นการสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนชีพ และกำเนิดของคริสตจักรยุคแรกล้วนแต่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม นบีมูฮัมหมัดไม่เคยแวะมาที่เยรูซาเลม มีเพียงการกล่าวถึงอย่างลอยๆว่าครั้งหนึ่งเวลากลางคืนท่านเคยมาเยือนมัสยิดอัคซาในความฝัน ซึ่งชาวมุสลิมอ้างว่าคือกรุงเยรูซาเล็ม (อัล-อิสรออ์ 17:1)

Ron Cantor

7. ผู้นำของโลก(ส่วนมากจากพวกฝั่งซ้าย)กลัวว่าถ้อยแถลงของสหรัฐฯจะทำลายกระบวนการสันติภาพอย่างใหญ่หลวง กระบวนการสันติภาพอะไรหรือ ในเมื่อชาวปาเลสไตน์กำลังสร้างรัฐบาลร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายฮามาส พวกเขาจะไม่ยอมรับอิสราเอลว่าเป็นเมืองของยิว ทั้งยังสอนลูกหลานให้เกลียดยิวอีกด้วย และยังตั้งชื่อลานเมือง ถนน และโรงเรียนตามชื่อกลุ่มก่อการร้ายที่ทำลายผู้หญิงและเด็กชาวยิวที่บริสุทธิ์ คุณไม่สามารถทำลายสิ่งที่ไม่มีตัวตนได้
 ตลอดเวลาร่วม70 ปีที่ประเทศต่างๆในโลกเชื่อว่าการไม่ยอมรับว่า กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลจะสามารถนำไปสู่สันติภาพ แต่ไม่เลย! เหมือนอย่างที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้กล่าวว่า หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่างคุณก็ต้องลองทำสิ่งใหม่ ต้องขอยกย่องทรัมพ์ที่มีความกล้าหาญที่จะเชื่อว่าการยอมรับความจริงเรื่องกรุงเยรูซาเล็มคือเมืองหลวงของชาวอิสราเอลจะเป็นกุญแจนำสันติภาพมายังอิสราเอลและปาเลสไตน์ ขอให้เราอธิษฐานว่าสิ่งนี้จะเป็นจริง และเพื่อเราจะเห็นชาวยิวและมุสลิมกลับมาหาพระเยซูมากขึ้นและมากขึ้น

บทความจาก REVIVE ISRAEL

06 ธันวาคม 2560

มหาปุโรหิตทางความเชื่อ(High Priest of Our Faith)

