29 มิถุนายน 2561

แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น (ตอนที่ 2)

 ในบทความที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด และในบทความนี้ ผมจะขอกล่าวถึงการแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด หวังว่าเมื่อเพื่อนๆอ่านบทความนี้ ของประทานการแปลภาษาแปลกๆที่อยู่ภายในเพื่อนๆจะเติบโตมากยิ่งขึ้น ถ้าเพื่อนๆยังไม่เคยอ่านบทความตอนที่แล้ว ผมขอหนุนใจเพื่อนๆให้อ่านบทความตอนที่แล้วก่อน เพื่อว่าเมื่อเพื่อนๆอ่านบทความตอนนี้ เพื่อนๆจะเข้าใจการแปลภาษาแปลกๆได้อย่างครบถ้วน

บทความตอนที่แล้ว http://pattamarot.blogspot.com/2018/06/blog-post_21.html

การแปลภาษาแปลกๆของผู้อื่น
            การแปลภาษาแปลกๆสามารถทำได้ ทั้งภาษาแปลกๆที่ตนเองพูดและภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด ทั้งนี้จากประสบการณ์ของผมแล้ว การแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดนั้นทำได้ง่ายกว่าการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด เพราะถ้าเราแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด ตัวเราจะต้องใช้ของประทาน 2 อย่างในเวลาเดียวกัน เวลาที่เราแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด ตัวเราก็ใช้ทั้งของประทานการพูดภาษาแปลกๆและของประทานการแปลภาษาแปลกๆไปพร้อมกัน ทำให้ต้องใช้ความจดจ่อที่สูง แต่เวลาที่เราแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด ตัวเราก็ใช้เพียงของประทานการแปลอย่างเดียว ส่วนอีกคนก็ใช้ของประทานการพูดภาษาแปลกๆเพียงอย่างเดียว การแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดจึงสบายและง่ายกว่าการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด เพราะต่างคนต่างก็ใช้ของประทานเพียงอย่างเดียว คนที่แปลก็จะจดจ่อกับการแปลเท่านั้น ส่วนคนพูดภาษาแปลกๆก็จะจดจ่อกับการพูดภาษาแปลกๆเท่านั้น การที่อีกคนหนึ่งพูดและอีกคนหนึ่งแปลจึงทำให้เกิดความคล่องตัวมากกว่า



            แนวทางของการแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดก็เป็นแนวทางที่คล้ายกับการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด ซึ่งผมได้จัดแจงไว้สามขั้นตอนง่ายๆดังต่อไปนี้

 สามขั้นตอนของการแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด
1.พูดภาษาแปลกๆ (ไม่พูดพร้อมกัน) 
2.ตื่นตัวรับคำแปล
3.ปลดปล่อยคำแปล

ข้อพระคัมภีร์สำคัญ
(1 โครินธ์ 14:27) ถ้า​ใคร​จะ​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ จง​ให้​พูด​เพียง​สอง​คน​หรือ​อย่าง​มาก​ที่​สุด​ก็​สาม​คน และ​ให้​พูด​ที​ละ​คน แล้ว​ให้​อีก​คน​หนึ่ง​แปล

1. พูดภาษาแปลกๆ  (ไม่พูดพร้อมกัน)
            ก่อนที่จะแปลภาษาแปลกๆได้ ก็ต้องมีการพูดภาษาแปลกๆเสียก่อน การแปลภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูดมีเคล็ดลับสำคัญก็คือ การไม่พูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน เพราะการพูดภาษาแปลกๆพร้อมกัน จะทำให้การแปลมีความสับสนและไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นขณะที่คนหนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆอยู่ คนอื่นก็ควรเงียบโดยไม่อธิษฐานหรือพูดภาษาแปลกๆแทรก

อนึ่ง การพูดภาษาแปลกๆที่คาดหวังการแปล อาจจะพูดสักประมาณ 3 -10 วินาทีแล้วจึงหยุด เพราะหากจะคาดหวังการแปล การพูดภาษาแปลกๆ 10 วินาที ก็ถือว่านานมากแล้ว แต่หากต้องการพูดภาษาแปลกๆโดยไม่คิดที่จะแปล ผู้พูดภาษาแปลกๆก็สามารถพูดนานเท่าไรก็ได้

2. ตื่นตัวรับคำแปล
            ในขณะที่คนหนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆ คนอื่นก็ควรเงียบและตื่นตัวในการรับคำแปล ซึ่งการตื่นตัวรับคำแปลสามารถทำได้โดยใช้หูฟังภาษาแปลกๆและใช้ใจจดจ่อกับภาษาแปลกๆ

การตื่นตัวรับคำแปล = หูฟังภาษาแปลกๆ + ใจจดจ่อกับภาษาแปลกๆ

ระหว่างที่เราจดจ่อกับภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด คำแปลก็จะค่อยๆก่อตัวขึ้นในความคิดของเรา คำแปลที่ก่อตัวขึ้นนี้ อาจจะเป็นอารมณ์หรือเป็นนิมิตหรือเป็นถ้อยคำก็ได้ หลายครั้งผู้แปลภาษาแปลกๆก็ไม่ได้เข้าใจในทุกๆพยางค์ของภาษาแปลกๆ แต่ผู้แปลมักจะเข้าใจความหมายโดยรวมของภาษาแปลกๆที่พูดและอาจจะเข้าใจอย่างเจาะจงว่าภาษาแปลกๆที่พูดนั้นมีเนื้อหาในทิศทางใด

3. ปลดปล่อยคำแปล
เมื่อพูดภาษาแปลกๆจบแล้ว ก็เป็นช่วงของการปลดปล่อยคำแปล ซึ่งเทคนิคของการปลดปล่อยคำแปลในภาษาแปลกๆที่คนอื่นพูด ก็เป็นเทคนิคเดียวกันกับการปลดปล่อยคำแปลในภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด โดยเทคนิคสำคัญก็คือ เราไม่จำเป็นต้องรู้เนื้อความภาษาแปลกๆอย่างครบถ้วนก่อน แต่เราสามารถปลดปล่อยคำแปลที่เรามีเพียงบางส่วนได้ทันที และหลายครั้งเมื่อเราเริ่มปลดปล่อยคำแปลที่เรามีเพียงบางส่วน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงประทานรายละเอียดเจาะจงของคำแปลให้เพิ่มเติม

การแปลภาษาแปลกๆสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในชีวิตอธิษฐานส่วนตัวหรือในกลุ่มแคร์ แต่หลักสำคัญที่ทำให้แปลได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การพูดภาษาแปลกๆควรพูดเพียงคนเดียว (ไม่ควรพูดพร้อมๆกัน) และระหว่างที่คนหนึ่งกำลังพูดภาษาแปลกๆอยู่ ผู้อื่นที่อยู่ในกลุ่มก็ควรนิ่งและตื่นตัวในการรับคำแปล

ต้อง เสี่ยงในการพัฒนาการแปล
          เมื่อเพื่อนๆได้รู้ขั้นตอนเบื้องต้นของการแปลภาษาแปลกๆ เพื่อนๆบางคนอาจยังรู้สึกไม่กล้าที่จะลองปลดปล่อยคำแปล เพราะกลัวว่าตัวเองจะแปลผิดหรืออาจจะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

            คำอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ที่พระเยซูสอนไว้ใน (มัทธิว 25:14-30) ได้อธิบายไว้ถึงทาสที่ซื่อสัตย์ ซึ่งทาสที่ซื่อสัตย์นี้ยอม เสี่ยง โดยนำเงินของนายที่มอบให้ไปลงทุน (ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง) และก็ได้ผลกำไรกลับมา แต่ทาสที่ชั่วร้ายคือทาสที่เอาเงินของนายไปฝังดิน โดยไม่ยอมนำเงินของนายไป เสี่ยง ลงทุน ดูเหมือนว่านายในคำอุปมาของพระเยซู จะชอบให้ทาสของเขานำทรัพย์ที่ตนมอบให้ไป เสี่ยง ลงทุน
           ในสายตานักธุรกิจ หากผู้ใดไม่ยอมนำเงินไปเสี่ยงลงทุน นอกจากที่ปริมาณเงินจะไม่เพิ่มแล้ว วันเวลาผ่านไป ค่าของเงินก็จะลดลงเพราะผลของเงินเฟ้อ ในทำนองเดียวกัน ถ้าผู้เชื่อไม่ยอมนำของประทานหรือเมล็ดพันธุ์ที่ตนมีไป เสี่ยง ลงทุน ของประทานหรือเมล็ดพันธุ์ที่เขามีก็สามารถฝืดและเสื่อมลงได้ และดูเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไม่ชอบให้ของประทานหรือเมล็ดพันธุ์เสื่อมลงเสียด้วย พระองค์ปรารถนาให้ของประทานของผู้คนได้ลุกโชน และทรงปรารถนาให้เมล็ดพันธุ์เจริญเติบโต
 หนทางหนึ่งที่จะทำให้เมล็ดพันธุ์ของการแปลภาษาแปลกๆได้เจริญเติบโตขึ้น ก็คือการที่เพื่อนๆลองเสี่ยงปลดปล่อยคำแปลที่ได้รับออกมา ซึ่งถ้าเพื่อนๆแปลถูก ทั้งเพื่อนๆและคนอื่นๆก็ได้รับการเสริมสร้าง แต่ถ้าเพื่อนๆแปลผิด เพื่อนๆก็ได้มีประสบการณ์และรู้ว่าจะต้องลงทุนอย่างไรไม่ให้พลาด แต่ถ้าเพื่อนๆไม่กล้าและไม่ลองเริ่มปลดปล่อยคำแปล ทั้งเพื่อนๆและผู้อื่นก็ไม่ได้รับการเสริมสร้าง อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ของเพื่อนๆก็ไม่ได้รับการพัฒนา
  นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต่างก็มีประสบการณ์ที่ลงทุนผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น แต่เขานำประสบการณ์ที่พลาดนี้มาเป็นบทเรียนที่ทำให้เขาเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ในทำนองเดียวกัน หากเพื่อนๆอยากจะให้เมล็ดพันธุ์ของการแปลภาษาแปลกๆได้เจริญเติบโต เพื่อนๆก็อาจต้องผ่านประสบการณ์ของการแปลพลาดบ้าง(ลงทุนพลาด) แต่โดยประสบการณ์เหล่านี้ ก็จะสามารถเป็นพื้นฐานให้เพื่อนๆสามารถแยกแยะและพัฒนาของประทานของเพื่อนๆให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นได้

