27 กุมภาพันธ์ 2555

หลักปฏิบัติในคริสตจักร เรื่อง "การถวายเกียรติพระเจ้าในห้องประชุม"

สวัสดีครับ วันนี้ผมขอแบ่งปันคำสอนในเรื่อง หลักปฏิบัติในคริสตจักร เรื่อง การถวายพระเกียรติพระเจ้าในห้องประชุม ซึ่งผมได้เรียบเรียงจากคำสอนของอ.นิมิต พานิช ศบ.คริสตจักรแห่งพระบัญชา ในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวแต่บางครั้งละเลยที่จะทำการปฏิบัติให้เหมาะสม โดยเฉพาะในปัจจุบันกระแสสังคมในโลกได้มีอิทธิพลต่อสมาชิกคริสตจักรพอสมควร เราจะมีหลักปฏิบัติที่เหมาะสมอย่างไร เรามาพิจารณาร่วมกันครับ
"การดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า" เป็นการดำเนินชีวิตที่แสดงออกมาเป็นที่ประจักษ์สายตาคนทั้งปวง แล้วพระเจ้าได้รับพระเกียรติ โดยมีหลักการสำคัญ คือการไม่ได้ยึดถือและทำตามที่ใจตนคิดเพียงอย่างเดียวเป็นที่ตั้ง แต่คำนึงพระทัยของพระเจ้าว่า สิ่งนั้นเป็นที่ถวายเกียรติของพระเจ้าหรือไม่ และคำนึงใจของคนคนรอบข้างว่ารู้สึกเช่นไร และผลลัพธ์ที่ตามมาส่งผลกระทบทางบวกหรือทางลบ
1 คร.10:23
23 เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น
24 อย่าให้ผู้ใดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น

พระคัมภีร์ได้ให้ความหมาย “การถวายเกียรติ” ว่าเป็นการให้เกียรติ การยกย่องเชิดชู ในทุกทาง ทุกมิติของชีวิตและในทุกอิริยาบถ

1 ปต.4:11 บอกว่า…ให้ถวายเกียรติในทาง “วาจา” ในการ “ปรนนิบัติรับใช้” (กระทำบริการ)
1 คร.6:18-20 บอกว่า
…ให้ถวายเกียรติด้วยการดูแลรักษา “ร่างกาย” ไม่ให้เป็นมลทินแปดเปื้อนด้วยความบาป (ทางเพศ)
1คร.6:18-20

18 จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี บาปอย่างอื่นที่มนุษย์กระทำนั้นเป็นบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้น ทำผิดต่อร่างกายของตนเอง
19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
20 พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจง
ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
1 คร.10:31 บอกให้…ถวายเกียรติใน “การกระทำทุกอย่าง”(การกิน การดื่ม)
2 คร.9:11-13 บอกให้…
ถวายเกียรติด้วย “การอารักขาทรัพย์สิน” ที่พระเจ้าประทานให้ด้วยการมีใจกว้างขวางแบ่งปันให้ผู้อื่นรับพร
2 คร. 9:11-13

11 โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมี
แจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งโดยเราจัดแจก จะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า
12 เพราะว่าการรับใช้ในการปรนนิบัตินั้น มิใช่จะช่วยธรรมิกชนซึ่งขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอันมากด้วย
13 และเนื่องจากผลแห่งการปฏิบัตินั้น เขาจึงสรรเสริญพระเจ้า โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายยอมฟัง และตั้งใจอยู่ในอำนาจข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเพราะเหตุท่านได้แจกจ่ายแก่เขา และแก่คนทั้งปวงด้วยใจกว้างขวาง

มธ.5:16 บอกให้… ถวายเกียรติด้วยชีวิตที่แสดงออกเป็น “การทำดี”
มธ.5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขา
ได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
การดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติเหล่านี้ ทำให้คนเห็นและอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญ พระเจ้าของเรา
คำถาม คือ การดำเนินชีวิตของเรานั้นเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าหรือไม่ เพียงไร?