 มหาปุโรหิตทางความเชื่อ โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์ ( Asher  Intrater)
คุณทราบไหม คำว่า “พันธกิจ” ในภาษาฮีบรู นั้นใช้คำว่าอะไร? มันไม่มีคำๆนี้เลย! วิธีหนึ่งในการอธิบายคือแค่คำว่“ปรนนิบัติ – Serve” ไม่มีใคร “มีพันธกิจ” คุณก็เพียงแค่ปรนนิบัติ
อีกวิธีหนึ่ง คือคำเดียวกับคำว่า “ปุโรหิต” “priest” – โคเฮน Kohen- כוהן เมื่อใครบางคนเข้ารับใช้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล 
เราจะใช้คำว่าเค้าโคเฮน kahen และคำว่า โคเฮน Cohen ก็ไม่ใช่นามสกุลของอาโรน แต่เป็นตำแหน่งที่เขาได้รับในการปรนนิบัติพระเจ้า ใครก็ตามที่ปรนนิบัติ ก็ถือเป็นการโคเฮน “cohen”     ไม่ได้จำเป็นว่าเขาต้องมาจากครอบครัวโคเฮน Cohen ที่เป็นปุโรหิตด้วย
ฮีบรู 3:1 - จงนึกถึงอัครทูตและมหาปุโรหิตผู้ซึ่งเราเชื่อและรับนั้น คือพระเยซู
เมื่อเราพูดถึง ลำดับของปุโรหิต งานพันธกิจหรือการเป็นอัครทูต ขอให้เราจดจำไว้ว่าเราทุกคนเป็นแค่ผู้ปรนนิบัติของมหาปุโรหิต“หนึ่งเดียว” (THE High Priest) และอัครทูต“หนึ่งเดียว” (THE Apostle) ก็คือ: เยชูวาห์ พระเมสสิยาห์ พระองค์ทรงเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้นำ ผู้รับ(ผู้มี)การเจิม และผู้ได้รับการยกย่องเทิดทูน ดังนั้นเมื่อเราพูดว่าเราปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า เราต้องไม่เย่อหยิ่ง ไม่เอาความคิดเห็นตนเองเป็นใหญ่หรือจ้องที่จะรับคำสรรเสริญจากมนุษย์
ยอห์น 6:14 - “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นที่ทรงกำหนดให้มาในโลก”
เยชูวาห์ไม่ได้เป็นเพียงอัครทูต“หนึ่งเดียว” (THE Apostle) เท่านั้น ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ“หนึ่งเดียว” ด้วย (THE Prophet)
ลูกา 4:18 พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้
เยชูวาห์ทรงเป็นผู้ประกาศ“หนึ่งเดียว” (THE Evangelist)
ยอห์น 10:11 เราเป็นคนเลี้ยงแกะที่ดี
เยชูวาห์ทรงเป็นศิษยาภิบาล“หนึ่งเดียว” (THE Pastor)
ยอห์น 3:2 เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครูผู้มาจากพระเจ้า
ทรงเป็นอาจารย์ “หนึ่งเดียว” (THE Teacher)
สำหรับพวกเราเมสสิยานิคยิว เยชูวาห์ทรงเป็นรับบี “หนึ่งเดียว” (THE Rabbi) เช่นกัน:
มัทธิว 23:8 - ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียว และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด
เป็นที่ยอมรับว่าการระบุคำนำหน้าชื่อ/ตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ เพื่อช่วยให้เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของเขาได้ชัดเจนมากขึ้น เช่น ปุโรหิต และรับบี อัครทูต ผู้เผย ผู้ประกาศ ศิษยาภิบาล และอาจารย์ อย่างไรก็ตามเราทั้งหลายล้วนเป็นภาพสะท้อนถึงรับบีผู้ยิ่งใหญ่ (THE great Rabbi) ผู้เป็นปุโรหิต และอัครทูต“หนึ่งเดียว” นั้น
ของประทานแห่งการปรนนิบัติรับใช้ทั้งสิ้นล้วนมาจากพระเจ้าผ่านเยชูวาห์  เมื่อเราพูดเกี่ยวกับการปรนนิบัติรับใช้ด้านต่างๆ ก็ควรมีความอ่อนน้อม ถ่อมตัวอยู่เสมอ อาจเป็นได้ที่เรามีของประทานการเผยพระวจนะ เยี่ยมเลย! แต่จำไว้ว่า ทุกคนสามารถเผยพระวจนะได้ (1โครินธ์ 14:31) อีกทั้งเด็กเล็กๆ ทั้งชายและหญิงก็เผยได้เช่นกัน (กิจการ 2:17)
เราทุกคนเป็น “พี่น้องกัน” เราคือครอบครัว ทุกคนต่างก็ปรนนิบัติรับใช้แตกต่างกันไป สมาชิกในครอบครัวต่างก็มีของประทานที่ต่างกัน บางคนอยู่ในตำแหน่งผู้นำ แต่สำหรับพระบิดาในสวรรค์ เราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นบุตรที่รักของพระองค์เท่าเทียมเหมือนกันหมด แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวต่างๆของเรานั้นก็สำคัญกว่าคำว่า “พันธกิจ”
 ขอบคุณข้อมูลจาก https://reviveisrael.org/

05 ธันวาคม 2560

รวบรวมบทความเนื่องใน "วันพ่อ"

ภูมิใจที่ได้เกิดในรัชสมัยของในหลวงรัชการลที่ ๙ 

ดีใจที่ได้เป็นลูกของพ่อเฉลิม ประทับที่ได้เป็นพ่อคนและขอบคุณพระบิดาในสวรรค์


ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ

http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post.html


ทำเนียบพ่อต้นแบบ

 http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post_03.html


บทความเรื่อง ศรัทธา http://pattamarot.blogspot.com/2010/12/blog-post_21.html


สายธารแห่งน้ำพระทัยของพ่อหลวง
http://pattamarot.blogspot.com/2011/12/blog-post_09.html


เรียกพระบิดาว่า พ่อจ๋าhttp://pattamarot.blogspot.com/2012/11/blog-post.html



พ่อ...คือแดดอุ่นในวันหนาว
พ่อ...คือเมฆขาวบนผืนฟ้าใส
พ่อ...คือริ้วคลื่นโถมซบทราย
พ่อ...คือร่มไม้บนทางฝัน
พ่อ...คือสายลมเย็นในวันร้อน
พ่อ...คือบทกลอนปลุกปลอบขวัญ
พ่อ...คือความงดงามของคืนวัน
พ่อ...คือความภาคภูมิใจของฉันทั้งชีวิต...