พระคุณจงมีแด่เพื่อนๆ
Philip Kavilar
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ ตื่นตะลึงเสียงพระเจ้า เขียนโดย แจ๊ค เดียร์
หนังสือ ฟังเสียงพระเจ้า เขียนโดย ซินดี้ เจคอปส์

26 มิถุนายน 2561

แกะรากความคิดยิว : คิดอย่างไร ก้าวไกลแบบยิว

ขอบอกตามตรงเพื่อทำให้ทุกคน "ทำใจ" ว่า "ไม่ใช่ทุกคนจะประสบความสำเร็จ"...
แต่ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ ทุกสิ่งมีทางเป็นไปได้
ปัญหามาปัญญามี ปัญหาเป็นบททดสอบ อุปสรรคเป็นอุปกรณ์ก้าวสู่ความสำเร็จ
ปัญหาเป็นเรื่องเพลนๆ (Plain) เราจำเป็นต้องเจอความยากลำบาก(Pain) แต่มันเป็น Main Road ถนนหลักของชีวิต
"Pain makes man think. Thought makes man wise. Wisdom makes life endurable."- John Patrick
ปัญหาทำให้คิด การคิดทำให้เกิดปัญญา ปัญญาทำให้ชีวิตอดทน (ไม่จำเป็นต้องทนอด)
"ถ้าขวานทื่อแล้ว และเขาไม่ลับให้คม เขาก็ต้องออกแรงมาก แต่ประโยชน์ของปัญญาคือการนำมาซึ่งความสำเร็จ" -หนังสือปัญญาจารย์ของคนยิว

เตรียมพบกับ E book เล่มใหม่ของเราเร็วๆนี้
แกะรากความคิดยิว : คิดอย่างไร ก้าวไกลแบบยิว

ป่าวประกาศถ้อยคำแห่งพระคุณ

ฮีบรู 12:15 จง​ระวัง​ให้​ดี อย่า​ให้​ใคร​ขาด​จาก​พระ​คุณ​ของ​พระ​เจ้า และ​อย่า​ให้​มี​ราก​ขม​ขื่นงอก​ขึ้น​มา ก่อ​ความ​ยุ่ง​ยาก​ให้​และ​ทำ​ให้​หลาย​คน​เป็น​มล​ทิน

Hebrews 12:15 Make sure that no one falls short of the grace of God and that no root of bitterness springs up, causing trouble and by it, defiling many.


คำว่า พระคุณ (grace) ภาษากรีก คือ Charis- χαριτος หมายถึง ความโปรดปราน การให้อภัยและมอบความรักโดยไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำ
​คำว่า มล​ทิน(defile) ภาษกรีก คือ μιανθωσι เป็นพิษได้รับการติดเชื้อ
คำว่า รากขมขื่น “root of bitterness" การตัดสินคนอื่นบนความรู้สึกเจ็บปวดและคาดหมายแบบผิดๆคิดว่า คนอื่นจะต้องเป็นแบบที่คิดในแง่ลบ

ผลที่เกิดขึ้นภายนอกสะท้อนมาจากรากที่อยู่ภายใน

การที่ขาดจากพระคุณคือการปฏิเสธการช่วยเหลือของพระเจ้า เพื่อทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง แต่ไม่รู้ว่าตนเองมีบาดแผลจากความบาดเจ็บในอดีตจากคน ก่อให้เกิดรากขมขื่น มาจากการตัดสินและการคาดหมายที่ผิด
สิ่งที่คริสเตียนควรดำเนินชีวิตในพระเจ้าตั้งอยู่ในความดีงาม พระคำแห่งความจริง และพระคุณ เราจึงตระหนักและสำแดงออกมาต่อผู้อื่นด้วยการทำสิ่งที่ดี
สิ่งที่ควรทำ คือ ความดี
สิ่งที่ควรมี คือ พระคำ
สิ่งที่ควรจำ คือ พระคุณ
เอเฟซัส 2:8-10
8 เพราะ​ว่า​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ได้​รับ​ความ​รอด​แล้ว​ด้วย​พระ​คุณ​โดย​ทาง​ความ​เชื่อ ความ​รอด​นี้​ไม่​ใช่​มา​จาก​ตัว​ท่าน แต่​เป็น​ของ​ประ​ทาน​จาก​พระ​เจ้า...
10 เพราะ​ว่า​เรา​เป็น​ฝี​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์​ที่​ทรง​สร้าง​ขึ้น​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​เพื่อ​ให้​ทำ​การ​ดี ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​จัด​เตรียม​ไว้​ก่อน​แล้ว​เพื่อ​ให้​เรา​ดำ​เนิน​ตาม

ไปไม่ถึงฝัน เพราะไม่รู้จักตัวเอง

ไปไม่ถึงฝัน เพราะไม่รู้จักตัวเอง
"ก้าวแรกที่สำคัญในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในชีวิตก็คือ ถามตัวเองก่อนว่าคุณต้องการอะไร" - เบน สไตน์
“การรู้จักตนเองเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญา” อริสโตเติล
การรู้จักตัวเองนั้นมีค่ามีประโยชน์มหาศาล และทุกคนควรได้มาถึงจุดแห่งการตระหนักรู้เกี่ยวกับตัวเอง
การรู้จักตัวเองนำมาซึ่ง …
ความสุข - เราจะมีความสุข เมื่อเราสามารถแสดงในสิ่งที่เป็นตัวตนของเราออกมาได้..
ทำให้การตัดสินใจดีขึ้น- เมื่อเรารู้จักตัวเอง เราก็จะสามารถตัดสินใจในสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
ช่วยในการควบคุมใจตัวเอง – เราจะเรียนรู้ที่จะควบคุมใจตัวเองไม่ให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้
ช่วยให้กล้าต้านทานแรงกดดันของสังคม - เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใคร เราจะกล้าตอบปฏิเสธคนว่า “ไม่”

ข้อคิดจาก Ebook กล้าฝันอีกครั้ง เพราะชีวิตฉันมีชีวิตเดียว
ราคาพิเศษ 200 บาทจากราคาเต็ม 390 บาท
วิธีการสั่งซื้อ
1. inbox เข้ามาในเพจเล่าเรื่องครอบครัว
https://www.facebook.com/Naphtali5777/
2. สั่งซื้อผ่าน Line@ : @family777 หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40wpi1491h

