1 คร.10:23
23 เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น
24 อย่าให้ผู้ใดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น
พระคัมภีร์ได้ให้ความหมาย “การถวายเกียรติ” ว่าเป็นการให้เกียรติ การยกย่องเชิดชู ในทุกทาง ทุกมิติของชีวิตและในทุกอิริยาบถ
1 คร.6:18-20 บอกว่า…ให้ถวายเกียรติด้วยการดูแลรักษา “ร่างกาย” ไม่ให้เป็นมลทินแปดเปื้อนด้วยความบาป (ทางเพศ)
1คร.6:18-20
19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
20 พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจง
ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
1 คร.10:31 บอกให้…ถวายเกียรติใน “การกระทำทุกอย่าง”(การกิน การดื่ม)
2 คร.9:11-13 บอกให้… ถวายเกียรติด้วย “การอารักขาทรัพย์สิน” ที่พระเจ้าประทานให้ด้วยการมีใจกว้างขวางแบ่งปันให้ผู้อื่นรับพร
2 คร. 9:11-13
แจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งโดยเราจัดแจก จะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า
12 เพราะว่าการรับใช้ในการปรนนิบัตินั้น มิใช่จะช่วยธรรมิกชนซึ่งขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอันมากด้วย
13 และเนื่องจากผลแห่งการปฏิบัตินั้น เขาจึงสรรเสริญพระเจ้า โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายยอมฟัง และตั้งใจอยู่ในอำนาจข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเพราะเหตุท่านได้แจกจ่ายแก่เขา และแก่คนทั้งปวงด้วยใจกว้างขวาง
มธ.5:16 บอกให้… ถวายเกียรติด้วยชีวิตที่แสดงออกเป็น “การทำดี”
มธ.5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขา
ได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
การดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติเหล่านี้ ทำให้คนเห็นและอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญ พระเจ้าของเรา
คำถาม คือ การดำเนินชีวิตของเรานั้นเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่ เพียงไร?
ขอให้ชีวิตของเราถวายเกียรติพระเจ้า โดยให้คนมองเห็นพระคริสต์ในเรา เป็นดุจตัวอักษรของพระคริสต์ที่คนอ่านได้
2 คร.3:3 ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ซึ่งเราได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึกแต่
ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์...
สรุป “การดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า” เป็นการดำเนินชีวิตที่แสดงออกมาปรากฏชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ชัด ผู้คนรอบข้างสัมผัสได้ ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีข้อติเตียน ส่งผลให้คนยกย่องสรรเสริญพระเจ้า "การกระทำดังกว่าคำพูดที่เรากล่าวออกไป"
เราจะดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้อย่างไร?
1.มีองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่งในชีวิต : ความรัก ความรู้ และวิจารณญาณ
ฟป.1:9-11
10 เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์
11 จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความ ชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า
นี่คือ คำอธิษฐานของอัครทูตเปาโลเพื่อให้ผู้เชื่อที่ฟิลิปปีมีชีวิตที่ ถวายเกียรติ โดยบอกว่า “และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้น พร้อมกับ ความรู้และวิจารณญาณทุกอย่าง”
คำว่า “พร้อมกับ” ให้ความหมายว่าในขณะที่มีความรัก ให้มีความรู้ด้วย ให้มีวิจารณญาณด้วย นั่นคือ ไม่อาจขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า