ขอมี "พ่อ" อยู่ด้วยก็ "พอ"ใจแล้ว 

02 ธันวาคม 2560

LoveMatch เลือกคนที่เหมาะเพราะเป็นคู่ที่ใช่

เตรียมพบกับ E book เล่มใหม่ สำหรับคนที่มีความรัก
#LoveMatch เลือกคนที่เหมาะเพราะเป็นคู่ที่ใช่
พบกันเดือนธันวาคมนี้ ราคาพิเศษ จาก 390 บาท เหลือเพียง 250 บาท
พิเศษ package ครอบครัว ซื้อร่วมกับ e book "บ้านในฝันสวรรค์เดินได้" จากราคา 500 บาท เหลือเพียง 390 บาทเท่านั้น
พิเศษสำหรับเพื่อนๆผู้อ่านที่เคยสั่งซื้อ e book "บ้านในฝันสวรรค์เดินได้" ได้สิทธิพิเศษส่วนลด 100 บาท เหลือเพียง 150 บาทเท่านั้น
ส่งเมล์มาได้ที่ heavenfamily777@gmail.com

29 พฤศจิกายน 2560

รักษาบาดแผลจากพ่อ(Healing Father Wounds)

รักษาบาดแผลจากพ่อ (Healing Father Wounds) โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์(Asher Intrater)


พระบัญญัติ 10 ประการได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของพ่อแม่ไว้ 2 ครั้ง
ซึ่งมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะดีสมบูรณ์แบบหรือ
เลวร้ายไปเสียหมด ไม่ว่าพวกเขาจะแสดงออกด้านหนึ่ง99%
 และอีกด้านหนึ่งเพียง1% ทั้งนี้ในทุกความสัมพันธ์ระดับครอบครัว 
มีทั้งสิ่งดีที่ต้องรับไว้รวมถึงสิ่งไม่ดีที่ต้องปฏิเสธ 
פוקד עוון אבות על בנים...

ฉธบ5:8 ให้โทษของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลาน…
พระเจ้าไม่ได้ลงโทษเราเพราะความผิดของพ่อแม่ อย่างไรก็ตามความบกพร่องและความผิดพลาดของพ่อแม่มีอิทธิพลต่อเราอย่างมาก เราต้องให้อภัยพวกเขาและลบอิทธิพลเชิงลบออกจากความทรงจำ จิตใจ           จิตวิญญาณและพฤติกรรมของเรา บางครั้งเราแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีเหมือนอย่างพ่อแม่ออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือบางครั้งเราแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบเกินควรในทางตรงกันข้าม ซึ่งนั่นก็ยังเป็นการรับผลปล่อยให้อิทธิพลนั้นครอบงำอยู่ พ่อบางคนอาจจะรุนแรงหรือบางคนอาจไม่ได้อยู่กับคุณ
כבד את אביך ואת אמך...


ฉธบ5:15 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า

เมื่อเราให้เกียรติใคร เราก็วางชีวิตในจุดที่จะรับสิ่งดีจากเขา เมื่อเราให้เกียรติพ่อแม่ เราก็จะได้รับคุณสมบัติและมรดกที่ดีในฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาจะต้องส่งต่อมายังเรา เมื่อการให้เกียรติแสดงออก พระพรก็จะเทลงมา
เราต้องสร้างสันติกับสิ่งที่พ่อแม่ถ่ายทอดรวมถึงอิทธิพลของพวกเขาในชีวิตของเรา ผมเพิ่งพบรูปภาพเก่าๆของพ่อแม่โดยบังเอิญ เป็นรูปตอนที่พวกเขาอายุประมาณเท่ากับลูกๆของผมเวลานี้ เมื่อผมเห็น
 ผมก็ได้รับการปลดปล่อยและมีอิสรภาพจากภายใน ราวกับว่าผมได้สร้างสันติโดยสมบูรณ์และเชื่อมต่อกับตัวตนที่พ่อแม่ผมเป็นอย่างสิ้นเชิ
มีขั้นตอนที่เราหลายๆคนเผชิญ คือในแต่ละช่วงวัยของลูกๆ เราเริ่มจะเข้าใจมุมมองของพ่อแม่ด้านความสัมพันธ์ที่มีต่อเราเมื่อเราอายุเท่ากับพวกเขาด้วย นี่คือ “โอกาสครั้งที่สอง” ที่จะกลับใจ เป็นอิสระและรับ   พระพร
สัปดาห์นี้เรามีเวลาพูดคุยและอธิษฐานกับกลุ่มผู้ชายในทีมซึ่งเราตระหนักว่าประเด็นที่ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้ในพันธกิจ ในคริสตจักร และในขั้นตอนการตัดสินใจ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ดูจะเป็นประเด็นเด่นชัด แต่มาจากความสัมพันธ์ระหว่างคนนั้นกับพ่อของเขา
การตอบสนองของเราแต่ละคนนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมต่อประเด็นปัญหาที่เราเผชิญ เราต้องรับการเยียวยาบาดแผลที่มาจากพ่อแม่ ให้อภัยความผิดของเขา และรับเอาคุณลักษณะที่ดีเข้ามา เพื่อเราจะเป็นอย่างที่พระเจ้าสร้างเราให้เป็น ให้ลิขิตชีวิตของเราสำเร็จ และมีชีวิตที่เกิดผลมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก https://tribe.reviveisrael.org