โรนัลโด้ เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะกำหนดอนาคตได้

ในภาพอาจจะมี 12 คน, คนที่ยิ้ม

👶ประวัติ โรนัลโด นัดบอลระดับโลก 
มาเรีย โดโลเรส ในวัย 30 ปี เธอตกใจที่ตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจ เธอคิดว่าควบคุมดีแล้ว แต่ก็พลาด
เธอกำลังคิดหนักว่าเธอจะเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ดีไหม
ครอบครัวเธอเรียกได้ว่า ฐานะค่อนข้างลำบากทีเดียว ตัวเธอเป็นแม่ครัว ส่วนสามีเป็นคนสวน รายได้ที่หาได้ ก็แค่ประคองตัวไปวันๆ ไม่ได้มีเงินเก็บสะสมเหมือนคนอื่นเขา
ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังมีลูกๆอีก 3 คนอยู่แล้ว คือฮิวโก้ ,เอลม่า และคาเทีย คนเด็กสุดคือคาเทีย ที่มีอายุ 9 ขวบ เด็กๆเหล่านี้กำลังเรียนชั้นประถม และจำเป็นต้องใช้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วจะมีลูกคนที่ 4 อีกเนี่ยนะ? มันเป็นอะไรที่เกินตัวไปมากจริงๆ
เธอจึงคิดว่าการเอาเด็กออก น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ปัญหาของโดโลเรส คือในปี 1984 การทำแท้งที่โปรตุเกสยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย มีการระบุไว้ว่า คนที่แพทย์จะทำแท้งได้ ต้องมีเหตุผลด้านสุขภาพ หรือโดนข่มขืนมาเท่านั้น
แพทย์ไม่ให้เธอทำ บอกว่าเธอยังอายุน้อย เพิ่งจะ 30 สามารถมีลูกได้อีกคนสบายๆ แต่เธออธิบายให้คุณหมอเข้าใจว่า เธอลำบากจริงๆ เธอมีลูก 3 คนแล้วนะ จะให้เลี้ยงอีกคนคงไม่ไหว
แต่สุดท้ายแพทย์ไม่ยอม
ดังนั้นโดโลเรส จึงต้องหาวิธีอื่นเพื่อเอาเด็กออก
"เขาเป็นเด็กที่ฉันไม่ต้องการเลย" โดโลเรสเผย "เพื่อนบ้านคนหนึ่งแนะนำว่า ให้ดื่มเบียร์ดำต้มเดือด จากนั้นก็ไปออกวิ่งจนร่างกายอ่อนล้า จากนั้นมีโอกาสที่จะตกเลือด และแท้งได้เอง"
ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ และดูเป็นความเชื่อแบบมั่วๆ แต่ด้วยความที่เธอไม่มีความรู้ เธอก็ทำมันจริงๆ
และแน่นอน มันไม่ได้ผลเลย
เหลือเพียงทางเลือกสุดท้าย ในการเอาเด็กออก คือการไปหาแพทย์เถื่อน ซึ่งเธอจะทำก็ทำได้ แต่เมื่อพิจารณาแล้ว คิดว่ามันยุ่งยากเหลือเกิน
หรือบางทีพระเจ้ากำลังบอกว่า เธอควรจะเก็บเด็กคนนี้ไว้?
---------------------------------------
ตอนนี้ ความรู้สึกของเธอกำลังตีกันอย่างรุนแรง
1) เธอควรเอาเด็กออก หรือ 2) เธอควรเก็บเด็กไว้
"เอลม่า อายุ 12 แล้วนะ ฮิวโก้ 10 ขวบ ส่วนคาเทีย 9 ขวบ เด็กแต่ละคนกำลังโตขึ้นทุกวัน" โดโลเรสเผย
"ฉันถามพวกเขาว่า อยากได้น้องชายอีกคนหรือไม่ ลูกๆตอบกลับมาว่า ไม่อยากให้แม่มีลูกอีกคนแล้ว"
ลูกๆเองก็รู้ว่า ที่บ้านลำบาก และแม่ต้องเหนื่อยเพิ่มกว่าเดิมแน่ ถ้ามีเด็กอ่อนเพิ่มมาอีกคนในบ้าน
โดโลเรส ส่วนตัวเอง มีประสบการณ์ที่ไม่ดีในวัยเด็ก เธอมีพี่น้อง 5 คน แม่เสียชีวิตตอนเธออายุ 6 ขวบ นั่นทำให้เธอต้องอยู่กับพ่อเลี้ยง
แต่พ่อเลี้ยง ก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงเธอ สุดท้ายต้องส่งลูกๆเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอเติบโตมาด้วยชีวิตแบบนั้น
มันทำให้เธอคิดว่า การมีลูกจำนวนมากๆ ทั้งๆที่ฐานะไม่พร้อม มันไม่ใช่เรื่องดีเลย ผลเสียมันเกิดขึ้นกับทุกคน ทั้งกับเธอเอง ที่ไม่พร้อม และกับเด็กๆ ที่ต้องเกิดมาในชีวิตที่ลำบาก
ถ้าคิดจะมีลูก ใครๆก็อยากให้เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ต้องเกิดมีชีวิตแบบแร้นแค้นไปกับพ่อแม่ด้วย
แต่อีกใจหนึ่งเธอคิดว่า ก็ควรเก็บเด็กไว้
โดโลเรส เป็นคริสเตียน เธอมีความเชื่อว่า ลูกคือพรของพระเจ้า และที่สำคัญ การทำแท้งมันผิดกฎหมายด้วย
---------------------------------------
หลังปรึกษากันกับครอบครัว เธอตัดสินใจว่า อยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง
การที่เธอไม่เคยตั้งครรภ์มา 9 ปี แต่อยู่ๆก็มีลูกหลงมาแบบนี้ หรือบางทีจะเป็นพรจากสวรรค์
โดโลเรส ตัดสินใจคลอดเด็กคนนี้ เขาเกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1985
"ฉันกับสามี อยากให้เขาชื่อโรนัลโด้ ส่วนพี่สาวของฉันอยากให้ชื่อคริสเตียโน่ ดังนั้นเราเลยเอาทั้งสองชื่อมารวมกันเลย เป็นคริสเตียโน่ โรนัลโด้"
---------------------------------------
ในปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นนักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
นับเฉพาะแค่ปี 2017 เขาทำเงิน 80 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2800 ล้านบาท แต่ถ้านับรายได้ตลอดอาชีพ ก็ทะลุหลายหมื่นล้านบาทไปแล้ว
พี่สาวทั้งสองคน พี่ชาย และคุณแม่ ทุกคนไม่ต้องทำงานอีกต่อไป รายได้ของโรนัลโด้คนเดียว ก็เพียงพอให้คนที่บ้านใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
นอกจากนั้น โรนัลโด้ ยังเป็นฮีโร่ของชาติ เขาสร้างความภูมิใจให้ครอบครัว ให้วงศ์ตระกูล
เป็นคนประเภทที่จะเกิดขึ้นแค่ 1 ในร้อยล้านเท่านั้น
จนถึงวันนี้ โดโลเรส ยังมองย้อนกลับไป วันที่คิดจะทำแท้งอยู่บ่อยครั้ง
"เพราะฉันตัดสินใจแบบนั้น พระเจ้าจึงไม่ลงโทษ"
"จนถึงวันนี้ โรนัลโด้ก็ยังแกล้งฉันอยู่เลย เขาชอบบอกว่า 'แม่ไม่อยากให้ผมเกิด แต่ตอนนี้ดูสิใครที่มาช่วยแม่' "
---------------------------------------
จริงๆเรื่องของการทำแท้ง มันก็มีสองมุม
การให้เด็กเกิดขึ้นมา ในช่วงชีวิตที่ยังไม่พร้อม มันก็น่ากลุ้มใจ
คนเป็นพ่อแม่ก็ลำบาก ชีวิตตัวเองยังไม่มั่นคง อยู่ๆต้องมา แบกรับชีวิตของเด็กอีกคนที่เกิดมา
ยังมีอีกหลายอย่าง ที่อยากจะทำ ยังมีอีกหลายความฝันที่อยากจะไปให้ถึง แต่มันก็แทบจะจบลงทันที ถ้าต้องมีลูก
ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม
ในเมื่อการให้กำเนิดเด็กคนหนึ่งขึ้นมา แต่มันต้องแลกกับการทำลายชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่
มันก็ไม่ยุติธรรม
แต่หากมองอีกมุม การเก็บเด็กเอาไว้ก็มีความหมายบางอย่างอยู่
คนส่วนหนึ่งคิดว่า เป็นเรื่องของมนุษยธรรม เราทำให้เขาเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งนั้น
แต่อีกเหตุผลหนึ่ง ก็อาจเหมือนโดโลเรส กับ โรนัลโด้ คือเด็กคนนี้ อาจกลายเป็นความหวังของครอบครัว
เขาอาจเป็นคนที่มีพรสวรรค์หนึ่งในล้านของโลกก็เป็นได้ ใครจะรู้ เป็นคนที่สวรรค์ประทานขึ้นมาบนโลก เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง
นอกจากนั้น เด็กคนนี้ อาจเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย เป็นคนที่ทำให้เรามีกำลังใจ ให้เดินต่อไปข้างหน้าได้
แต่เราจะไม่มีโอกาสได้รู้เลย ถ้าไม่ให้โอกาสเขาเกิดขึ้นมามีชีวิต

21 มิถุนายน 2561

แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น

บทความเรื่อง แนวทางการแปลภาษาแปลกๆเบื้องต้น โดย Philip Kavilar

แนวทางเบื้องต้น
            บางครั้งเมื่อเพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆ เพื่อนๆอาจรู้สึกอย่างคร่าวๆว่าตนเองกำลัง สรรเสริญหรือ ทูลขอ หรือ สู้รบ อยู่ บางทีเพื่อนๆอาจจะรู้อย่างเจาะจงอีกว่าตัวเองกำลังสรรเสริญในด้านไหนหรือทูลขอในเรื่องอะไร ความรู้สึกหรือหรือความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดภาษาแปลกๆอยู่นี้คือ คำแปลของภาษาแปลกๆแต่เนื่องด้วยการขาดคำสอนหรือข้อแนะนำ ทำให้คำแปลเหล่านี้ไม่ได้รับการต่อยอดออกมา ของประทานการแปลที่หลายคนมีอยู่จึงไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มที ในบทความนี้ ผมจึงขอเสนอแนวทางเบื้องต้นในการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด และในสัปดาห์หน้า ผมอาจลงบทความเกี่ยวกับการแปลภาษาแปลกๆที่ผู้อื่นพูด

แนวทางการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูด

แนวทางในการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูดนั้น ผมได้จัดแจงไว้สามขั้นตอนคือ 