นั่นคือ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ที่จำเป็นต้องมีในชีวิต เพื่อเราจะดำเนินชีวิตอย่างเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า ให้เราพิจารณา องค์ประกอบแรก “ความรัก”
คำว่า “ความรัก” ในที่นี้เปาโลใช้คำว่า “อากาเป้” นั่นคือความรักสูงสุดแบบพระเจ้า
อัครทูตเปาโลบอกว่า...ขอให้ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้น (ฟป.1:9)
คำว่า “เจริญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ” มาจากภาษากรีกหลายๆ คำรวมกันให้ความหมายว่า... มีมากมายแบบทวีคูณ อย่างล้นเหลือ มากขึ้นจากเดิมที่เคยมี ที่มีอยู่แล้วให้มี มากไปกว่านั้นอีก
นั่นคือ ให้มีความรักอากาเป้ที่ทวีคูณ
คำว่า “ความรู้” เปาโลใช้คำที่ให้ความหมายว่าเป็นความรู้แบบรู้จัก ความรู้แบบ มีความสำนึก
คำว่า “ความรู้” ในภาษากรีกนี้ ถูกใช้เมื่อต้องการพูดถึง...การ “รู้จัก” พระเจ้า
อฟ.1:17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดา
ผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์
คส.1:9 เพราะเหตุนี้นับตั้งแต่วันที่เราได้ยิน เราก็ไม่ได้หยุดในการที่จะอธิษฐานขอเพื่อ
ท่าน ให้ท่านเพียบพร้อมด้วยความรู้ถึงพระทัยของพระองค์ ในสรรพปัญญาและในความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ
การ “รู้ในการดี” ที่มีในพระเยซูคริสต์
ฟม.1:6 และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้การที่ท่านร่วมเชื่อกับพวกเรานั้น จงเพิ่มพูน
ความรู้ในการดีทั้งปวงของพวกเรา ซึ่งมีในพระคริสต์
“การดีทั้งปวงของพวกเราซึ่งมีในพระเยซูคริสต์” หมายถึง การกระทำดี บุคลิกภาพดี ความรู้สึกนึกคิดดี เหตุผลดี หลักการดี ฯลฯ ซึ่งเกิดจากการมีพระคริสต์อยู่ภายในชีวิต ที่ปรากฏออกมาเป็นการแสดงออกมาภายนอก
นั่นคือ การมี “ความรัก” อากาเป้ที่ทวีคูณ การมี “ความรู้”อย่างล้ำลึกเกี่ยวกับพระเจ้า รู้ใจของพระเจ้า และรู้เกี่ยวกับการดีในมาตรฐานของพระคริสต์
ซึ่งอัครทูตเปาโลบอกว่าให้มีพร้อมกับ องค์ประกอบที่สาม ด้วย ได้แก่ “วิจารณญาณ”
เราพบคำว่า “วิจารณญาณ” ในพันธสัญญาใหม่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งให้ความหมายว่า ความเข้าใจลึกซึ้งโดยใช้วิจารณญาณในารตัดสิน “ทุกอย่าง”
ซึ่งคำว่า “ทุกอย่าง” ภาษาเดิมให้ความหมายว่ามีครบถ้วน มีทุกด้าน มีในทุกสิ่ง มีเสมอไป มีเรื่อยๆ มีตลอดไป
ฟป1: 10 เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็น
คนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์
คำว่า “สังเกต” ให้ความหมายว่า ทดสอบ หรือ ชันสูตร
ดังนั้น เมื่ออัครทูตเปาโลบอกว่า…เพื่อท่านจะสังเกตว่าสิ่งใดประเสริฐสุด จึงหมายถึง ให้มีวิจารณญาณ หรือการทดสอบ หรือการสามารถทดสอบได้ว่าสิ่งใดมีค่ายิ่งกว่า สูงส่งกว่า ดียอดเยี่ยม หรือถูกต้อง
นี่แหละคือ ชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ไร้ที่ตินั่นเองที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ปรารถนาดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้นั้น
ต้อง “มีความรัก” แบบพระเจ้า เป็นรักแบบอากาเป้ ความรักเช่นนี้ที่ทำให้เราตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า และเห็นแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ
ต้อง “มีความรู้” แบบรู้จักพระเจ้า รู้พระทัยของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง รู้ถึงการดีที่พึงมีของผู้ที่มีชีวิตของพระคริสต์ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าใจของพระเจ้าคิดอย่างไร รู้ว่าการดีอะไร พึงกระทำที่จะทำให้ พระเจ้าได้รับพระเกียรติ