โดยพิจารณาจากผลลัพธ์ที่ตามมาว่า... ผู้คนมองทะลุผ่านชีวิตของเราแล้วเห็น อดไม่ได้ที่จะยกย่องสรรเสริญพระเจ้า ผู้อยู่เบื้องหลังชีวิตของเรา
ขอให้ชีวิตของเราถวายเกียรติพระเจ้า โดยให้คนมองเห็นพระคริสต์ในเรา เป็นดุจตัวอักษรของพระคริสต์ที่คนอ่านได้
2 คร.3:3 ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ซึ่งเราได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึกแต่
ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์...
สรุป “การดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า” เป็นการดำเนินชีวิตที่แสดงออกมาปรากฏชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ชัด ผู้คนรอบข้างสัมผัสได้ ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีข้อติเตียน ส่งผลให้คนยกย่องสรรเสริญพระเจ้า "การกระทำดังกว่าคำพูดที่เรากล่าวออกไป"

เราจะดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้อย่างไร?
1.มีองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่งในชีวิต : ความรัก ความรู้ และวิจารณญาณ

เราจะดำเนินชีวิตถวายพระเกียรติพระเจ้าได้โดยเริ่มจากพิจารณาในเรื่อง การมีองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่งในชีวิต คือ "ความรัก ความรู้ และวิจารณญาณ”
ฟป.1:9-11

9 และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้น พร้อมกับความรู้และวิจารณญาณทุกอย่าง
10 เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์
11 จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความ ชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า

นี่คือ คำอธิษฐานของอัครทูตเปาโลเพื่อให้ผู้เชื่อที่ฟิลิปปีมีชีวิตที่ ถวายเกียรติ โดยบอกว่า
“และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้น พร้อมกับ ความรู้และวิจารณญาณทุกอย่าง”
คำว่า “พร้อมกับ” ให้ความหมายว่าในขณะที่มีความรัก ให้มีความรู้ด้วย ให้มีวิจารณญาณด้วย นั่นคือ ไม่อาจขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า
นั่นคือ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ที่จำเป็นต้องมีในชีวิต เพื่อเราจะดำเนินชีวิตอย่างเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า ให้เราพิจารณา องค์ประกอบแรก “ความรัก”
คำว่า “ความรัก” ในที่นี้เปาโลใช้คำว่า “อากาเป้” นั่นคือความรักสูงสุดแบบพระเจ้า
อัครทูตเปาโลบอกว่า...ขอให้ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้น (ฟป.1:9)
คำว่า “เจริญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ” มาจากภาษากรีกหลายๆ คำรวมกันให้ความหมายว่า... มีมากมายแบบทวีคูณ อย่างล้นเหลือ มากขึ้นจากเดิมที่เคยมี ที่มีอยู่แล้วให้มี มากไปกว่านั้นอีก
นั่นคือ ให้มีความรักอากาเป้ที่ทวีคูณ

…ขอให้ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้น พร้อมกับความรู้(ฟป.1:9)
คำว่า “ความรู้” เปาโลใช้คำที่ให้ความหมายว่าเป็นความรู้แบบรู้จัก ความรู้แบบ มีความสำนึก
คำว่า “ความรู้” ในภาษากรีกนี้ ถูกใช้เมื่อต้องการพูดถึง...การ “รู้จัก” พระเจ้า
อฟ.1:17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดา
ผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์