1.พูดภาษาแปลกๆ
2.ตื่นตัวรับคำแปล
3.ปลดปล่อยคำแปล

โดยแต่ละขั้นตอนมีข้อแนะนำและรายละเอียดดังต่อไปนี้

ขั้นตอนการแปลภาษาแปลกๆ

1. พูดภาษาแปลกๆ
จุดเริ่มต้นของการแปลภาษาแปลกๆก็คือให้เพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆออกมาก่อน โดยเพื่อนๆอาจพูดภาษาแปลกๆสักประมาณ 3-10 วินาที  (ถ้าเพื่อนๆคาดหวังว่าจะแปลภาษาแปลกๆด้วย การพูดภาษาแปลกๆ 10 วินาทีถือว่าเป็นการพูดที่ใช้เวลามากแล้ว)

การพูดภาษาแปลกๆเป็นของประทานที่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นเพื่อนๆจึงสามารถกำหนดได้ว่าจะเริ่มพูดภาษาแปลกๆเมื่อไรและจะหยุดเมื่อไรก็ได้

 (1 โครินธ์ 14:32) จิต​วิญ​ญาณ​ของ​พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​นั้น ย่อม​อยู่​ใน​บัง​คับ​พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ

2. ตื่นตัวรับคำแปล
ระหว่างที่เพื่อนๆกำลังพูดภาษาแปลกๆอยู่ ให้เพื่อนๆตื่นตัวในการรับคำแปล การตื่นตัวรับคำแปลทำได้โดยการใช้หูฟังภาษาแปลกๆที่ตนเองพูดและให้ใจของเราจดจ่อกับภาษาแปลกๆไปด้วย

การตื่นตัวรับคำแปล = หูฟังภาษาแปลกๆ + ใจจดจ่อกับภาษาแปลกๆ

ในระหว่างการตื่นตัวนี้ คำแปล จะค่อยๆก่อตัวขึ้นในความคิด ซึ่ง ปกติแล้วผมจะแบ่งระดับของการแปลเป็นสองระดับคือ

1. รู้เนื้อความอย่างคร่าวๆ เช่น รู้ว่าภาษาแปลกๆนี้ เป็น การนมัสการ หรือ การวิงวอน หรือ การสู้รบ

2. รู้เนื้อความอย่างเจาะจง เช่น ถ้าเป็นการนมัสการ ก็จะรู้อย่างเจาะจงว่าเป็นการนมัสการในทิศทางไหน ถ้าเป็นการวิงวอน ก็จะเป็นการรู้อย่างเจาะจงว่าเป็นการวิงวอนในเรื่องอะไร หรือถ้าเป็นการสู้รบ ก็จะเป็นการรู้ว่า เรากำลังสู้รบกับป้อมปราการใด
           
ระหว่างที่ตื่นตัวรับคำแปลอยู่นี้ ตอนแรกเราจะรู้เนื้อความอย่างคร่าวๆ แต่เมื่อฟังภาษาแปลกๆสักพักหนึ่ง เราก็จะรู้เนื้อความอย่างเจาะจงมากขึ้น

คำแปลภาษาแปลกๆ ที่ก่อตัวขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นความหมายแบบคำต่อคำ เพียงแต่เป็นการรู้ใจความสำคัญก็ใช้ได้แล้ว บางครั้งคำแปลที่ได้รับอาจเป็นถ้อยคำเล็กๆน้อยๆ เช่นความยิ่งใหญ่”, สันติสุขหรือ การเติมเต็ม บางครั้งคำแปลอาจจะนิมิตก็ได้

            การตื่นตัวรับคำแปลจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเพื่อนๆจดจ่อในการฟังภาษาแปลกๆ ถ้าเพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆไปและคิดเรื่องอื่นไป หรือถ้าเพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆไปและทำกิจกรรมอย่างอื่นตามไปด้วย การตื่นตัวในการรับคำแปลอาจลดถอยลง ถ้าเป็นได้ระหว่างที่เพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆอยู่นี้ อยากจะให้เพื่อนๆจดจ่อในการฟังภาษาแปลกๆและตื่นตัวในการรับคำแปล

            เมื่อคำแปลก่อตัวในเพื่อนๆได้ระดับนึงแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการปลดปล่อยคำแปล

3. ปลดปล่อยคำแปล
            เมื่อเพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆได้ระยะหนึ่งและเมื่อคำแปลก่อตัวในเพื่อนๆได้ระดับนึงแล้ว ก็ให้เพื่อนๆหยุดพูดภาษาแปลกๆ และนำคำแปลที่อยู่ภายในเพื่อนๆมาปลดปล่อยเป็นถ้อยคำสรรเสริญหรือถ้อยคำทูลขอ

            เช่น ถ้าระหว่างที่เพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆอยู่ แล้วเพื่อนๆรู้สึกว่าตนเองกำลังสรรเสริญในความยิ่งใหญ่พระเจ้า เมื่อเพื่อนๆหยุดพูดภาษาแปลกๆ ก็ให้เพื่อนๆนำความรู้สึกที่เป็นคำแปลนี้มาปลดปล่อยเป็นถ้อยคำสรรเสริญ โดยพูดว่า พระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ และ...

            ถ้าระหว่างที่เพื่อนๆพูดภาษาแปลกๆอยู่ แล้วเพื่อนๆรู้สึกว่าตนเองกำลังอธิษฐานเผื่อประเทศไทยในเรื่องหนึ่ง ก็ให้เพื่อนๆนำความรู้สึกหรือความคิดนั้น มาปลดปล่อยเป็นถ้อยคำอธิษฐาน โดยอาจพูดว่า พระเจ้า ขอพระองค์ประทานสันติสุขแก่ประเทศไทย และ...

            บางครั้งขณะที่เริ่มจะปลดปล่อยคำแปล ในตอนแรกคำแปลอาจจะมีนิดหน่อยและไม่ชัดเจนนัก แต่พอได้เริ่มเอ่ยคำแปลออกมา รายละเอียดและความเจาะจงก็จะค่อยทยอยเข้ามา บางครั้งระหว่างที่พูดภาษาแปลกๆ เพื่อนๆอาจจะรู้สึกถึงเพียงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่ไม่ได้รู้ว่ายิ่งใหญ่ในทิศทางไหน เมื่อเพื่อนๆเริ่มปลดปล่อยคำแปลออกมา โดยเริ่มพูดว่าพระเจ้าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ และ... เมื่อเพื่อนๆเริ่มเอ่ยคำแปลไปเล็กน้อยโดยการพูดว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่... ในหลายๆครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงประทานคำแปลให้เพิ่มเติมหลังจากที่เพื่อนๆเริ่มปลดปล่อยคำแปล ซึ่งจะทำให้เพื่อนๆได้รู้อย่างเจาะจงว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ในทิศทางไหน

            บางครั้งก่อนที่จะปลดปล่อยคำแปล คำแปลที่อยู่ในตัวเพื่อนๆอาจมีไม่มากนัก บางทีคำแปลที่เพื่อนๆมีอยู่ตอนแรก อาจเป็นถ้อยคำไม่กี่คำหรือเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเบาๆ แต่เพื่อนๆไม่จำเป็นต้องรอให้ได้รับคำแปลอย่างครบถ้วน หลายๆครั้งเพื่อนๆสามารถนำคำแปลที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยมาปลดปล่อยได้ทันที และหลายครั้งระหว่างที่เพื่อนๆกำลังปลดปล่อยคำแปล พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงประทานคำแปลให้เพิ่มเติม

ทบทวน
สามขั้นตอนง่ายๆของการแปลภาษาแปลกๆที่ตนเองพูดก็คือ

1. พูดภาษาแปลกๆ
2. ตื่นตัวรับคำแปล
3. ปลดปล่อยคำแปล

            ขั้นตอนเหล่านี้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ของการแปลภาษาแปลกๆ และทำให้ของประทานการแปลที่หลับไหลอยู่นั้นได้เกิดการใช้งานออกมามากยิ่งขึ้น ขั้นตอนสามขั้นตอนที่ผมเสนอมานี้ เพื่อนๆสามารถปฏิบัติซ้ำวนไปวนมาหลายรอบก็ได้

Philip Kavilar


แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ Diversities of Tongues เขียนโดย Gregory Uvieghara

กฏ 9 ข้อของการใช้ชีวิต โดย คริส แพร็ต(Chris Pratt)

คริส แพร็ต(Chris Pratt) นักแสดงนำจาก Jurassic World ใช้โอกาสประกาศเรื่องพระเจ้า
เมื่อคืนวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา  คริส แพร็ต(Chris Pratt) ได้รับคัดเลือกให้ได้รับรางวัล Generation Award จากเวที MTV Movie & TV Awards 2018 ซึ่งสุนทรพจน์ขึ้นรับรางวัลของเขานอกจากการขอบคุณคนอื่น ๆ ยังให้ข้อคิดเรื่อง "กฏ 9 ข้อของการใช้ชีวิต”ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 