28 พฤศจิกายน 2560

การสะเทือน (แผ่นดินไหว) อันยิ่งใหญ่ (The Great Quake)


 การสะเทือน (แผ่นดินไหว) อันยิ่งใหญ่ (The Great Quake)

 โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์(Asher Intrater)

พระเยซูสอนว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในหลาย ๆ ที่ทั่วโลกในช่วงยุคสุดท้าย (มัทธิว 24:7,มาระโก13:8, ลูกา21:11) 
มัทธิว 24:7 ​เพราะ​ว่า ประชาชาติ​กับ​ประชาชาติ และ​อาณาจักร​กับ​อาณาจักร​จะ​ต่อสู้​กัน ทั้ง​จะ​เกิด​กันดาร​อาหาร​และ​แผ่น​ดิน​ไหว​ใน​ที่​ต่าง
แผ่นดินไหวบางครั้งอาจเป็นผลมาจากการปะทะกันของกองกำลังฝ่ายจิตวิญญาณเบื้องหลัง มี   แผ่นดินไหวเมื่อพระเจ้าเยี่ยมเยือนเอลียาห์ที่ภูเขาโฮเรบ (1พงศ์กษัตริย์19:11-12) และในสมัยของกษัตริย์อุสซียาห์ (เศคาริยาห์ 14:5, อาโมส 1: 1)
แผ่นดินไหวสามารถเกิดขึ้นได้จากผลของการอธิษฐาน, การเผยพระวจนะ, และการสรรเสริญ - เมื่อรวมกันกับการทำงานของฑูตสวรรค์และไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 16:25-26 วิวรณ์ 8: 3-5; 11:13, 19) การเกิดแผ่นดินไหวที่ภูเขาซีนาย (อพยพ 19:18) และในเวลาที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน (มัทธิว 27:54) และการฟื้นคืนพระชนม์ (มัทธิว 28:2)

คำว่า "แผ่นดินไหว" ในภาษากรีกคือ seismos (เช่นใน "seismic" และ "seismograph") ในภาษาฮีบรูมีสองคำ คำแรกแปลง่ายๆว่า "เขย่า" และใช้ในภาษาฮีบรูสมัยใหม่สำหรับแผ่นดินไหว re'idah רעידה


ในพระคัมภีร์ภาษาในฮีบรู อีกความหมายหนึ่งของคำว่า ra'ash רעש แปลว่าเสียงแผ่นดินไหว,เขย่า, หรือสั่นไหวได้ เสียงของพระเจ้าสามารถเขย่าโลกได้ 

ฮีบรู 12:26 ​พระ​สุรเสียง​ของ​พระ​องค์​ใน​เวลา​นั้น​ทำ​ให้​แผ่นดิน​สั่นสะเทือน แต่​บัดนี้​พระ​องค์​ตรัส​สัญญา​ว่า อีก​ครั้ง​หนึ่ง​เรา​จะ​ทำ​ให้​แผ่น​ดิน​ไหว  อีก​ทั้งฟ้า​สวรรค์ ด้วย​

คำว่า ra'ash นี้อธิบายถึงเสียงที่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติจากการสำแดงพระสิริของยาห์เวห์ 
เอเสเคียล 3:12-13
12 ​พระ​วิญญาณ​จึง​ยก​ข้าพเจ้า​ขึ้น​และ​เมื่อ​พระ​สิริ​ของ​พระ​เจ้า​ขึ้น​มา​จาก​สถานที่​อยู่ ข้าพเจ้า​ก็​ได้​ยิน​เสียง​กระหึ่ม​อยู่​ข้าง​หลัง​ข้าพเจ้า​
13 และ​มี​เสียง​ปีก​สัตว์​ที่​ถูกต้อง​กัน และ​เสีย​งวง​ล้อ​ข้างๆ สัตว์​นั้น เป็น​เสียง​กระหึ่ม​