ไม่เพียงแค่"รู้จักพระเจ้า" แต่ต้อง “รู้พระทัย”(รู้ใจ)พระเจ้า
คส.1:9 เพราะเหตุนี้นับตั้งแต่วันที่เราได้ยิน เราก็ไม่ได้หยุดในการที่จะอธิษฐานขอเพื่อ
ท่าน ให้ท่านเพียบพร้อมด้วยความรู้ถึงพระทัยของพระองค์ ในสรรพปัญญาและในความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ
การ “รู้ในการดี” ที่มีในพระเยซูคริสต์
ฟม.1:6 และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้การที่ท่านร่วมเชื่อกับพวกเรานั้น จงเพิ่มพูน
ความรู้ในการดีทั้งปวงของพวกเรา ซึ่งมีในพระคริสต์
“การดีทั้งปวงของพวกเราซึ่งมีในพระเยซูคริสต์” หมายถึง การกระทำดี บุคลิกภาพดี ความรู้สึกนึกคิดดี เหตุผลดี หลักการดี ฯลฯ ซึ่งเกิดจากการมีพระคริสต์อยู่ภายในชีวิต ที่ปรากฏออกมาเป็นการแสดงออกมาภายนอก
นั่นคือ การมี “ความรัก” อากาเป้ที่ทวีคูณ การมี “ความรู้”อย่างล้ำลึกเกี่ยวกับพระเจ้า รู้ใจของพระเจ้า และรู้เกี่ยวกับการดีในมาตรฐานของพระคริสต์
ซึ่งอัครทูตเปาโลบอกว่าให้มีพร้อมกับ องค์ประกอบที่สาม ด้วย ได้แก่ “วิจารณญาณ”

…ขอให้ความรักของท่านจำเริญยิ่งๆขึ้น พร้อมกับความรู้และวิจารณญาณทุกอย่าง (ฟป.1:9)
เราพบคำว่า “วิจารณญาณ” ในพันธสัญญาใหม่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งให้ความหมายว่า ความเข้าใจลึกซึ้งโดยใช้วิจารณญาณในารตัดสิน “ทุกอย่าง”
ซึ่งคำว่า “ทุกอย่าง” ภาษาเดิมให้ความหมายว่ามีครบถ้วน มีทุกด้าน มีในทุกสิ่ง มีเสมอไป มีเรื่อยๆ มีตลอดไป
ฟป1: 10 เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็น
คนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์

คำว่า “สังเกต” ให้ความหมายว่า ทดสอบ หรือ ชันสูตร

ส่วนคำว่า “ประเสริฐสุด” ให้ความหมายว่ามีค่ายิ่งกว่า มีค่าสูงส่งกว่าดียอดเยี่ยมหรือถูกต้อง
ดังนั้น เมื่ออัครทูตเปาโลบอกว่า…เพื่อท่านจะสังเกตว่าสิ่งใดประเสริฐสุด จึงหมายถึง ให้มีวิจารณญาณ หรือการทดสอบ หรือการสามารถทดสอบได้ว่าสิ่งใดมีค่ายิ่งกว่า สูงส่งกว่า ดียอดเยี่ยม หรือถูกต้อง
นี่แหละคือ ชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ไร้ที่ตินั่นเองที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ปรารถนาดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้นั้น
ต้อง “มีความรัก” แบบพระเจ้า เป็นรักแบบอากาเป้ ความรักเช่นนี้ที่ทำให้เราตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า และเห็นแก่ผู้อื่นก่อนเสมอ
ต้อง “มีความรู้” แบบรู้จักพระเจ้า รู้พระทัยของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง รู้ถึงการดีที่พึงมีของผู้ที่มีชีวิตของพระคริสต์ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าใจของพระเจ้าคิดอย่างไร รู้ว่าการดีอะไร พึงกระทำที่จะทำให้ พระเจ้าได้รับพระเกียรติ
และต้อง “มีวิจารณญาณ” ที่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรคือประเสริฐที่สุด ดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด สามารถแยกแยะสิ่งผิดถูกนี่เองช่วยให้เราสามารถตัดสินใจกระทำแต่สิ่งที่ พระเจ้าได้รับพระเกียรติเท่านั้น

สิ่งต่อมาที่จะทำให้เราเป็นผู้ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ในทุกอิริยาบทในชีวิต นั่นคือ