และต้อง “มีวิจารณญาณ” ที่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรคือประเสริฐที่สุด ดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด สามารถแยกแยะสิ่งผิดถูกนี่เองช่วยให้เราสามารถตัดสินใจกระทำแต่สิ่งที่ พระเจ้าได้รับพระเกียรติเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ การพึ่งพาพระวิญญาณ และอาศัยจิตสำนึกร่วมกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า และหลักการดำเนินชีวิตคริสเตียนจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เราทำ หรือแสดงออกในชีวิตประจำวันเป็นที่ถวายเกียรติหรือไม่
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีนั้น พระเจ้าได้สร้างมนุษย์เรามาพร้อมกับจิตสำนึกที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในส่วนลึกภายในใจของมนุษย์ เป็นกลไกหรือระบบเตือนภายในที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในใจของมนุษย์เพื่อชี้บอกว่า ความคิด ท่าที และการกระทำขอเงเราว่าเป็นเช่นไร จิตสำนึกจะทำหน้าที่ฟ้องให้มนุษย์เกิดความไม่สบายใจ เมื่อทำผิด เป็นเหมือนแท่งสามเหลี่ยมที่หมุนอยู่ในใจที่คอยทิ่มแทงให้รู้สึกตัวเมื่อคิดผิด หรือทำผิด
แต่เพราะอิทธิพลแห่งบาปทำให้การทำงานของจิตสำนึก บิดเบี้ยวไป
การรักษาจิตสำนึกผิดชอบจึงมีผลอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของเราว่าจะเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าเพียงไร
กจ.24:16 ในข้อนี้ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประพฤติตามที่จิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ มิให้ผิด
ต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์
อัครทูตเปาโลบอกว่า “อุตส่าห์” ประพฤติตามที่จิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ
คำว่า “อุตส่าห์” ภาษากรีกให้ความหมายคำนี้ว่า พยายาม หรือการทำจนสุดกำลัง
นั่นเองที่แสดงว่าการรักษาจิตสำนึกต้องมีความตั้งใจ มีความเพียรพยายาม
จิตสำนึกเป็นเหมือนกล้ามเนื้อที่จำเป็นต้องมีการออกกำลังกาย ฝึกฝนอยู่เสมอ
กล้ามเนื้อที่ไม่มีการออกกำลังจะหย่อนยานและขาดเรี่ยวแรงเช่นไร จิตสำนึกที่ขาดการฝึกฝนย่อมหย่อนยานและขาดเรี่ยวแรงเช่นกัน
ต้องมีการฝึกฝนอย่างไร ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูใช้คำว่า “ฝึกหัดอบรม”
ฮบ.5:13-14“เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น ยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะ
เขายังเป็นผู้เยาว์ อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการ
ฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว”
คำว่า “การฝึกหัดอบรม” มาจากภาษากรีกคำว่า “กุมนาดโซ” (Gumnazo) หมายถึง การฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง
คำนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า “ยิมเนเซียม”(Gymnasium) ซึ่งชาวกรีกนิยมการบริหารร่างกายอย่างมาก ส่วนต่างๆ ในร่างกายของเราสามารถรับการฝึกฝนจนมีประสิทธิภาพอย่าง น่าอัศจรรย์ฉันใด ประสาทสัมผัสฝ่ายวิญญาณหรือจิตสำนึกผิดชอบของเราก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกฝน เพื่อเราจะเป็นผู้มีวิจารณญาณที่ดีฉันนั้น
เราสามารถฝึกฝนจิตสำนึกผิดชอบของเราได้โดยการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและกระทำในสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำ
และสิ่งที่ต่อไปคือ "ดำเนินชีวิตไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลกระทบในทางลบ"
3.ดำเนินชีวิตไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลกระทบในทางลบ
คำว่า “อย่าเป็นต้นเหตุ” ในที่นี้ให้ความหมายว่า ไม่เป็นอันตราย นั่นคือ การไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลในทางลบเพราะการดำเนินชีวิตของเรา