คำนี้ถูกค้นพบในสามคำเผยพระวจนะสำคัญเกี่ยวกับยุคสุดท้าย:
1. การฟื้นคืนพระชนม์ (Resurrection) : มีภาพที่ชัดเจนและมีรายละเอียดเกี่ยวกับการฟื้นฟูร่างกายในช่วงเวลาแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ใน เอเสเคียล 37: 1-14 ในขณะที่มีการฟื้นคืนพระชนม์ มีแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนเสียงดัง: ra'ash (ข้อ 7)
เอเสเคียล 37 : 7 ข้าพเจ้า​ก็​เผย​พระ​วจนะ​ดังที่​ข้าพเจ้า​ได้รับ​บัญชา เมื่อ​ข้าพเจ้า​เผย​อยู่​นั้น​ก็​มี​เสียง และ​ดู​เถิด เป็น​เสียง​กรุก​กริก กระดูก​เหล่า​นั้น​ก็​เข้า​มา​หา​กัน​ตาม​ที่​ของ​มัน​
2. สงครามครั้งยิ่งใหญ่ (Great War): เมื่อกองกำลังของโกกและมาโกกโจมตีอิสราเอลในตอนท้าย มีพลังอันแรงกล้าจากพระเจ้าที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อทำลายพวกเขา ทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่: ra'ash (เอเสเคียล 38:19 ,อิสยาห์ 29: 7)
เอเสเคียล 38:19  เพราะ​เรา​ขอ​ประกาศ​ด้วย​ความ​หวง​แหน​และ​ด้วย​ความ​พิโรธ ดั่ง​เพลิง​พลุ่ง​ของ​เรา​ว่า ใน​วัน​นั้น​จะ​มี​การ​สั่นสะเทือน​ใหญ่​ยิ่ง​ใน​แผ่นดิน​อิสราเอล​
3. การเสด็จมาครั้งที่สอง (Second Coming): เมื่อพลังแห่งความชั่วมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระเจ้าจะลงมาสู้กับพวกเขา เท้าของพระองค์ตั้งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ และเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ซึ่งแยกภูเขาออกเป็นสองส่วน: ra'ash  (อิสยาห์ 29: 6; เศคาริยาห์ 14: 4-5)

ข้อความเหล่านี้ระบุว่าการฟื้นคืนพระชนม์,สงคราม, และการเสด็จมาครั้งที่สอง เกิดขึ้นในเวลาที่มีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์เดียวกัน การถูกรับขึ้นไปถูกอธิบายว่าเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการเสด็จมาครั้งที่สองและการคืนพระชนม์ 
(มัทธิว 24:31, มาระโก 13:27, 1 โครินธ์ 15:52,1 เธสะโลนิกา 4: 15-17, 2 เธสะโลนิกา 2: 1)
2 เธสะโลนิกา 2:1 ดูก่อน​พี่​น้อง​ทั้ง​หลาย เรื่อง​การ​ซึ่ง​พระ​เยซู​คริสต​เจ้า​ของ​เรา​จะ​เสด็จ​มา และ​ที่​พระ​องค์​จะ​ทรง​รวบรวม​เรา​ทั้ง​หลาย​ไป​เป็น​ของ​พระ​องค์​นั้น เรา​ขอ​วิงวอน​ท่าน​ว่า​

เป็นที่ประจักษ์ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมีการเชื่อมต่อกันทั้งหมด
การคืนพระชนม์, การถูกรับขึ้นไป, สงคราม และการเสด็จมาครั้งที่สอง ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน     ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปลดปล่อยฤทธิ์อำนาจซึ่งจะสั่นสะเทือนแผ่นดินโลกทั้งมวล การเขย่าแผ่นดินโลกด้วยฤทธิ์อำนาจนี้ อธิบายว่าคล้ายคลึงกับความหายนะที่ยิ่งใหญ่ในยุคของโนอาห์ 
(2เปโตร 3: 5-12)


การสั่นสะเทือนนี้จะเกิดขึ้นอีกเพียงครั้งเดียว (ฮีบรู 12:26; ฮักกัย 2:6) ปรากฏการณ์"อีกครั้งหนึ่ง” นี้เป็นการรวมกันของเหตุการณ์ในยุคสุดท้าย ซึ่งอธิบายว่าเป็น”วันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวของยาห์เวห์"   (โยเอล 2:11, 31, เศฟันยาห์ 1:14, 2 เธสะโลนิกา 2: 2; วิวรณ์ 6:12, 16: 18)