2.การรักษาจิตสำนึกชอบ

การดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้อย่างชัดเจน แต่มีหลักการนิรันดร์ (หลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา) ที่เราสามารถประยุกต์ได้
ด้วยเหตุนี้ การพึ่งพาพระวิญญาณ และอาศัยจิตสำนึกร่วมกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า และหลักการดำเนินชีวิตคริสเตียนจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เราทำ หรือแสดงออกในชีวิตประจำวันเป็นที่ถวายเกียรติหรือไม่
เมื่อแรกเริ่มเดิมทีนั้น พระเจ้าได้สร้างมนุษย์เรามาพร้อมกับจิตสำนึกที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในส่วนลึกภายในใจของมนุษย์ เป็นกลไกหรือระบบเตือนภายในที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในใจของมนุษย์เพื่อชี้บอกว่า ความคิด ท่าที และการกระทำขอเงเราว่าเป็นเช่นไร จิตสำนึกจะทำหน้าที่ฟ้องให้มนุษย์เกิดความไม่สบายใจ เมื่อทำผิด เป็นเหมือนแท่งสามเหลี่ยมที่หมุนอยู่ในใจที่คอยทิ่มแทงให้รู้สึกตัวเมื่อคิดผิด หรือทำผิด
แต่เพราะอิทธิพลแห่งบาปทำให้การทำงานของจิตสำนึก บิดเบี้ยวไป
การรักษาจิตสำนึกผิดชอบจึงมีผลอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของเราว่าจะเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าเพียงไร
กจ.24:16 ในข้อนี้ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประพฤติตามที่จิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ มิให้ผิด
ต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์

อัครทูตเปาโลบอกว่า “อุตส่าห์” ประพฤติตามที่จิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ
คำว่า “อุตส่าห์” ภาษากรีกให้ความหมายคำนี้ว่า พยายาม หรือการทำจนสุดกำลัง
นั่นเองที่แสดงว่าการรักษาจิตสำนึกต้องมีความตั้งใจ มีความเพียรพยายาม
จิตสำนึกเป็นเหมือนกล้ามเนื้อที่จำเป็นต้องมีการออกกำลังกาย ฝึกฝนอยู่เสมอ
กล้ามเนื้อที่ไม่มีการออกกำลังจะหย่อนยานและขาดเรี่ยวแรงเช่นไร จิตสำนึกที่ขาดการฝึกฝนย่อมหย่อนยานและขาดเรี่ยวแรงเช่นกัน
ต้องมีการฝึกฝนอย่างไร ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูใช้คำว่า
“ฝึกหัดอบรม”
ฮบ.5:13-14“เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น ยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะ
เขายังเป็นผู้เยาว์ อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการ
ฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว”

คำว่า “การฝึกหัดอบรม” มาจากภาษากรีกคำว่า “กุมนาดโซ” (Gumnazo) หมายถึง การฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง
คำนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า “ยิมเนเซียม”(Gymnasium) ซึ่งชาวกรีกนิยมการบริหารร่างกายอย่างมาก ส่วนต่างๆ ในร่างกายของเราสามารถรับการฝึกฝนจนมีประสิทธิภาพอย่าง น่าอัศจรรย์ฉันใด ประสาทสัมผัสฝ่ายวิญญาณหรือจิตสำนึกผิดชอบของเราก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกฝน เพื่อเราจะเป็นผู้มีวิจารณญาณที่ดีฉันนั้น
เราสามารถฝึกฝนจิตสำนึกผิดชอบของเราได้โดยการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและกระทำในสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำ

ในที่สุด ชีวิตของเราเติบโตและพัฒนาจากการดื่มแต่น้ำนม มารับประทานอาหารแข็งได้ในที่สุด การฝึกฝนในชีวิตเช่นนี้เป็นนิจ ในที่สุดจิตสำนึกของเราจะเข้มแข็งและแม่นยำมากขึ้นๆ
และสิ่งที่ต่อไปคือ "ดำเนินชีวิตไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลกระทบในทางลบ"
3.ดำเนินชีวิตไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลกระทบในทางลบ

1 คร.10:32 อย่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิว หรือพวกกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดไป
คำว่า “อย่าเป็นต้นเหตุ” ในที่นี้ให้ความหมายว่า ไม่เป็นอันตราย นั่นคือ การไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลในทางลบเพราะการดำเนินชีวิตของเรา
พระเยซูให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องนี้ พระองค์มีความคิดเห็นว่า แม้แต่คนเล็กน้อยที่วางใจในพระองค์ หากผู้ใดทำให้คนเหล่านี้หลงผิดไป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึก(มธ.18:6-7)
นั่นคือ การไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบในทางลบ จากการดำเนินชีวิตของเรา จึงจะเป็นการดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้า
อย่าให้เสรีภาพที่เรามี ทำลายจิตสำนึกที่อ่อนของผู้อื่น
บริบทในคริสตจักรนั้น มีผู้เชื่อที่แตกต่างกัน บางคนมีจิตสำนึกที่อ่อน บางคนมีจิตสำนึกที่เข้มแข็ง คนที่มีจิตสำนึกอ่อน ซึ่งมักมาจากความไม่รู้ หรือภูมิหลังในชีวิตก่อนมาเชื่อ ทำให้กระทบกระเทือนใจง่าย
ดังนั้น คนที่ตั้งใจดำเนินชีวิตถวายพระเกียรติจึงควรระมัดระวังไม่ให้สิ่งที่เราเห็นว่าดี เพราะสิ่งดีนั้นอาจกระทบกระเทือนต่อผู้ที่มีจิตสำนึกอ่อน

อัครทูตเปาโลบอกว่าจงมุ่งประพฤติในสิ่งที่ทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญแก่กันและกัน
รม.14:19 เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติ ในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขแก่กัน และกัน และทำให้เกิดความเจริญแก่กันและกัน
อัครทูตเปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีอีกผู้หนึ่งที่ตั้งใจดำเนินชีวิตถวายเกียรติพระเจ้าโดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องรอบข้าง
2 คร. 6:3 เรามิได้ให้ผู้ใดมีเหตุสะดุดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพื่อมิให้การที่เรารับใช้ปฏิบัตินั้นเป็นที่เขาจะติเตียนได้
ท่านมีความตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะไม่เป็นเหตุผู้ใดสะดุดสักสิ่ง เพื่อให้ไม่มีใครติเตียนการรับใช้ของท่านได้ ทุกสิ่งที่ท่านทำ ท่านจะคำนึงเสมอว่าการกระทำนั้นส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร และจะทำให้พระคริสต์จะได้รับเกียรติหรือไม่

ดังนั้นการดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในชีวิตประจำวัน เราต้องนำหลักการทั้ง 3 ประการ คือ
1.มีองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่งในชีวิต : ความรัก ความรู้ และวิจารณญาณ
2.การรักษาจิตสำนึกชอบ
3.ดำเนินชีวิตไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับผลกระทบในทางลบ

เมื่อเราเข้าใจหลักการเบื้องต้นแล้ว ในภาคปฏิบัติ เราจะดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติพระเจ้าอย่างไร ผมขอสรุปนำเรื่องที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับพี่น้องในคริสตจักร นั่นคือ การถวายเกียรติแด่พระเจ้าในที่ประชุมโดยเฉพาะในวันอาทิตย์