พระเยซูให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องนี้ พระองค์มีความคิดเห็นว่า แม้แต่คนเล็กน้อยที่วางใจในพระองค์ หากผู้ใดทำให้คนเหล่านี้หลงผิดไป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึก(มธ.18:6-7)
นั่นคือ การไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบในทางลบ จากการดำเนินชีวิตของเรา จึงจะเป็นการดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า
อย่าให้เสรีภาพที่เรามี ทำลายจิตสำนึกที่อ่อนของผู้อื่น
บริบทในคริสตจักรนั้น มีผู้เชื่อที่แตกต่างกัน บางคนมีจิตสำนึกที่อ่อน บางคนมีจิตสำนึกที่เข้มแข็ง คนที่มีจิตสำนึกอ่อน ซึ่งมักมาจากความไม่รู้ หรือภูมิหลังในชีวิตก่อนมาเชื่อ ทำให้กระทบกระเทือนใจง่าย
ดังนั้น คนที่ตั้งใจดำเนินชีวิตถวายพระเกียรติจึงควรระมัดระวังไม่ให้สิ่งที่เราเห็นว่าดี เพราะสิ่งดีนั้นอาจกระทบกระเทือนต่อผู้ที่มีจิตสำนึกอ่อน
รม.14:19 เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติ ในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขแก่กัน และกัน และทำให้เกิดความเจริญแก่กันและกัน
อัครทูตเปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีอีกผู้หนึ่งที่ตั้งใจดำเนินชีวิตถวายเกียรติพระเจ้าโดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องรอบข้าง
2 คร. 6:3 เรามิได้ให้ผู้ใดมีเหตุสะดุดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพื่อมิให้การที่เรารับใช้ปฏิบัตินั้นเป็นที่เขาจะติเตียนได้
ท่านมีความตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะไม่เป็นเหตุผู้ใดสะดุดสักสิ่ง เพื่อให้ไม่มีใครติเตียนการรับใช้ของท่านได้ ทุกสิ่งที่ท่านทำ ท่านจะคำนึงเสมอว่าการกระทำนั้นส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร และจะทำให้พระคริสต์จะได้รับเกียรติหรือไม่
1.มีองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่งในชีวิต : ความรัก ความรู้ และวิจารณญาณ
2.การรักษาจิตสำนึกชอบ
3.ดำเนินชีวิตไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลกระทบในทางลบ
การแต่งกายและรูปลักษณ์ภายนอกของคนเป็น “อวจนะภาษา” ที่มีพลังมากในแง่ของสังคม และเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพในทางสังคม
ซึ่งหมายถึง ภาพของแต่ละบุคคลที่ปรากฏทางการแต่งกาย ท่วงทีกริยามารยาท การแสดงออก ที่จะทำให้ผู้พบเห็นมีความประทับใจได้ทั้งในด้านบวกหรือด้านลบ
ผู้ที่ปรากฏตัวทางกายอย่างดี ทั้งด้านการแต่งกายและมารยาท กาลเทศะทางสังคมอันดี จะเป็นที่ประทับใจ และทำให้คนอยากคบหาสมาคมกับบุคคลนั้น
สิ่งที่เราสวมใส่มักสะท้อนให้เห็นบุคลิกภาพ หรือ สิ่งที่เป็นเราไม่มากก็น้อย เช่น
บางคนเป็นคนที่สบายๆ ง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตองมากนัก การแต่งตัวจะไม่คำนึงถึงความเนี้ยบมากนัก เวลาไปไหนมาไหน อาจจะเพียงแค่เสื้อยืดตัว กางเกงตัว บางทีอาจไม่รีดด้วยซ้ำ
บางคนเป็นคนที่เนี้ยบ ละเอียด มีระเบียบ การแต่งกายจะเน้นความประณีต มีความเรียบร้อยอยู่ในรูปแบบของเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เป็นต้น
โดยทั่วไปแต่งตัวหรือใส่เครื่องประดับอาจมาจากวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
บ้างก็เพื่อความพอใจของตัวเอง หรือทำเพื่อต้องการให้คนชื่นชมว่าเป็นคนรวย มีอำนาจ หรือมีสถานะทางสังคม หรือบางทีก็แต่งตัวตามแฟชั่นเพื่อจะเข้ากับสังคมได้ดี
บางคนไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้สนใจถึงเรื่องการแต่งตัวเท่าไหร่ มีอะไรก็ใส่อย่างนั้น โดยคิดว่า “มันก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
คำถามคือ คริสเตียนควรสนใจเรื่องการแต่งกายของเราในโอกาสต่าง ๆ หรือไม่และจะถวายเกียรติพระเจ้าอย่างไร?
