“สาวกที่พระองค์ทรงรัก”(Disciple whom Jesus loved)
เมื่อกล่าวถึงบรรดาอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “สาวกที่พระองค์ทรงรัก” เราคงจะทราบได้ทันทีว่ากล่าวถึง “อัครสาวกยอห์น” เพราะในพระคัมภีร์ท่านเองเป็นผู้กล่าวอ้างไว้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พระเยซูทรงลำเอียงซึ่งขัดกับพระลักษณะของพระองค์ แต่ทว่าการที่ท่านเขียนอ้างแบบนี้เป็นเพราะท่านมั่นใจในความรักของพระเยซูที่มีต่อท่าน หลายคนอาจจะเขียนโอ้อวดว่า “เขาเป็นผู้รักพระเจ้า” และทำสิ่งต่างๆเพื่อพระเจ้าให้ผู้อื่นรับรู้ แต่ท่านเป็นผู้โอ้อวดว่า“พระเจ้าทรงรักท่าน” และท่านเองเป็นบุคคลสำคัญที่เป็นพยานถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับมนุษย์ทุกคน เมื่อเราอ่านพระธรรมยอห์น เราจึงมองย้อนกลับมาสำรวจชีวิตของเรา เราสามารถเรียนรู้จากชีวิตของท่านยอห์น “สาวกที่พระองค์ทรงรัก” ได้ดังต่อไปนี้
ก้าวสู่การทรงสถิต : ชีวิตเต็มด้วยหมายสำคัญการอัศจรรย์
ยอห์น หรือ โยฮันนัน יוחנן ชื่อของท่าน หมายถึง “พระยาห์เวห์ทรงสง่างาม” (Yahweh is gracious) บิดาของท่านชื่อ “เศเบดี”เป็นชาวประมงอยู่เมืองเบธไซดา (ยน.1:44 ) และมารดาชื่อ “สะโลเม” ซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งที่ได้อุทิศตัวปรนนิบัตรับใช้พระเยซูคริสต์ท่านยอห์นและพี่ชายคือ ยากอบ ได้รับการทรงเรียกขณะที่กำลังปะชุนอวนอยู่กับบิดาที่ชายทะเลกาลิลี(มธ. 4:22) ท่านทั้งสองได้ละจากอาชีพของท่านและได้ละทิ้งชีวิตเก่าเพื่อก้าวสู่การทรงสถิตและติดตามรับใช้กับองค์พระเยซูคริสต์
ท่านได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่พระเยซูทรงกระทำหมายสำคัญเป็นการยืนยันถึงการเป็นพระบุตรของพระเจ้าเพื่อทำให้เรามีความเชื่อและก้าวตามอย่างมั่นใจในพระสัญญาของพระองค์ดั่งเช่น
พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น(ยน.2:1-11)พระสัญญาคือเราจะไม่กระหายอีกเลย(ยน.4:14),
พระเยซูทรงเลี้ยงคน 5,000 คน (ยน. 6:1-14) พระสัญญา คือ เราจะไม่หิวอีกเลย (ยน.6:35),
พระเยซูทรงดำเนินไปบนทะเลสาบ(ยน.6:16-21) พระสัญญา คือ พระองค์จะไม่ทอดทิ้งผู้ที่เชื่อในพระองค์และนำไปยังจุดหมายปลายทาง (ยน. 6:37),
พระเยซูทรงรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด(ยน.9:1-7)พระสัญญา คือ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะไม่ให้เราเดินในความมืดเลย (ยน. 8:12),
พระเยซูทรงรักษาลาซาลัสให้เป็นขึ้นมาจากความตาย (ยน.11:1-46) พระสัญญาคือเราจะไม่ตายและรักชีวิตนิรันดร์ (ยน.11:26)
การก้าวสู่การทรงสถิต ทำให้เรามีชีวิตที่เต็มด้วยหมายสำคัญการอัศจรรย์ ทางแห่งกางเขนเป็นทางแห่งความถ่อมใจรับใช้ผู้อื่น ไม่ใช่นำไปสู่เกียรติของตนเอง พระองค์เสด็จมามิใช่เพื่อให้คนอื่นรับใช้ แต่เพื่อรับใช้ผู้อื่น (มธ.20:26) พระองค์เป็นแบบอย่างแห่งความถ่อมใจโดยการล้างเท้าเหล่าสาวก (ยน.13:1-15) ความถ่อมใจเป็นเงื่อนไขที่จะได้รับสิทธิอำนาจเพื่อเราจะเดินตามพระองค์