การเสด็จกลับมาครั้งที่สองได้อธิบายไว้หลายครั้งในหนังสือวิวรณ์ (1: 7; 6: 12-14; 11:13; 14:20; 16: 18-19; 19:11)
 ในสามคำอธิบายเหล่านี้ มีแผ่นดินไหวที่ยิ่งใหญ่: seismos - วิวรณ์ 6:12; 11:13; 16:18  
แผ่นดินไหวในวิวรณ์ 16:18 ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเกิดขึ้นพร้อมกับการสู้รบแห่งอาร์มาเกดอน (16:16) แผ่นดินไหวในสงครามโกกและมาโกก (เอเสเคียล 38) เป็นเช่นเดียวกับแผ่นดินไหวที่เกิดจากการสู้รบของอาร์มาเกดอน (วิวรณ์ 16)
โดยสรุป จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นหลายครั้งในช่วงยุคสุดท้าย ซึ่งเป็นผลมาจากการปะทะกันของกองกำลัง   ฝ่ายวิญญาณ จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งสุดท้าย เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา ซึ่งจะปล่อยฤทธิ์อำนาจเพื่อทำลายคนชั่วร้าย, ชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีพ, และเปลี่ยนแปลงวิสุทธิชน การเสด็จกลับมาครั้งที่สอง, 
สงครามอาร์มาเกดอน, การฟื้นคืนพระชนม์, และการถูกรับขึ้นไป เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
ขอบคุณข้อมูลจาก https:reviveisrael.org

27 พฤศจิกายน 2560

ความสำคัญของการนำอิสราเอลกลับสู่ดินแดนพันธสัญญา(Aliyah)

 “ความสำคัญของการนำอิสราเอลกลับสู่ดินแดนพันธสัญญา(Aliyah)”
โดย อ.นิมิต พานิช  ศิษยาภิบาลอาวุโส คริสตจักรแห่งพระบัญชา