กฎข้อที่ 1  "หายใจซะ ถ้าคุณไม่ทำ คุณจะขาดอากาศตาย"
กฎข้อที่  2  "คุณมีความคิดและจิตวิญญาณ โปรดระมัดระวังในการใช้มัน"
กฎข้อที่  3  "อย่าว่าร้ายใส่ความคนอื่น ถ้าคุณเข้มแข็งจงเป็นผู้ปกป้อง ถ้าคุณฉลาดจงถ่อมตัว ความเข้มแข็งและความฉลาดนี่แหละจะเป็นอาวุธให้กับคุณ อย่าใช้มันเป็นอาวุธไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่า มิฉะนั้นคุณจะกลายเป็นอันธพาล จงทำตัวให้ยิ่งใหญ่กว่า"
กฎข้อที่ 4 "เวลาป้อนยาหมา ควรใส่ยาลงไปในแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเล็กๆ เพราะเขาจะไม่รู้ว่ากำลังกินยาอยู่"
กฎข้อที่ 5  "ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงจงรับมันไว้ ทำสิ่งที่ดีที่สุด เข้าหาคนที่กำลังเจ็บปวด คอยปลอบประโลมเขา มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีนะ และมันดีต่อจิตวิญญาณของคุณด้วย"
กฎข้อที่ 6  พระเจ้ามีอยู่จริง พระเจ้ารักคุณ พระเจ้าอยากให้คุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เชื่อสิ เพราะผมก็เชื่อ"
กฎข้อที่ 7  "ถ้าคุณปวดขี้กลางงานปาร์ตี้ แล้วเกิดอายขึ้นมาเพราะต้องไปเข้าห้องน้ำ แค่ทำตามที่ผมบอก ล็อกประตู นั่งลง ฉี่ก่อน พอฉี่เสร็จแล้ว ก็ขี้ออกมาเลย กดชักโครก บูม! 
คุณจะได้ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ขี้ของคุณออกมาสัมผัสกับอากาศภายนอก เพราะถ้าคุณขี้ก่อน คุณจะใช้เวลาฉี่ยาวนาน และฉี่จะไปอยู่บนขี้ของคุณ มันจะเกิดอนุภาคกลิ่นลอยเป็นกลุ่มออกไป ทำให้ทุกคนในปาร์ตี้รู้ว่า คุณกำลังขี้แตกอยู่ เชื่อผมสิ มันคือวิทยาศาตร์ "
กฎข้อที่ 8 "เรียนรู้ที่จะภาวนา มันง่ายมาก และมันดีต่อจิตวิญญาณของคุณ"
กฎข้อที่ 9  "ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ หลายคนบอกคุณว่าความสมบูรณ์แบบคือสิ่งที่คุณเป็น ไม่ คุณไม่ใช่ คุณไม่สมบูรณ์แบบ และคุณก็เป็นแบบนั้นเสมอ แต่มันมีพลังที่ออกแบบคุณอยู่และถ้าคุณยอมรับมันละก็ คุณจะมีคุณงามความดี สิ่งนี้คือของขวัญ ราวกับอิสรภาพที่คุณจะได้สนุกอยู่ในประเทศนี้ แต่คุณงามความดีเหล่านี้มันต้องจ่ายด้วยเลือดเนื้อของใครบางคน อย่าลืมที่จะเห็นคุณค่าของคนอื่น"
อนึ่ง รางวัล Generation Award นี้ เป็นรางวัลพิเศษที่มอบให้กับบรรดา Celebrities ที่มีชีวิตและผลงานที่โดดเด่น เป็นไอคอนนิกของวงการ โดยผู้ที่เคยรับรางวัลนี้มีมากมาย อาทิ Will Smith, Reese Witherspoon, Sandra Bullock, Jamie Foxx, Ben Stiller, Adam Sandler, Mike Myers รวมไปถึงเพื่อนนักแสดงจากแฟรนไชส์เดียวกันอย่าง Robert Downey, Jr.
สามารถชมสุนทรพจน์ฉบับเต็ม เข้าดูได้ที่นี่

16 มิถุนายน 2561

ประโยชน์ของการแปลภาษาแปลกๆ


บทความเรื่อง "ประโยชน์ของการแปลภาษาแปลกๆ" โดย Philip Kavilar



เพื่อนๆบางคนอาจสงสัยว่า
1. การแปลภาษาแปลกๆ สามารถสร้างประโยชน์อะไรได้บ้าง ?
2. พูดภาษาแปลกๆอย่างเดียวโดยไม่ต้องแปลไม่ได้หรือ ?
 เพื่อนๆบางคนอาจคิดว่า พูดภาษาแปลกๆอย่างเดียวก็น่าจะพอแล้ว ไม่เห็นต้องมาแปลเลย กระนั้นความคิดนี้ก็ดูเหมือนจะขัดกับจดหมายของเปาโลที่กล่าวว่า

(1 โครินธ์ 14:13) ฉะนั้น​คน​ที่​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ ก็​ควร​อธิษ​ฐาน​ขอ​ให้​แปล​ได้​ด้วย
           จากพระคัมภีร์ภาษาไทย ดูเหมือนเปาโลจะไม่ได้ สั่ง ให้อธิษฐานขอให้แปลได้ เปาโลเพียงแต่ แนะนำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าว่ากันตามไวยากรณ์กรีกแล้ว ลักษณะของไวยากรณ์กรีกในข้อพระคัมภีร์นี้เป็นแบบ Imperative Mood ซึ่งเป็นลักษณะของประโยคคำสั่ง ดังนั้นถ้าดูจากไวยากรณ์กรีกแล้ว ข้อพระคัมภีร์นี้สามารถแปลได้ว่า

(1 โครินธ์ 14:13) ฉะนั้น​คน​ที่​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ ก็​จงอธิษ​ฐาน​ขอ​ให้​แปล​ได้​ด้วย
         ตามข้อพระคัมภีร์นี้ เปาโลไม่เพียงแค่ แนะนำ เท่านั้น แต่เขา สั่ง คนที่พูดภาษาแปลกๆด้วย โดยสั่งให้พวกเขาอธิษฐานขอให้แปลได้ 
การแปลภาษาแปลกๆเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์นานาประการให้กับทุกฝ่าย ทั้งผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ ทั้งผู้แปลและรวมถึงผู้ฟังคนอื่นๆด้วย ในที่นี้ ผมจะกล่าวถึงประโยชน์สามอย่างของการแปลภาษาแปลกๆ ซึ่งก็คือ (1) ปลดปล่อยฤทธิ์เดช (2) เป็นหมายสำคัญต่อคนไม่เชื่อ (3) ของประทานอื่นๆได้รับการพัฒนา

ประโยชน์อย่างแรก-ปลดปล่อยฤทธ์เดช
          เมื่อผู้หนึ่งพูดภาษาแปลกๆ ในบางครั้งการพูดภาษาแปลกๆของผู้นั้นก็สามารถปลดปล่อยฤทธิ์เดชของพระเจ้ามายังที่ประชุมได้ หลายครั้งการพูดภาษาแปลกๆยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นของประทานอื่นๆ เช่น ทำให้การเผยพระวจนะโหมกระพือขึ้น หรือทำให้การรักษาโรคเกิดได้ง่ายขึ้น มีคำพยานมากมายที่ชี้ว่า เมื่อมีการพูดภาษาแปลกๆในที่ประชุม ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็ปกคลุมลงมา และการอัศจรรย์ต่างๆก็เกิดได้ง่ายขึ้น

กระนั้น แม้ว่าการพูดภาษาแปลกๆจะช่วยปลดปล่อยฤทธิ์เดช แต่การแปลภาษาแปลกๆหลังจากที่เพิ่งพูดภาษาแปลกๆ ก็จะช่วยยกระดับและปลดปล่อยฤทธิ์เดชให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นอีก บางครั้งการพูดภาษาแปลกๆเพียงยังเดียวอาจจะปลดปล่อยฤทธิ์เดชไม่มากนัก แต่พอมีผู้หนึ่งเริ่มปลดปล่อยคำแปลออกมา ฤทธิ์เดชก็ปกคลุมลงมามากขึ้น

ส่วนตัวผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งในชีวิตส่วนตัวและในกลุ่มแคร์ บางครั้งเมื่อผมพูดภาษาแปลกๆ ผมก็ยังรู้สึกเต็มล้นด้วยพระวิญญาณไม่มากนัก แต่เมื่อผมได้ปลดปล่อยคำแปลของภาษาแปลกๆออกมาด้วย ผมก็รู้สึกเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณมากขึ้น

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมอยู่ในแคร์ ณ ตอนนั้น ผมได้ให้พี่น้องคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆออกมา (ระหว่างที่พี่น้องคนนี้กำลังพูดภาษาแปลกๆอยู่ ผมได้กำชับให้คนอื่นเงียบและตื่นตัวรับคำแปล) เมื่อพี่น้องคนนี้พูดภาษาแปลกๆจบ ทันใดนั้นก็มีพี่น้องอีกคนปลดปล่อยคำแปลออกมา ซึ่งระหว่างที่มีการพูดภาษาแปลกๆ คนในแคร์ก็ยังไม่รู้สึกถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้ามากนัก ทว่าระหว่างที่พี่น้องอีกคนปลดปล่อยคำแปล ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็ปกคลุมในที่ประชุมอย่างเข้มข้น จนพี่น้องหลายๆท่านสัมผัสได้

ประโยชน์อย่างที่สอง-เป็นหมายสำคัญแก่คนไม่เชื่อ
            ในจดหมายของเปาโลได้กล่าวถึงพันธกิจด้านหนึ่งของการแปลภาษาแปลกๆไว้ว่า

(1 โครินธ์ 14:22) ฉะนั้น​การ​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ จึง​ไม่​เป็น​หมาย​สำ​คัญ​สำหรับ​พวก​ที่​เชื่อ แต่​สำ​หรับ​พวก​ที่​ไม่​เชื่อ