การแต่งกายในที่ประชุม
การแต่งกายและรูปลักษณ์ภายนอกของคนเป็น “อวจนะภาษา” ที่มีพลังมากในแง่ของสังคม และเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพในทางสังคม
ซึ่งหมายถึง ภาพของแต่ละบุคคลที่ปรากฏทางการแต่งกาย ท่วงทีกริยามารยาท การแสดงออก ที่จะทำให้ผู้พบเห็นมีความประทับใจได้ทั้งในด้านบวกหรือด้านลบ
ผู้ที่ปรากฏตัวทางกายอย่างดี ทั้งด้านการแต่งกายและมารยาท กาลเทศะทางสังคมอันดี จะเป็นที่ประทับใจ และทำให้คนอยากคบหาสมาคมกับบุคคลนั้น
สิ่งที่เราสวมใส่มักสะท้อนให้เห็นบุคลิกภาพ หรือ สิ่งที่เป็นเราไม่มากก็น้อย เช่น
บางคนเป็นคนที่สบายๆ ง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตองมากนัก การแต่งตัวจะไม่คำนึงถึงความเนี้ยบมากนัก เวลาไปไหนมาไหน อาจจะเพียงแค่เสื้อยืดตัว กางเกงตัว บางทีอาจไม่รีดด้วยซ้ำ
บางคนเป็นคนที่เนี้ยบ ละเอียด มีระเบียบ การแต่งกายจะเน้นความประณีต มีความเรียบร้อยอยู่ในรูปแบบของเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เป็นต้น
โดยทั่วไปแต่งตัวหรือใส่เครื่องประดับอาจมาจากวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
บ้างก็เพื่อความพอใจของตัวเอง หรือทำเพื่อต้องการให้คนชื่นชมว่าเป็นคนรวย มีอำนาจ หรือมีสถานะทางสังคม หรือบางทีก็แต่งตัวตามแฟชั่นเพื่อจะเข้ากับสังคมได้ดี
บางคนไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้สนใจถึงเรื่องการแต่งตัวเท่าไหร่ มีอะไรก็ใส่อย่างนั้น โดยคิดว่า “มันก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
คำถามคือ คริสเตียนควรสนใจเรื่องการแต่งกายของเราในโอกาสต่าง ๆ หรือไม่และจะถวายเกียรติพระเจ้าอย่างไร?
คำตอบคือ การแต่งกายที่ดีเหมาะสม บวกกับจิตใจภายในที่รับการชำระแล้ว สามารถสร้างการยอมรับนับถือและ ทำให้ผู้อื่นเห็นพระคริสต์ท่ามกลางสังคมคนที่ไม่เชื่อ
เป็นการแสดงถึงการรู้จักมารยาท กาลเทศะทางสังคม
มธ. 5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ

คำว่า “ดีรอบคอบ” ความหมายในภาษาเดิม คือความดีพร้อม ความสมบูรณ์แบบ
นั่นคือ เราจึงควรเป็นคนดีพร้อม มีความสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน
ดังนั้น หากเราถือหลักการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นหลักสูงสุด โดยเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เราเป็นและทำนั้น มีเป้าหมายเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่เรารัก
แม้แต่การแต่งกาย เราจึงต้องให้ความสำคัญว่า เราจะแต่งกายถวายเกียรติ พระเจ้าอย่างไรดี มีพระคัมภีร์หลายตอนที่จะช่วยสะท้อนให้เราเห็นมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้


1ทธ. 2:9 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็เหมือนกัน ให้แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย ไม่ใช่ถักผมหรือ
ประดับกายด้วยเครื่องทองและไข่มุก หรือเสื้อผ้าราคาแพง แต่ให้ประดับด้วยการกระทำดี ซึ่งสมกับหญิงที่ประกาศตัวว่าถือพระเจ้า

คำว่า “แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย” มาจากภาษากรีก 2 คำ ให้ความหมายว่า “ระเบียบเรียบร้อย” และ “เหมาะสม หรือน่านับถือ”
ดังนั้น หลักการแต่งกายจากพระคัมภีร์ตอนนี้ กล่าวได้ว่า เราควรใช้หลักแต่งแบบ “สุภาพเรียบร้อย เหมาะสม”
ซึ่งหลักนี้ก็ถือว่าสอดคล้องกับหลักสากลทั่วไป คือการแต่งตัวที่มีความสุภาพเรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะ กลุ่มคน และสถานที่ที่เราไป และเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ที่เรารับผิดชอบ
1ปต. 3:3-4