บทเพลงแห่งความหวัง “ฮาทิควา” (Hatikvah) เป็นเพลงชาติของประเทศอิสราเอลเนื้อเพลงกล่าวถึงความหวังของชาวยิวทั่วโลกที่จะได้กลับมาสู่บ้านเกิดอีกครั้ง  หลังจากที่ถูกกองทัพโรมันโจมตีและทำลายพระวิหาร   พวกเขาถูกเนรเทศออกจากดินแดนนี้ไปเมื่อปีค.ศ. 70  ในทุกวันนี้ เมื่อพวกเขาอธิษฐานประจำวัน  เขาจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงเยรูซาเล็ม ด้วยความหวังในหัวใจว่าสักวันจะได้กลับบ้าน
คำกล่าวที่ว่า “ไม่มีที่ใดอุ่นใจเท่าบ้านเกิด”  ดังก้องอยู่ในจิตวัญญาณส่วนลึกของคนยิวแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดและสร้างคุณประโยชน์มากมายในที่ต่างๆทั่วโลก   แต่“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”(Holly land) เป็นดินแดนพิเศษที่ไม่เหมือนที่ใดในโลกเพราะเป็นพันธสัญญาที่พระยาห์เวห์ทรงมอบให้ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ คือ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ(อิสราเอล)
พระยาห์เวห์ทรงเป็นความหวังแห่งอิสราเอล(ยรม.17:13)แม้พวกเขาจะละทิ้งพระองค์หลายครั้งในประวัติศาสตร์  แต่พระองค์ทรงไม่เคยละทิ้งพวกเขาเลย  จึงไม่ขึ้นอยู่กับว่า คนยิวทำตัวอย่างไรแต่พระยาห์เวห์ทรงมองเขาเช่นไร  พระองค์ทรงรักเขาอย่างแก้วตาดวงใจ(ฉธบ. 32:10) ทรงอยู่ร่วมกับเขาในทุกสถานการณ์ทั้งดีและร้าย   พระองค์ทรงมีแผนการแห่งสวัสดิภาพเพื่ออนาคตและความหวังใจของเขาเสมอ(ยรม.29:11)
ถ้อยคำเผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า...เมื่อเราเปิดหลุมศพของเจ้า และยกเจ้าออกมาจากหลุมศพของเจ้า และเราจะบรรจุวิญญาณของเราไว้ในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต และเราจะวางเจ้าไว้ในแผ่นดินของเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว และเราได้กระทำ...” (อสค.37:13-14 ) 
ถ้อยคำนี้สำเร็จเป็นจริง เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่  2  ฝ่ายอักษะคือเยอรมัน เป็นฝ่ายแพ้สงคราม  เชลยสงครามชาวยิวได้รับการปล่อยตัวให้กลับบ้าน  ในปี ค.ศ.1947 ชาวยิวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิว( Holocaust) ได้เดินทางกลับบ้านโดยทางเรือ โดยเรือนั้นมีชื่อว่า  "อพยพ”(Exodus) พวกเขาอพยพกลับบ้านในดินแดนพันธสัญญาและในปี ค.ศ.1948 รัฐอิสราเอลได้รับการสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ  
หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงมีการเริ่มต้นโครงการ"อาลียาห์” (Aliyah) เพื่อส่งเสริมให้คนยิวได้เดินทางกลับสู่บ้าน
คำว่า "Aliyah" หมายความว่า “ขึ้นไปสู่ที่สูง” (to ascend,go up) ตามพระวจนะ (อสย.11:12) ​พระองค์จะทรงยกเครื่องหมายนั้นขึ้นให้แก่บรรดาประชาชาติ และจะชุมนุมอิสราเอลที่พลัดพราก และรวบรวมยูดาห์ที่กระจัดกระจาย จากสี่มุมแห่งแผ่นดินโลก 
ดังนั้นการที่คนยิวอพยพกลับไปบ้านที่อิสราเอล พวกเขากำลัง Aliyah กลับไปยังดินแดนพันธสัญญา  แต่เนื่องจากคนยิวบางคนไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยตัวเองให้เดินทางกลับไปยังแผ่นดินของตนได้ เพราะพวกเขาขาดปัจจัยและโอกาส
ผมขอหนุนใจพี่น้องทุกท่านว่า ในฐานะที่เราเป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One New Man)กับคนยิวเป็นคนในครอบครัวเดียวกันผ่านทางพระเยซูคริสต์(อฟ.2:15-17) เราจึงมีภาระใจร่วมกันในการอธิษฐานเผื่อและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมจัดหาทุนส่งเสริมให้พวกเขาได้กลับบ้าน  อิสราเอลเป็นชนชาติแห่งพระพร  เมื่อเราทำสิ่งดีให้เขา เราจะได้รับพระพรตามพระสัญญา(ปฐก.12)  ให้เรามีส่วนร่วมทำให้เป้าประสงค์ของพระยาห์เวห์สำเร็จ
อสย. 49:22 ...“ดูเถิด เราจะยกมือของเรากวักบรรดาประชาชาติ และยกสัญญาณของเราต่อชนชาติทั้งหลาย และเขาทั้งหลายจะอุ้มบรรดาบุตรชายของเจ้ามา และบรรดาบุตรหญิงของเจ้านั้น เขาจะใส่บ่าแบกมา”

18 พฤศจิกายน 2560

อย่าไถลเข้าสู่การหมดไฟ(Flirting with burnout)