คำตอบคือ การแต่งกายที่ดีเหมาะสม บวกกับจิตใจภายในที่รับการชำระแล้ว สามารถสร้างการยอมรับนับถือและ ทำให้ผู้อื่นเห็นพระคริสต์ท่ามกลางสังคมคนที่ไม่เชื่อ
เป็นการแสดงถึงการรู้จักมารยาท กาลเทศะทางสังคม
มธ. 5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ
นั่นคือ เราจึงควรเป็นคนดีพร้อม มีความสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน
ดังนั้น หากเราถือหลักการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นหลักสูงสุด โดยเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เราเป็นและทำนั้น มีเป้าหมายเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่เรารัก
แม้แต่การแต่งกาย เราจึงต้องให้ความสำคัญว่า เราจะแต่งกายถวายเกียรติ พระเจ้าอย่างไรดี มีพระคัมภีร์หลายตอนที่จะช่วยสะท้อนให้เราเห็นมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้
ประดับกายด้วยเครื่องทองและไข่มุก หรือเสื้อผ้าราคาแพง แต่ให้ประดับด้วยการกระทำดี ซึ่งสมกับหญิงที่ประกาศตัวว่าถือพระเจ้า
คำว่า “แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย” มาจากภาษากรีก 2 คำ ให้ความหมายว่า “ระเบียบเรียบร้อย” และ “เหมาะสม หรือน่านับถือ”
ดังนั้น หลักการแต่งกายจากพระคัมภีร์ตอนนี้ กล่าวได้ว่า เราควรใช้หลักแต่งแบบ “สุภาพเรียบร้อย เหมาะสม”
ซึ่งหลักนี้ก็ถือว่าสอดคล้องกับหลักสากลทั่วไป คือการแต่งตัวที่มีความสุภาพเรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะ กลุ่มคน และสถานที่ที่เราไป และเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ที่เรารับผิดชอบ
1ปต. 3:3-4
4แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า
ในพระธรรมตอนนี้ อัครทูตเปโตรได้สอนพวกผู้หญิงในคริสตจักรที่ท่านเขียนจดหมายฝากไปถึง โดยในสมัยของท่านนั้น หญิงเหล่านี้มีเจตนาในการแต่งตัว หรือแต่งเสื้อผ้า ใบหน้า ทรงผม เพื่อจะทำให้ตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่น ซึ่งในสังคมชั้นสูงของโรมันสมัยนั้นมักจะนิยมตกแต่งผมอย่างหรูหรา
ขณะที่การแต่งกายภายนอกส่งผลต่อผู้เชื่อทุกคนในคริสตจักรไม่ว่าหญิงหรือชาย
อัครทูตเปโตรจึงได้แนะนำให้ความสำคัญกับความงามที่แท้จริง
แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งผิดที่จะแต่งตัวให้งดงามเพื่อให้ผู้อื่นได้เห็นความงดงามของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรา
สภษ.31:22เธอทำผ้าปูสำหรับเธอ เสื้อผ้าของเธอทำด้วยผ้าลินินเนื้อละเอียดและ
ผ้าสีม่วง
แต่หากไม่ได้ตกแต่งให้ภายในจิตใจของเรางดงาม ก็จะไม่ได้เป็นคุณค่าแท้สำหรับชีวิต
สภษ.11: 22 สตรีงามที่ปราศจากความเฉลียวฉลาด ก็เหมือนห่วงทองคำที่จมูกหมู
แม้พระคัมภีร์ได้เตือนใจผู้หญิง แต่เราสามารถปรับประยุกต์หลักการนี้มาใช้กับผู้ชายด้วย
ให้ระมัดระวังการแต่งกายของซึ่งเป็นภาพลักษณ์ภายนอก โดยให้ความสำคัญการสร้างคุณค่าภายในด้วย เพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
การแต่งกายที่เหมาะสมกับเพศ
ฉธบ.22:5 อย่าให้ผู้หญิงใช้เครื่องแต่งกายของผู้ชาย และอย่าให้ผู้ชายแต่งกายด้วย เครื่องของผู้หญิง เพราะผู้ใดกระทำสิ่งเหล่านี้ก็เป็นที่พึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน
เป็นการแต่งกายที่บ่งบอกความแตกต่างระหว่างเพศ ซึ่งเป็นการทรงสร้างของพระเจ้าตั้งแต่ต้นที่แยกชายแยกหญิง