พบพระพักตร์ : ชีวิตเปลี่ยนแปลง
ยอห์นเป็นสาวกที่มีอายุน้อยที่สุด และเป็นหนุ่มโสดเพียงคนเดียวในบรรดาสาวกทั้ง12 คน ท่านเป็นคนมีนิสัยใจร้อนเหมือนยากอบพี่ชาย พระเยซูทรงเรียกท่านทั้ง 2 คนว่า “ลูกฟ้าร้อง” เพราะใจร้อน พระเยซูทรงใช้ให้ท่านทั้งสองเดินทางไปล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมอาหารและที่พัก แต่ชาวสะมาเรียไม่ต้อนรับ เพราะทราบว่าพระเยซูและสาวกเป็นคนยิว ท่านทั้งสองโกรธมาก รีบไปหาพระเยซูเพื่อขอไฟจากฟ้ามาเผาผลาญพวกเขา และพระเยซูทรงได้ให้บทเรียนแก่ท่านทั้งสองว่า “พระองค์เสด็จมาในโลกมิใช่ทำลาย แต่เพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอด” (ลก.9:51-56) จากคนใจร้อนกลายเป็นคนใจรักผู้อื่น
ยอห์นมีประสบการณ์ในการพบพระพักตร์กับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า(Encounter) ทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลง หัวใจเปลี่ยนไป เป็นหัวใจใหม่ที่รักคนแบบที่พระเจ้าทรงรักพระเยซูคริสต์ทรงนำเปโตร ยากอบและยอห์นขึ้นไปบนภูเขาทาโบร์เพื่อสำแดงพระกายของพระองค์(มธ.17:1-7)
ท่านทั้ง 3 ได้พบพระพักตร์ของพระองค์ ทำให้ชีวิตของพวกท่านปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจาก “คนที่รู้จัก”เป็น “คนที่รู้ใจ” เข้าใจถึงพระทัยและแผนการของพระองค์ที่ทรงเสด็จมาในโลกนี้เพื่อช่วยคนให้รอด
ซบพระทรวง : สนิทสนมชิดใกล้ ลึกในพระทัยเพื่อเข้าใจหัวใจพระบิดา
ยอห์นเป็นสาวกที่พระเยซูคริสต์ทรงรัก เพราะท่านจะนอนลงเพื่อซบพระทรวงในช่วงเวลารับประทานอาหาร เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด “สนิทสนม” ไม่ใช่แบบ “สนิมสะสม”ที่เหินห่าง เปรียบดังแขนงองุ่นที่ติดกับเถาองุ่น(ยน.15)
แม้แต่เรื่องสำคัญ ท่านเปโตรก็กระซิบให้ยอห์นถามพระเยซูคริสต์ว่าใครเป็นผู้ทรยศต่อพระองค์ (ยน.13:24-25) เพราะท่านยอห์นได้เข้าไปสนิทสนมชิดใกล้ซบที่พระทรวงของพระคริสต์ทำให้ได้ยินเสียงพระทัยและท่านสามารถเข้าใจหัวใจของพระองค์ พระองค์ทรงสำแดงแผนการน้ำพระทัยมากมายให้แก่ท่าน ท่านจึงเป็นผู้ที่ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ต่างๆเพื่อเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ทั้งในพระธรรมยอห์น จดหมายฝากยอห์นทั้ง 3 ฉบับและพระธรรมวิวรณ์
หลังจากมีการเหตุการณ์การข่มเหงครั้งใหญ่(กจ.3) ยอห์นได้เดินทางไปเทศนาในแถบเอเชียน้อยไปอยู่ที่เมืองเอเฟซัสถูกจับในสมัยจักรพรรดิโดมีเซียน (ค.ศ.95) ถูกโยนลงไปในกะทะน้ำมันเดือด แต่ไม่เป็นอันตรายใดๆ จึงถูกเนรเทศไปที่เกาะปัทมอส (ค.ศ. 96-97) และสิ้นชีวิตที่นั่นในราวปี ค.ศ. 104 นับเป็นสาวกที่มีอายุยืนยาวที่สุด สมกับที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้นจะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า…”