อย่าไถลเข้าสู่การหมดไฟ (Flirting with burnout)  
โดย โคดี้ อาเชอร์(Cody Archer)
คุณเคยเริ่มต้นฤดูกาลหรือตำแหน่งใหม่ที่มาพร้อมกับความหวังและความตื่นเต้นสูงหรือไม่? จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นตามแบบที่คุณคิดว่ามันควรจะเป็น โครงการต่างๆ ก็คืบหน้าช้ากว่าที่คาดไว้ ความสัมพันธ์ก็ถดถอยลงไป ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ ทำให้พลังงานและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของคุณกำลังหมดไปเรื่อยๆ คุณรู้สึกว่าความต้องการของคนอื่นที่ฝากไว้กับคุณกำลังโถมทับ การเงินไม่คล่องมือมากกว่าที่คาดคิด และยังปัญหาด้านสุขภาพที่ไม่จบไม่สิ้นจนเหมือนจะทำลายคุณ...
โคดี้ อาเชอร์ (Cody Archer)
ผมเองได้มีประสบการณ์บางอย่างกับความท้าทายเหล่านี้ในปีที่ผ่านมาและได้เรียนรู้ว่าถ้าความกดดันเช่นนี้ไม่ได้ถูกรับมือในทางที่ถูกต้อง พวกมันสามารถกลายเป็นสูตรสำเร็จไปสู่การหมดไฟ
ทางลื่นอันลาดชัน(Slippery Slope)
พัฒนาการอย่างง่ายๆ ไปสู่การหมดไฟ เป็นไปอย่างนี้: ด้วยเหตุผลหลายประการ ความหวังอันสูงของคุณนั้นอาจลดน้อยลงไป ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดและความขุ่นเคือง ในเมื่อยังไม่พบวิธีแก้ปัญหาเพื่อต่อสู้กับความขุ่นเคืองเหล่านั้น คุณก็จะเริ่มรู้สึกโกรธไม่พอใจ ความไม่พอใจสามารถแสดงให้เห็นได้ด้วยวิธีต่างๆ     แต่ถ้าไม่จัดการแก้ไข คุณก็จะไถลลงไปตามทางลื่นอันลาดชันนั้นไปยังความเฉยชา คุณเลิกใส่ใจ         ความปรารถนาครั้งหนึ่งนั้นของคุณที่มันเคยเป็นไฟเร่าร้อนเพื่อสร้างความแตกต่างได้กลายเป็นแค่กองถ่าน ที่ระอุอยู่เท่านั้น การตัดสินใจอะไรที่เคยง่ายก็กลายเป็นเรื่องยาก และคุณก็ต้องการให้คนอื่นตัดสินใจให้คุณมากกว่า ถ้าคุณละเลยต่อสัญญาณเตือนสภาวะอารมณ์ของคุณเช่นนี้ ความเฉยชานั้นแหละจะนำคุณไปสู่ภาวะความซึมเศร้าและภาวะหมดไฟ
ผมกลับดีใจที่ผมสังเกตเห็นสัญญาณเตือนและได้พบกับผู้นำของผม ได้หารือเกี่ยวกับความต้องการของผมสำหรับการได้พักผ่อนและการพักฟื้น นี่รวมถึงการใช้เวลาหลายสัปดาห์หยุดพักจากการทำรับใช้ และอุทิศเวลาของผมเพื่อรับกำลังในการทรงสถิตของพระเจ้ารวมถึงจุดไฟภายในของผมขึ้นใหม่
รากสาเหตุ(Root Cause)
ผมได้เรียนรู้ว่าคนที่มีบุคลิกเก็บตัวแต่เป็นบุคลิกประเภท 'A'  อย่างตัวผมเองนั้นส่วนใหญ่มักจะมีแนวโน้มว่าจะหมดไฟได้ง่าย ตัวการหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการก้าวสู่ความถดถอยของผมไม่ได้เป็นปริมาณงานมากที่ผมทำอยู่ (แน่นอนนี่เป็นปัจจัยหนึ่ง) แต่คือปริมาณงานที่ผมทำนอกเหนือความสนใจหลักของผมต่างหาก ผมเปลี่ยนจากการเป็นผู้นำไปสู่การบริหารจัดการ ผมต้องวุ่นอยู่กับอีเมล์ การประชุมและงานด้านการบริหาร รวมถึงสูญเสียการมองภาพรวมไป
ทุกวันนี้ทุกคนก็ดูเหมือนจะใช้ชีวิตที่เร่งรีบเกินจะรับไหว เราคิดว่า "การทำตัวยุ่ง" เราควรได้รับติดเข็มเกียรติยศและสามารถแสดงให้คนอื่นเห็นเพื่อว่าเรารู้สึกมีความสำคัญมากขึ้น แต่เมื่อเราหยุดและนั่นผมหมายถึงหยุดจริงๆ และกลับมาประเมินทั้งหมดดูสิ่งที่เรากำลังทำและเหตุผลที่เรากำลังทำมัน ส่วนใหญ่จะพบว่าพวกเขาได้กลายเป็นอยู่กับรูปการปัจจุบันแทนที่จะได้ไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุด โดยตามสถิติ ผู้คนเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขารัก แต่กลับทำในสิ่งที่ทำให้ตนไม่พึงพอใจ รับภาระหนักเกินไป และกำลังไถลเข้าสู่การหมดไฟในที่สุด
สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคุณหรือไม่? คุณกำลังกำลังไถลเข้าสู่การหมดไฟหรือไม่? สภาพฝ่ายวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของคุณเป็นอย่างไร? สัปดาห์หน้าผมจะแบ่งปันกับคุณถึง 5 สิ่งที่ผมได้รับเพื่อให้ชีวิตและสุขภาพภายในของผมได้กลับมาเป็นปกติสุข
ขอบคุณข้อมูลจาก http://kehilanews.com/2017/11/09/flirting-with-burnout/