            พันธกิจอย่างหนึ่งของภาษาแปลกๆคือ เป็นหมายสำคัญแก่คนไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม หากที่ประชุมไม่จัดระบบระเบียบของการพูดภาษาแปลกๆ การแปลภาษาแปลกๆก็ไม่เกิดขึ้น พันธกิจแห่งการเป็นหมายสำคัญต่อคนไม่เชื่อก็ไม่สำเร็จ การไม่จัดระบบระเบียบของการพูดภาษาแปลกๆทำให้ศักยภาพที่แฝงอยู่ในภาษาแปลกๆไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ซ้ำร้ายยังเป็นหินสะดุดสำหรับคนที่ไม่เชื่อหรือคนที่รู้ไม่ถึงด้วย

            อย่างไรก็ตาม หากคริสตจักรหรือกลุ่มแคร์ จัดระบบระเบียบของการพูดภาษาแปลกๆ การแปลภาษาแปลกๆก็เกิดขึ้นได้ง่าย และด้วยของประทานการพูดภาษาแปลกๆและการแปลที่ดำเนินไปอย่างควบคู่กัน สิ่งนี้ก็จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ไม่เชื่อ เป็นเหตุให้คนไม่เชื่อได้เปิดใจต่อพระคริสต์ พันธกิจแห่งการเป็นหมายสำคัญต่อคนไม่เชื่อก็สำเร็จ

            มีเรื่องน่าเศร้าบางประการที่ผมสังเกตจากโบสถ์สายฤทธิ์เดช จากสถิติที่ผมเห็น โบสถ์สายฤทธิ์เดชที่ไม่ได้จัดระเบียบของการพูดภาษาแปลกๆ ดูเหมือนจะมีการเก็บเกี่ยวที่ไม่มาก จำนวนสมาชิกของโบสถ์สายฤทธิ์เดชที่ไม่มีการแปลภาษาแปลกๆดูเหมือนจะมาจากโบสถ์อื่นๆซะส่วนใหญ่ ทั้งนี้เพราะการพูดภาษาแปลกๆเพียงอย่างเดียว อาจจะดึงดูดได้เฉพาะคนที่เป็นคริสเตียนอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ดึงดูดต่อคนไม่เชื่อ บางทีการไม่จัดระเบียบของการพูดภาษาแปลกๆ ก็ยังเป็นเหตุให้คนไม่เชื่อปิดใจต่อพระคริสต์ด้วยซ้ำ ดังนั้นหากคริสตจักรก้าวเข้าสู่มิติของการแปลภาษาแปลกๆโดยมีการจัดระเบียบของการพูดภาษาแปลกๆ การเก็บเกี่ยวจากทุ่งนาแห่งคนไม่เชื่อก็เกิดได้ง่ายขึ้น

ประโยชน์อย่างที่สาม-ของประทานอย่างอื่นได้รับการพัฒนา
            การแปลภาษาแปลกๆนับเป็นการฝึกฝนทักษะของการรับข้อมูลจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้หนึ่งเริ่มก้าวเข้าสู่มิติของการแปลภาษาแปลกๆ ไม่เพียงแต่ที่ของประทานการแปลจะพัฒนาเท่านั้น แต่ของประทานการเผยพระวจนะก็จะรับการพัฒนาด้วย นอกจากนี้สำหรับคนที่มีของประทานการสังเกตวิญญาณ การแปลภาษาแปลกๆบ่อยๆก็จะมีส่วนช่วยให้การสังเกตวิญญาณมีความคมชัดขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะการแปลภาษาแปลกๆมีความเกี่ยวโยงกับการรับการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้หนึ่งแปลภาษาแปลกๆบ่อยๆ ของประทานอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการรับการสำแดงก็จะพัฒนาตามไปด้วย
           
ส่วนตัวผมก็มีประสบการณ์ในทำนองนี้ ก่อนที่ผมจะเดินในมิติของการแปลภาษาแปลกๆ ของประทานการเผยพระวจนะของผมก็ยังไม่เติบโตนัก ต่อมาเมื่อผมได้เดินในมิติของการแปลภาษาแปลกๆ ของประทานการเผยพระวจนะของผมก็ได้รับการพัฒนา ภายหลังผมจึงสามารถเห็นนิมิตและแยกแยะเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รวดเร็วกว่าสมัยก่อนมาก

นอกจากที่การเผยพระวจนะจะได้รับการพัฒนาแล้ว การแปลภาษาแปลกๆยังมีส่วนช่วยให้ของประทานการพูดภาษาแปลกๆเติบโตขึ้นด้วย เมื่อผมก้าวเข้าสู่มิติของการแปลภาษาแปลกๆ ภาษาแปลกๆที่ผมเคยพูดก็ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด สมัยก่อนที่เคยพูดแต่ ลาๆๆๆ หรือชามะนาว ชามะนาว ชามะนาว ก็เปลี่ยนเป็นรูปแบบประโยคและถ้อยคำที่ดูสละสลวยและมีความเป็นภาษามากขึ้น เมื่อคนหนึ่งก้าวเข้าสู่มิติของการแปลภาษาแปลกๆ ถ้อยคำภาษาแปลกๆของเขาก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากถ้อยคำที่เป็นเหมือนการรัวลิ้นแบบเด็กๆ ก็จะกลายเป็นถ้อยคำภาษาที่สวยงามและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น


แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือ Spirit Life Training เขียนโดย Timothy Jorgensen
หนังสือ Diverse Kinds of Tongues เขียนโดย Dale Sides

09 มิถุนายน 2561

หัวใจพระบิดา : "บุตรน้อยหลงหายกับบุตรชายหลงผิด"

จากคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ เรื่อง "บุตรน้อยหลงหาย" ( The Parable of the Prodigal Son) ในพระธรรมลูกา บทที่ 15:11-32
อุปมาดังกล่าวสะท้อนภาพทำให้เราเข้าใจในเรื่องหัวใจพระบิดา  เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้อภัยบุตรน้อยที่หลงหายไปด้วยการผลาญสมบัติ  เมื่อตกอับแล้วกลับใจและกลับมาหาพ่ออีกครั้ง แต่ไม่ขอเป็นลูกของพ่ออีก แต่ขอเป็นลูกจ้างของพ่อ แต่ความรักของพ่อที่แสดงออกคือ การให้อภัย ไม่จดจำความผิด และพ่อให้ทุกสิ่งกลับคืนมาอีกครั้ง  ไม่ว่าจะเป็นฐานะของความเป็นลูก(Sonship) และรวมถึงสิทธิ์ต่างๆในการครอบครอง โดยสิ่งที่พ่อมอบให้คือแหวนตรา เสื้อคลุมและการสวมรองเท้าเป็นสัญลักษณ์
อุปมานี้เป็นตัวอย่าง คลาสิคของการแบ่งปันเรื่องหัวใจพระบิดา ซึ่งผมเชื่อว่าเราทั้งหลายคงจะคุ้นเคยดี

บทความครั้งนี้ผมขอแบ่งปันในอีกแง่มุมหนึ่งที่ต่างออกไปของอุปมาเรื่อง "บุตรน้อยหลงหาย" ( The Parable of the Prodigal Son)  ผมขอตั้งชื่อเรื่องใหม่ว่า  "หัวใจพระบิดา : "บุตรน้อยหลงหาย กับบุตรชายหลงผิด" 

สำหรับลูกคนเล็กของพ่อ ผมขอเรียกว่า "บุตรน้อยฟุ่มเฟือย" (Prodigal Son) เพราะความรักของพ่อที่มีต่อลูกคนเล็กทำให้เขาใช้ทรัพย์ได้อย่างฟุ่มเฟือย   ลูกคนเล็กขอแบ่งสมบัติทั้งที่เป็นเรื่องไม่สมควรทำ เพราะตามธรรมเนียมคนยิว สมบัติของพ่อ ลูกจะได้รับเป็นมรดกเมื่อพ่อตาย แต่ลูกมาขอแบ่ง เหมือนการแช่งผู้เป็นพ่อ  พ่อจึงแบ่งให้ทั้ง 2 คนทั้งลูกคนโตและคนเล็ก

บุตร​คน​เล็ก​พูด​กับ​บิดา​ว่า ‘พ่อ ขอ​แบ่ง​ทรัพย์​สิน​ส่วน​ที่​ตก​เป็น​ของ​ลูก​ให้​ลูก​ด้วย’ บิดา​จึง​แบ่ง​สม​บัติ​ให้​แก่​บุตร​ทั้ง​สอง  ต่อ​มา​ไม่​กี่​วัน บุตร​คน​เล็ก​นั้น​ก็​รวบ​รวม​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่าง​แล้ว​เดิน​ทาง​ไป​ยัง​เมือง​ไกล และ​ผลาญ​ทรัพย์​สิน​ของ​ตน​ที่​นั่น​ด้วย​การ​ใช้​ชีวิต​แบบ​ฟุ่ม​เฟือย (ลูกา 15:12-13) 

บุตรน้อยคนนี้หลงหายไปจากความรักของพ่อ หลงหายจากความเป็นลูก ทำตัวเป็น "ลูกกำพร้า" เพราะในความคิดของเขา หวังเพียงส่วนแบ่งสมบัติ ละทิ้งความรักของบิดา ผลาญสมบัติจนสิ้น สุดท้ายก็ตกอับ  แม้ว่าจะกลับตัวกลับใจได้ อยากจะกลับมาหาพ่อ ไม่กล้าที่จะกลับมาเป็นลูก ขอเป็น "ลูกจ้าง"