ท่านยอห์นสาวกที่ทรงรักคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริงมีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่งแม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น (ยน 21:23-25)
ท่านยอห์นเป็นผู้รับความไว้วางใจจากพระเยซูคริสต์ พระองค์ฝากนางมารีย์มารดาของพระองค์ให้กับยอห์นเป็นผู้ดูแล เมื่อพระองค์เสร็จไปที่กางเขน (ยน.19.26-27)
อัครสาวกยอห์น ท่านได้ชื่อว่าเป็น "อัครทูตแห่งความรัก" เพราะท่านได้นิยามความรักว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรักผู้ที่รักก็จะรู้จักกับพระองค์และให้เราทั้งหลายรักกันและกัน” (1 ยน.4) ท่านเป็นผู้ที่ถูกใช้ไปเพื่อส่งข่าวสารที่สำคัญที่สุดของโลกคือ “ข่าวสารแห่งความรัก” (ยน 3:16)
อัครสาวกยอห์นจึงเป็นแบบอย่างในการก้าวเดินตามการทรงสถิต มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเยซูคริสต์ได้พบพระพักตร์ นั่งซบที่พระทรวง รู้จักพระทัยและทำตามพระทัย
ดังนี้แหละยอห์นจึงเป็น “สาวกที่พระองค์ทรงรัก”เราทั้งหลายก็อยากจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
You'll never walk alone. I am your friend who always listens to, and walks along with you.
27 สิงหาคม 2557
21 สิงหาคม 2557
"คิดอย่างไร ใหญ่อย่างอิสราเอล"
"...แม้อิสราเอลจะเป็นประเทศเล็ ก แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีควา มแตกต่างมากที่สุดแห่งหนึ่งในโล ก ประชากรจำนวนน้อยนิดของอิสราเอล นั้นผสมผสานมาจากชนชาติที่แตกต่ างกันถึงเจ็ดสิบชาติ ผู้ลี้ภัยชาวยิว...มาจากอิรักและโปแลนด์ หรือเอธิโอเปีย ล้วนไม่ใช้ภาษาเดียวกัน หรือแม้แต่พื้นฐานการศึกษา วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์ ก็แตกต่างกันมาอย่างน้อยนับสองพ ันปี
ดังเช่นที่เดวิด แมกวิลเลียมส์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวไอริชอธิบายไว ้ว่า "อิสราเอลนั้นไม่ใช่ประเทศยิวมิ ติเดียว เพราะมันเป็นหม้อความเชื่อทางศา สนาที่หลอมรวมเอาชาวยิวที่พลัดถ ิ่นไปตั้งแต่สมัยโบราณกลับมา โดยนำเอาวัฒนธรรม ภาษา และขนมธรรมเนียมที่แตกต่างจากสี ่มุมโลกมารวมกันไว้อีกครั้ง"
...แท้จริงแล้ว ความลับของอิสราเอลดูเหมือนจะอย ู่ในสิ่งที่มากกว่าความสามารถขอ งตัวบุคคล ในบริษัทหลายแห่งมีคนที่มีความส ามารถมากกว่าจำนวนวิศวกรที่อิสร าเอลมีอยู่เสียอีก อาทิ นักศึกษาชาวสิงคโปร์ที่ได้คะแนน สอบดีที่สุดในโลกด้านวิทยาศาสตร ์และคณิตศาสตร์ หลายต่อหลายประเทศก็ได้เข้าไปตั ้งบริษัทในอินเดียและไอร์แลนด์ "แต่เราไม่ทำงานหลักสำคัญๆ ของเราที่ประเทศเหล่านั้น" ผู้บริหารชาวอเมริกันจากอีเบย์บ อกกับเรา "กูเกิล ซิสโก้ ไมโครซอฟท์ อินเทล อีเบย์ ฯลฯ ความลับสุดยอดคือ เราต่างก็อยู่และตายได้ด้วยการท ำงานของทีมงานชาวอิสราเอลของเรา นั่นเป็นเรื่องสำคัญกว่าการที่เ ราไปตั้งศูนย์บริการที่อินเดีย หรือตั้งหน่วยไอทีที่ไอร์แลนด์ สิ่งที่เราทำในอิสราเอลไม่เหมือ นกับที่เราทำที่ไหนในโลก"