3 การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผมประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม
4แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า
ในพระธรรมตอนนี้ อัครทูตเปโตรได้สอนพวกผู้หญิงในคริสตจักรที่ท่านเขียนจดหมายฝากไปถึง โดยในสมัยของท่านนั้น หญิงเหล่านี้มีเจตนาในการแต่งตัว หรือแต่งเสื้อผ้า ใบหน้า ทรงผม เพื่อจะทำให้ตัวเองดูดีในสายตาของคนอื่น ซึ่งในสังคมชั้นสูงของโรมันสมัยนั้นมักจะนิยมตกแต่งผมอย่างหรูหรา
ขณะที่การแต่งกายภายนอกส่งผลต่อผู้เชื่อทุกคนในคริสตจักรไม่ว่าหญิงหรือชาย
อัครทูตเปโตรจึงได้แนะนำให้ความสำคัญกับความงามที่แท้จริง
แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งผิดที่จะแต่งตัวให้งดงามเพื่อให้ผู้อื่นได้เห็นความงดงามของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรา
สภษ.31:22เธอทำผ้าปูสำหรับเธอ เสื้อผ้าของเธอทำด้วยผ้าลินินเนื้อละเอียดและ
ผ้าสีม่วง

แต่หากไม่ได้ตกแต่งให้ภายในจิตใจของเรางดงาม ก็จะไม่ได้เป็นคุณค่าแท้สำหรับชีวิต
สภษ.11: 22 สตรีงามที่ปราศจากความเฉลียวฉลาด ก็เหมือนห่วงทองคำที่จมูกหมู
แม้พระคัมภีร์ได้เตือนใจผู้หญิง แต่เราสามารถปรับประยุกต์หลักการนี้มาใช้กับผู้ชายด้วย
ให้ระมัดระวังการแต่งกายของซึ่งเป็นภาพลักษณ์ภายนอก โดยให้ความสำคัญการสร้างคุณค่าภายในด้วย เพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
การแต่งกายที่เหมาะสมกับเพศ
ฉธบ.22:5 อย่าให้ผู้หญิงใช้เครื่องแต่งกายของผู้ชาย และอย่าให้ผู้ชายแต่งกายด้วย เครื่องของผู้หญิง เพราะผู้ใดกระทำสิ่งเหล่านี้ก็เป็นที่พึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน
เป็นการแต่งกายที่บ่งบอกความแตกต่างระหว่างเพศ ซึ่งเป็นการทรงสร้างของพระเจ้าตั้งแต่ต้นที่แยกชายแยกหญิง
หลักการในพระธรรมข้อนี้ คือการตระหนักถึง “เพศ” ทางธรรมชาติที่พระเจ้าให้ไว้
ประเด็นพิจารณา ที่เกี่ยวกับการแต่งกายบางประเด็น
ความสุภาพเรียบร้อย ขึ้นกับวัฒนธรรมของสังคม เช่น ถ้าเป็นสังคมไทยในปัจจุบัน การแต่งกายของผู้หญิงที่มองดูแล้วสุภาพ เรียบร้อย เช่น การใส่เสื้อ กับกระโปรงที่มีความยาวเหมาะสม ไม่สั้น ไม่รัด ไม่เปิดลำคอกว้าง ไม่บาง ที่กลายเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง
หรือใส่ชุดกางเกงผ้าแบบของสุภาพสตรีที่ดูดีเหมาะสม ดูแล้วสวยงาม สุภาพเรียบร้อย ก็เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทั้งนี้ขึ้นกับบทบาทหน้าที่ในสังคมนั้น ๆ ด้วย ความสุภาพเรียบร้อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคา
เราสามารถแต่งกายดีที่สุด เท่ากับที่เรามีอยู่เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า หากเราแต่งกายดูไม่ภูมิฐานเช่น ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะมาคริสตจักร คนที่มาครั้งแรกหรือบางคนที่มีความเชื่อน้อยก็อาจจะคิดว่า เราไม่ให้ความสำคัญต่อสถานที่และไม่เป็นการถวายเกียรติพระเจ้า
บางคนคิดว่า “เราจะแต่งกายอย่างไร ก็เป็นสิทธิ์ของเรา คนอื่นไม่น่ามายุ่ง”
บางคนคิดที่ว่า “รับไม่ได้กับการที่เห็นผู้หญิงใส่กางเกง (ผ้า) มาคริสตจักรวันอาทิตย์ หรือ สุภาพเรียบร้อยต้องเป็นกระโปรงเท่านั้น”
สรุปหลักสำคัญ คือแต่งกายสุภาพเหมาะสม ถูกกาลเทศะ และต้องไม่ตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของตน
เพราะแต่ละคน แต่ละสถานที่ แต่ละโอกาส มีความแตกต่างกันไป เราต้องรักษาจิตสำนึกชอบไม่แต่งกายเป็นเหตุให้มีผู้ใดสะดุด
สำหรับเรื่องอื่นๆ จะเกี่ยวกับการถวายเกียรติพระเจ้าในห้องประชุม เพราะเนื่องจากในการประชุมวันอาทิตย์ มีพี่น้องและผู้สนใจที่มาครั้งแรก ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญในการถวายเกียรติพระเจ้าในที่ประชุม ดังต่อไปนี้
1.ผู้เข้าร่วมประชุมควรงดการสนทนากัน เพราะจะเป็นการรบกวนที่ประชุม รวมถึงการพลาดข่าวสารที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศนา เนื่องจากไม่ตั้งใจในการรับฟัง เอาแต่พูดคุยกัน เพื่อเป็นการถวายเกียรติพระเจ้า ควรจะปิดโทรศัพท์มือถือหรือเปลี่ยนเป็นระบบสั่นเพื่อจะไม่มีเสียงรบกวนที่ประชุม หากมีเรื่องที่จะสื่อสารเราควรเขียนใส่กระดาษโน๊ตส่งให้กันแทน
2.ผู้ปกครองดูแลเด็ก ควรดูแลเด็กไม่ให้วิ่งไปมาเป็นการรบกวนที่ประชุม ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานควรจะพาบุตรหลานไปคริสตจักรเด็ก เพื่อรับการอบรมในทางของพระเจ้า เพื่อบุตรหลานของท่านจะเติบโตในทางพระเจ้า
สุภาษิต 22:6 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น
3.การบันทึกคำสอน ถือเป็นจริยธรรมคริสเตียน หากจะทำการอัดคำสอนหรือถ่ายภาพต้องได้รับการอนุญาตก่อน เพราะบางอย่างเป็นลิขสิทธิ์ ไม่ควรบันทึกคำสอนเพื่อไปใช้ในการค้าดังนั้นเราต้องรักษาจิตสำนึกชอบในเรื่องนี้
อีกประเด็นคือ การบันทึกคำสอนเองอาจจะไม่ได้คุณภาพเท่ากับการบันทึกคำสอนผ่านทางระบบของเจ้าหน้าที่ และเมื่อคริสตจักรมีฝ่ายบันทึกคำสอน เราควรจะสนับสนุนคริสตจักรโดยการซื้อ CD คำสอน เราจะได้รับ CD คำสอนที่มีคุณภาพ และไม่ผิดจริยธรรมคริสเตียน


ขอพระเจ้าอวยพระพร เราทุกคนที่จะมีชีวิตที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าในทุกๆเรื่องของชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น