เมื่อ​ใช้​จ่าย​จน​หมด​สิ้น​ทุก​อย่าง​แล้ว ก็​เกิด​กัน​ดาร​อาหาร​อย่าง​รุน​แรง​ทั่ว​เมือง​นั้น เขา​จึง​เริ่ม​ขาด​แคลน  เขา​ไป​อา​ศัย​อยู่​กับ​ชาว​เมือง​นั้น​คน​หนึ่ง และ​คน​นั้น​ก็​ใช้​เขา​ไป​เลี้ยง​หมู​ที่​ทุ่ง​นา  เขา​อยาก​จะ​อิ่ม​ท้อง​ด้วย​ฝัก​ถั่ว​ที่​หมู​กิน​นั้น แต่​ไม่​มี​ใคร​ให้​อะไร​เขา​เลย
เมื่อ​เขา​สำ​นึก​ตัว​ได้ จึง​พูด​ว่า ‘ลูก​จ้าง​ของ​พ่อ​ไม่​ว่า​จะ​มี​มาก​สัก​แค่​ไหน​ก็​ยัง​มี​อาหาร​เหลือ​เฟือ แต่​ข้า​กลับ​ต้อง​มา​อด​ตาย​ที่นี่ ข้า​น่า​จะ​ลุก​ขึ้น​ไป​หา​พ่อ และ​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “พ่อ ลูก​ผิด​ต่อ​สวรรค์​และ​ผิด​ต่อ​ท่าน​ด้วย  ไม่​สม​ควร​จะ​ได้​ชื่อ​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พ่อ​อีก​ต่อ​ไป ขอ​โปรด​ให้​ลูก​อยู่​ใน​ฐานะ​ของ​ลูก​จ้าง​คน​หนึ่ง​ของ​ท่าน​เถิด” (ลูกา 15:14-19) 

ทั้งนี้เพราะบุตรน้อยหลงหาย หลงไปในทางบาป  ไม่เชื่อในความรักของพ่อ  ถูกความโลภบังตา มองไม่เห็นความรักของพ่อ ตัดขาดความรักของพ่อและชีวิตกลับตกต่ำเป็นทุกข์    

เมื่อเราห่างจากความรักของพระเจ้า เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เราก็จะกลายเป็นลูกที่มีหัวใจของลูกกำพร้า(orphan heart)  พึ่งพาตนเองโดยวางใจในทรัพย์สมบัติเงินทอง มากกว่าพักพิงในความรักของพ่อ แต่แม้ว่าเราจะทำผิด ผู้เป็นพ่อก็พร้อมที่จะให้อภัย และพร้อมช่วยเหลือเสมอ 

แล้ว​เขา​ก็​ลุก​ขึ้น​ไป​หา​บิดา แต่​เมื่อ​เขา​ยัง​อยู่​แต่​ไกล บิดา​ก็​เห็น​เขา​และ​มี​ใจ​สงสาร จึง​วิ่ง​ออก​ไป​กอด​คอ​และ​จูบ​แก้ม​ของ​เขา  บุตร​คน​นั้น​จึง​กล่าว​กับ​บิดา​ว่า ‘พ่อ ลูก​ผิด​ต่อ​สวรรค์​และ​ผิด​ต่อ​ท่าน​ด้วย ไม่​สม​ควร​จะ​ได้​ชื่อ​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พ่อ​อีก​ต่อ​ไป’ แต่​บิดา​สั่ง​พวก​บ่าว​ของ​ตน​ว่า ‘จง​รีบ​ไป​เอา​เสื้อ​ที่​ดี​ที่​สุด​ออก​มา​สวม​ให้​เขา เอา​แหวน​มา​สวม​ที่​นิ้ว​มือ และ​เอา​รอง​เท้า​มา​สวม​ให้​ด้วย และ​จง​ไป​เอา​ลูก​วัว​ตัว​ที่​อ้วน​พี​มา​ฆ่า​เลี้ยง​กัน​เพื่อ​ความ​รื่น​เริง
เพราะ​ว่า​ลูก​ของ​เรา​คน​นี้​ตาย​แล้ว​แต่​กลับ​เป็น​ขึ้น​อีก หาย​ไป​แล้ว​แต่​ได้​พบ​กัน​อีก’ พวก​เขา​ต่าง​ก็​มี​ความ​รื่น​เริง (ลูกา 15:20-24) 

สำหรับลูกคนโตของพ่อ ผมเรียกว่า "บุตรชายหลงผิด"  คำว่า  "หลงผิด" ในที่นี้ หมายถึง การสำคัญตัวเองผิด คิดว่าตนเองทำดีพร้อมสมควรที่จะได้รับ  จึงไม่มีคำว่า "พระคุณ" ให้สำหรับคนที่ทำผิด 
เขาทักท้วงในสิทธิที่เขาควรจะได้รับเพราะการกระทำและน้องชายที่ทำผิดไม่สมควรได้รับการอภัย 

แต่เขาบอกบิดาว่า `ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติท่านกี่ปีมาแล้ว และมิได้ละเมิดคำบัญชาของท่านสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งท่านก็ยังไม่เคยให้ข้าพเจ้า เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า ต่เมื่อลูกคนนี้ของท่าน ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของท่านโดยคบหญิงโสเภณีมาแล้ว ท่านยังได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงเขา’ 
บิดาจึงตอบเขาว่า `ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเราก็เป็นของเจ้า แต่สมควรที่เราจะรื่นเริงและยินดี เพราะน้องของเจ้าคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก'”(ลูกา 15:29-32) 

บุตรชายคนโต เปรียบได้กับผู้ที่นับถือศาสนา  ถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าแต่ภายนอกแต่จิตใจภายในยังห่างไกลจากหัวใจของความเป็นพ่อ ที่พร้อมจะให้อภัยโดยไม่มีเงื่อนไข ตามแผนการไถ่ของพระบิดาที่ทรงให้พระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กาเขนเพื่อไถ่บาป   
ดังนั้น ใครถามเราว่า พระเยซูคริสต์ มาทำอะไรบนโลกนี้ บอกได้เลยว่า "มาเที่ยว" แต่เป็น "มาเที่ยวตามหาผู้หลงหายไปนั้นให้รอด"
ลูกา  19:10 เพราะ​ว่า​บุตร​มนุษย์​ได้มา​เพื่อ​จะ​เที่ยว​หา​และ​ช่วย​ผู้​ที่​หลง​หายไป​นั้น​ให้​รอด”
คำอุปมาของพระเยซูในเรื่องบุตรน้อยหลงหายนี้ ให้ภาพเงา(type)เล็งถึง แผนการของพระบิดาที่นำบุตรน้อยหลงหหายกลับบ้านและนำบุตรชายที่หลงผิดกลับคืนดีกับบุตรน้อย
ภาพสัญลักษณ์ในอุปมานี้บอกถึงความหมาย ดังนี้
การฆ่าวัวอ้วนพลี เล็งถึง พระเยซูได้ตายอภัยความผิดของเขาแล้ว
แหวนที่พ่อสวมให้  เล็งถึง พันธสัญญาว่าพระเจ้าจะไม่จดจำความผิดบาปของเขาอีกต่อไป
เสื้อคลุม  เล็งถึง  เสื้อความชอบธรรมเป็นเสื้อคลุมแห่งการไถ่ที่ใส่เพื่อปกปิดความบาปที่เขากระทำ ดั่งเช่นพระเจ้าทรงให้เสื้อขนสัตว์ปกปิดกายของอาดัมและเอวาแทนใบมะเดื่อ
รองเท้า  เล็งถึง การได้รับสถานะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะทาสจะไม่มีรองเท้า
 ดังนั้นเราจึงไม่ใช่ทาสแต่เราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ต้องทำตัวเป็น "ลูกจ้างชั่วคราว" เพราะเราเป็น"ลูกของพระเจ้าชั่วนิรันดร์"
คำอุปมาเรื่องนี้ ยังเป็นภาพเงาที่เล็งถึงแผนการกลับมาคืนดีระหว่างคนยิวและคนต่างชาติเป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One New Man) ผ่านทางพระเยซูคริสต์

เอเฟซัส 2:15   “...เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
บุตรน้อยหลงหาย คือ คนต่างชาติทีหลงหายไปและพระเยซูคริสต์ทรงนำกลับมา เพื่อรับพระคุณโดยการให้อภัยด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระบิดา 
บุตรน้อยหลงหาย  คือ เอฟราอิม (Ephraimเผ่าหนึ่งของอิสราเอล ที่เล็งถึง คนต่างชาติ  
บุครชายคนโต หรือ บุตรชายหลงผิด  หมายถึง ยูดาห์(Judah) หรือคนยิว(Jew) คือ คนยิวที่เคร่งครัดตามกฏบัญญัติ ถือรักษาโทราห์(Torah) ตัวอยู่ใกล้แต่หัวใจอยู่ห่างจากพระบิดาจึงหลงผิดสำคัญตัวเองผิด คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น ไม่ให้อภัยในความผิดของผู้อื่นและดูหมิ่นคนต่างชาติ

ภาพของคนยิวและคนต่างชาติ เป็นคนใหม่คนเดียวกัน(One New Man)ในพันธสัญญาเดิม คือกิ่งไม้ของโยเซฟ 
 เอเสเคียล 37:12-19
12 เพราะ​ฉะนั้น จง​เผย​พระ​วจนะ​และ​กล่าว​แก่​เขา​ว่า ​พระ​เจ้า​ตรัส​ดังนี้​ว่า “ดู​เถิด โอ ประชากร​ของ​เรา​เอ๋ย เรา​จะ​เปิด​หลุม​ฝัง​ศพ​ของ​เจ้า และ​ยก​เจ้า​ออกมา​จาก​หลุม​ฝัง​ศพ​ของ​เจ้า และ​จะ​นำ​เจ้า​กลับมา​ยัง​แผ่นดิน​อิสราเอล​..