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้อิ สราเอลประสบความสำเร็จ...ทั้งหม ดคือเรื่องราวที่ไม่ใช่เพียงควา มสามารถเท่านั้น แต่ยังเป็นพลังใจที่ยืนหยัดไม่ท ้อถอยต่อการตั้งคำถามอย่างไม่ลด ละต่อผู้มีอำนาจ ความเป็นกันเองอย่างตั้งใจ ผสานรวมกับทัศนคติที่ไม่เหมือนใ ครในเรื่องความล้มเหลว การทำงานเป็นทีม งานที่ได้รับมอบหมาย ความเสี่ยง และความคิดสร้างสรรค์แบบต่อต้าน
การยึดระเบียบวินัย
"คุตซ์ปาห์ คือ ความกล้าหาญ ความอาจหาญ ความกำแหง ความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ ความหยิ่งทะนงและความอหังการแบบ ที่ไม่มีคำไหนหรือภาษาอื่นใดจะใ ห้ความหมายแบบตรงตัวได้
คนภายนอกจะมองเห็นคุตซ์ปาห์ทุกห นทุกแห่งในอิสราเอล: จากท่าทีที่นักศึกษาในมหาวิทยาล ัยพูดคุยกับอาจารย์ของพวกเขา พนักงานที่ท้าทายเจ้านาย จ่าสิบเอกตั้งข้อสงสัยกับนายพล และเสมียนตั้งคำถามต่อการตัดสิน ใจของรัฐมนตรี ตลอดทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือในกองทัพ ชาวอิสราเอลได้เรียนรู้ว่า ความกล้าหาญมั่นใจคือ วิถีปกติ การสงวนท่าทีคือ สิ่งที่เสี่ยงต่อการทำให้ตัวตนข องเราถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
สิ่งนี้เห็นชัดในรูปแบบที่เป็นท ี่นิยมในการพูดถึงบุคคลในอิสราเ อล... คุณบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับสั งคมหนึ่ง จากการที่สมาชิกในสังคมพูดถึงกล ุ่มบุคคลชั้นนำของตนเอง อิสราเอลเป็นที่เดียวในโลกที่ทุ กคนที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตเปี่ย มอำนาจรวมถึงนายกรัฐมนตรีและนาย พลทั้งหลายในกองทัพ มีชื่อเล่นที่ทุกคนเรียกขานกันใ นกลุ่มประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอิสรา เอล
เบนจามิน เนทันยาฮู และอดีตนายกรัฐมนตรี เอเรียล ชารอน มีชื่อเล่นว่า "บีบี" และ "เอริก" ตามลำดับ.... หัวหน้าฝ่ายกองกำลังป้องกันอิสร าเอล (IDF) นาม โมเช ยาลอน ก็กลายเป็น "โบกีย์"... ชื่อเล่นเหล่านี้ไม่ได้เรียกขาน กันลับหลังเท่านั้น แต่ใช้กันแบบกว้างขวางและทุกคนก ็ใช้กันทั่วไป... เป็นสิ่งที่เป็นตัวอย่างให้เห็น ถึงระดับความเป็นกันเองของอิสรา เอลได้เป็นอย่างดี
ทัศนคติและความเป็นกันเองของชาว อิสราเอลเกิดขึ้นจากความอดกลั้น ทางวัฒนธรรม จากสิ่งที่ชาวอิสราเอลบางรายเรี ยกว่า "ความล้มเหลวแบบสร้างสรรค์" หรือ "ความล้มเหลวอย่างฉลาด" ... ถ้าไม่มีความอดทนต่อความล้มเหลว มากมายขนาดนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างนวั ตกรรมได้จริงๆ
..วัฒนธรรมและกฏเกณฑ์ของคนอิสรา เอลสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่ เป็นเอกลักษณ์ต่อความล้มเหลว ทัศนคติที่ทำให้นักลงทุนที่เคยล ้มเหลวซ้ำๆ ได้กลับเข้ามาในระบบที่สร้างขึ้ น เพื่อให้คนเหล่านี้ได้ใช้ประสบก ารณ์ที่เคยพลาดได้ลองอีกครั้ง ดีกว่าการปล่อยให้พวกเขาเสื่อมเ เสียชื่อเสียงและไร้ความสำคัญตลอ ดไป