หลักการในพระธรรมข้อนี้ คือการตระหนักถึง “เพศ” ทางธรรมชาติที่พระเจ้าให้ไว้
ประเด็นพิจารณา ที่เกี่ยวกับการแต่งกายบางประเด็น
ความสุภาพเรียบร้อย ขึ้นกับวัฒนธรรมของสังคม เช่น ถ้าเป็นสังคมไทยในปัจจุบัน การแต่งกายของผู้หญิงที่มองดูแล้วสุภาพ เรียบร้อย เช่น การใส่เสื้อ กับกระโปรงที่มีความยาวเหมาะสม ไม่สั้น ไม่รัด ไม่เปิดลำคอกว้าง ไม่บาง ที่กลายเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง
หรือใส่ชุดกางเกงผ้าแบบของสุภาพสตรีที่ดูดีเหมาะสม ดูแล้วสวยงาม สุภาพเรียบร้อย ก็เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทั้งนี้ขึ้นกับบทบาทหน้าที่ในสังคมนั้น ๆ ด้วย ความสุภาพเรียบร้อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคา
เราสามารถแต่งกายดีที่สุด เท่ากับที่เรามีอยู่เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า หากเราแต่งกายดูไม่ภูมิฐานเช่น ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะมาคริสตจักร คนที่มาครั้งแรกหรือบางคนที่มีความเชื่อน้อยก็อาจจะคิดว่า เราไม่ให้ความสำคัญต่อสถานที่และไม่เป็นการถวายเกียรติพระเจ้า
บางคนคิดว่า “เราจะแต่งกายอย่างไร ก็เป็นสิทธิ์ของเรา คนอื่นไม่น่ามายุ่ง”
บางคนคิดที่ว่า “รับไม่ได้กับการที่เห็นผู้หญิงใส่กางเกง (ผ้า) มาคริสตจักรวันอาทิตย์ หรือ สุภาพเรียบร้อยต้องเป็นกระโปรงเท่านั้น”
สรุปหลักสำคัญ คือแต่งกายสุภาพเหมาะสม ถูกกาลเทศะ และต้องไม่ตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของตน
เพราะแต่ละคน แต่ละสถานที่ แต่ละโอกาส มีความแตกต่างกันไป เราต้องรักษาจิตสำนึกชอบไม่แต่งกายเป็นเหตุให้มีผู้ใดสะดุด
สำหรับเรื่องอื่นๆ จะเกี่ยวกับการถวายเกียรติพระเจ้าในห้องประชุม เพราะเนื่องจากในการประชุมวันอาทิตย์ มีพี่น้องและผู้สนใจที่มาครั้งแรก ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญในการถวายเกียรติพระเจ้าในที่ประชุม ดังต่อไปนี้
1.ผู้เข้าร่วมประชุมควรงดการสนทนากัน เพราะจะเป็นการรบกวนที่ประชุม รวมถึงการพลาดข่าวสารที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศนา เนื่องจากไม่ตั้งใจในการรับฟัง เอาแต่พูดคุยกัน เพื่อเป็นการถวายเกียรติพระเจ้า ควรจะปิดโทรศัพท์มือถือหรือเปลี่ยนเป็นระบบสั่นเพื่อจะไม่มีเสียงรบกวนที่ประชุม หากมีเรื่องที่จะสื่อสารเราควรเขียนใส่กระดาษโน๊ตส่งให้กันแทน
2.ผู้ปกครองดูแลเด็ก ควรดูแลเด็กไม่ให้วิ่งไปมาเป็นการรบกวนที่ประชุม ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานควรจะพาบุตรหลานไปคริสตจักรเด็ก เพื่อรับการอบรมในทางของพระเจ้า เพื่อบุตรหลานของท่านจะเติบโตในทางพระเจ้า
สุภาษิต 22:6 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น
3.การบันทึกคำสอน ถือเป็นจริยธรรมคริสเตียน หากจะทำการอัดคำสอนหรือถ่ายภาพต้องได้รับการอนุญาตก่อน เพราะบางอย่างเป็นลิขสิทธิ์ ไม่ควรบันทึกคำสอนเพื่อไปใช้ในการค้าดังนั้นเราต้องรักษาจิตสำนึกชอบในเรื่องนี้
อีกประเด็นคือ การบันทึกคำสอนเองอาจจะไม่ได้คุณภาพเท่ากับการบันทึกคำสอนผ่านทางระบบของเจ้าหน้าที่ และเมื่อคริสตจักรมีฝ่ายบันทึกคำสอน เราควรจะสนับสนุนคริสตจักรโดยการซื้อ CD คำสอน เราจะได้รับ CD คำสอนที่มีคุณภาพ และไม่ผิดจริยธรรมคริสเตียน