16 “เจ้า บุตร​แห่ง​มนุษย์​เอ๋ย จง​เอา​ไม้​มา​อัน​หนึ่ง​เขียน​ลง​ว่า ‘สำหรับ​ยูดาห์ และ​สำหรับ​ชน​อิสราเอล​ที่​สังคม​กับ​ยูดาห์’ จง​เอา​ไม้​มา​อีก​อัน​หนึ่ง​เขียน​ลง​ว่า ‘สำหรับ​โยเซฟ (​ไม้​ของ​เอฟราอิม​) และ​พงศ์​พันธุ์​อิสราเอล​ที่​สังคม​กับ​โยเซฟ’
17 เอา​ไม้​ทั้ง​สอง​มา​รวมกัน​เข้า​เป็น​อัน​เดียว เพื่อ​เป็น​ไม้​อัน​เดียว​ใน​มือ​ของ​เจ้า​
19 จง​กล่าว​แก่​เขา​ว่า ​พระ​เจ้า​ตรัส​ดังนี้​ว่า ดู​เถิด เรา​กำลัง​จะ​เอา​ไม้​ของ​โยเซฟ (​ซึ่ง​อยู่​ใน​มือ​ของ​เอฟราอิม​) และ​เผ่า​อิสราเอล​ที่​สังคม​กับ​เขา​และ​เรา​จะ​เอา​ไม้​ของ​ยูดาห์​มา​รวมเข้า​ด้วย และ​กระทำ​ให้​เป็น​ไม้​อัน​เดียว​กัน​เพื่อให้​เป็น​ไม้​อัน​เดียว​ใน​มือ​ของ​เรา​
ประเทศอิสราเอลมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเกี่ยวกับการสูญเสียและการปฏิเสธ แต่เมื่อมีการเชื่อมต่อการเป็นคนใหม่คนเดียวกันระหว่างยิวกับคนต่างชาติ   พวกเขาจะสามารถลืมอดีตที่ผ่านมาและเกิดผลทวีคูณได้โดยพงษ์พันธ์ุของโยเซฟ  ในพันธสัญญาใหม่  ·พระเยซูคริสต์เป็นผู้เชื่อมกลางระหว่างยิวกับคนต่างชาติ ทำให้เป็นคนใหม่คนเดียวกัน 
คนยิวและคนต่างชาติเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเป็นผู้รับมรดกร่วมกันในฐานะของความเป็นพี่น้องกัน

เอเฟซัส 2:15-18 ...การ​เป็น​ปฏิปักษ์​กัน โดย​ใน​เนื้อ​หนัง​ของ​พระ​องค์ ได้​ทรง​ให้ธรรม​บัญญัติ​อัน​ประกอบด้วย​บทบัญญัติ​และ​กฎหมาย​ต่างๆ นั้น​เป็น​โมฆะ เพื่อ​จะ​กระทำ​ให้​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​เป็น​คน​ใหม่​คน​เดียว​ใน​พระ​องค์ เช่นนั้น​แหละ จึง​ทรง​กระทำ​ให้​เกิด​สันติ​สุข​
และ​เพื่อ​จะ​ทรง​กระทำ​ให้​ทั้ง​สอง​พวก​คืน​ดี​กับ​พระ​เจ้า เป็น​กาย​เดียว​โดย​กางเขน ซึ่ง​เป็น​การ​ทำ​ให้​การ​เป็น​ปฏิปักษ์​ต่อ​กัน​หมด​สิ้น​ไป​ และ​พระ​องค์​ได้​เสด็จ​มา​ประกาศ​สันติ​สุข​แก่​ท่าน​ที่​อยู่​ไกล และ​ประกาศ​สันติ​สุข​แก่​คน​ที่​อยู่​ใกล้ เพราะ​ว่า​พระ​องค์​ทรง​ทำ​ให้​เรา​ทั้ง​สอง​พวก​มี​โอกาส​เข้า​เฝ้า​พระ​บิดา​โดย​พระ​วิญญาณ​องค์​เดียว​กัน​ 
เหตุ​ฉะนั้น​ท่าน​จึง​ไม่ใช่​คน​ต่างด้าว​ต่าง​แดน​อีก​ต่อไป แต่​ว่า​เป็น​พล​เมือง​เดียว​กัน​กับ​ธรรมิก​ชน และ​เป็น​ครอบครัว​ของ​พระ​เจ้า​

ในภาษากฏหมาย(legal) แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่ความเท่าเทียมกันแต่เป็นสิทธิพิเศษที่ได้รับผลประโยชน์ร่วม ดังเช่น หุ้นส่วนทางธุรกิจร่วมกันหรือสมาชิกครอบครัวที่ได้รับมรดกร่วมกัน เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาทั่วไปแต่เป็นการรับมรดกร่วมกัน( joint heirs) เหมือนดังตัวอย่างคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย  คนยิวกับคนต่างชาติมีพ่อคนเดียวกัน 

ดังนั้นสิ่งที่เป็นความหวังและความสำเร็จ เราสามารถคาดหวังที่จะได้รับร่วมกันจากพระบิดา  
ในพระเมสสิยาห์  ชาวยิวจะไม่ได้รับมรดกที่ดีที่สุดจากพระบิดาจนกว่าประเทศต่างๆจะได้รับมรดกของพวกเขาและในทางกลับกัน คนต่างชาติจะไม่ได้รับมรดกหากคนยิวยังไม่ได้รับ!

เราจะเห็นได้จากตัวอย่างคำอุปมานี้ บุตรชายคนโต(คนยิว) อิจฉาเมื่อบุตรน้อยหลงหาย(คนต่างชาติ)กลับมาหาพ่อ ในพระธรรมโรม บทที่ 9-11 ภาพของ One New Man โดยให้ภาพของกิ่งมะกอกป่า(คนต่างชาติ)ที่เชื่อมต่อติดกับต้นมะกอกแท้(คนยิว)  และในบทที่ 10 ข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์จะไปทั่วโลก บุตรน้อยที่หลงหาย(คนต่างชาติ)จะกลับใจและกลับมาหาพ่อ และบุตรชายคนโต(คนยิว) จะอิจฉา และจะถึงเวลาที่บุตรชายหลงผิดจะกลับใจสำนึกในความรักของพระบิดา

โรม 10:18-21 ... “เสียง​ของ​พวก​เขา​กระ​จาย​ออก​ไป​ทั่ว​แผ่น​ดิน​โลก และ​ถ้อย​คำ​ของ​เขา​ประ​กาศ​ออก​ไป​ถึง​สุด​ปลาย​พิ​ภพ” 
...“อิส​รา​เอล​ไม่​เข้า​ใจ​หรือ?” โม​เสส​กล่าว​ก่อน​ว่า “เรา​จะ​ให้  เจ้า​ทั้ง​หลายอิจฉา​ผู้​ที่​ไม่​ใช่​ชนชาติ  เรา​จะ​ยั่ว​โทสะ เจ้าด้วย​ชน​ชาติ​ที่​โง่​เขลา​ชาติ​หนึ่ง” 
แล้ว​อิส​ยาห์​กล้า​กล่าว​ว่า “พวก​ที่​ไม่​ได้​แสวง​หา​ได้​พบ​เรา เรา​ได้​ปรา​กฏ​แก่​คน​ที่​ไม่​ได้​ถาม​หา​เรา”  แต่​ท่าน​ได้​กล่าว​ถึง​พวก​อิส​รา​เอล​ว่า“ตลอด​ทั้ง​วัน เรา​ยื่น​มือ​ต้อน​รับ​ชน​ชาติ​ซึ่ง​ไม่​เชื่อ​ฟัง​และ​ดื้อ​รั้น” 

อย่างไรก็ตามด้วยความรักของพระบิดา ผู้ที่เป็นพ่อจะเรียกร้องให้ทั้ง"บุตรน้อยหลงหายกับบุตรชายหลงผิด" จะกลับมาหาพ่อในวันสุดท้ายและจะมีงานเฉลิมฉลองเกิดขึ้นในแผ่นดินสวรรค์!

มาลาคี 4:5-6  “นี่​แน่ะ เรา​จะ​ส่ง​เอ​ลี​ยาห์​ผู้​เผย​พระ​วจนะมา​ยัง​เจ้า​ก่อน​วัน​แห่ง​พระ​ยาห์​เวห์ คือ​วัน​ที่​ใหญ่​ยิ่ง​และ​น่า​สะพรึง​กลัว​จะ​มา​ถึงและ​ท่าน​ผู้​นั้น​จะ​ทำ​ให้​จิต​ใจ​ของ​พ่อ​หัน​ไป​หา​ลูก และ​จิต​ใจ​ของ​ลูก​หัน​ไป​หา​พ่อ...