รวบรวมจากหนังสือ "คิดอย่างไร ใหญ่อย่างอิสราเอล" แปลโดย ท่านประภัสสร เสวิกุล
ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ศิริพร สุกัญจนสิริ (ใหญ่)
ดังเช่นที่เดวิด แมกวิลเลียมส์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวไอริชอธิบายไว
...แท้จริงแล้ว ความลับของอิสราเอลดูเหมือนจะอย
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ทำให้อิ
"คุตซ์ปาห์ คือ ความกล้าหาญ ความอาจหาญ ความกำแหง ความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ
คนภายนอกจะมองเห็นคุตซ์ปาห์ทุกห
สิ่งนี้เห็นชัดในรูปแบบที่เป็นท
เบนจามิน เนทันยาฮู และอดีตนายกรัฐมนตรี เอเรียล ชารอน มีชื่อเล่นว่า "บีบี" และ "เอริก" ตามลำดับ.... หัวหน้าฝ่ายกองกำลังป้องกันอิสร
ทัศนคติและความเป็นกันเองของชาว
..วัฒนธรรมและกฏเกณฑ์ของคนอิสรา
รวบรวมจากหนังสือ "คิดอย่างไร ใหญ่อย่างอิสราเอล" แปลโดย ท่านประภัสสร เสวิกุล
ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ศิริพร สุกัญจนสิริ (ใหญ่)
16 สิงหาคม 2557
คำหนุนใจเรื่องอิสราเอลโดย Dr.Chuck Pierce
คำหนุนใจเรื่องอิสราเอลโดย ดร.ซัค เพียร์ซ ( Dr.Chuck Pierce)
ความกลัวและความไม่เชื่อเป็นโรคติดต่อที่ลามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 1967 พื้นที่ส่วนใหญ่ของดินแดนอิสราเอลโบราณได้กลับคืนมาอยู่ในมือของอิสราเอล แต่ความขัดแย้งมากมายดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในประเด็นเรื่องขอบเขตดินแดนของพระเจ้าในโลกนี้
วันนี้อิสราเอลยืนอยู่ในที่ๆ พระเจ้าสัญญาไว้ด้วยความสับสน หลงทาง วิตกกังวล และเปิดต่อการถูกทำร้าย อิสราเอลเป็นบุตรหัวปีของพระเจ้า ดัง...นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นเกี่ยวโยงมาถึงเราด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเรามากมายรู้สึกถึงประเด็นต่างๆ เป็นส่วนตัวในลักษณะเดียวกัน จำไว้ว่า เรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่อันตราย อย่ายอมให้ยักษ์ทั้งหลายในแผ่นดินของคุณกันคุณไว้จากการมีประสบการณ์อย่างเต็มขนาดในพระสัญญาของพระองค์ จงเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งหลายด้วยเสียงร้องตะโกนว่า: แต่พระเจ้า! และป่าวประกาศว่า ความมืดมนทั้งสิ้นจงออกไปเพื่อคุณจะสามารถส่องสว่าง! ประกาศคำบัญชาจากสวรรค์ว่า ความสว่างจากการสำแดงของพระองค์จะฉายส่องมา!
อิสยาห์ 9:1 "แต่กระนั้น เมืองนั้นที่อยู่ในสภาพโศกเศร้าจะไม่ทุกข์ระทมอีก" เราควรจะร้องตะโกนทุกเช้าว่า "แต่กระนั้น ความโศกเศร้าหายไปจากข้าพเจ้าแล้ว" ผู้พยากรณ์อิสยาห์พูดเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแผ่นดิน "แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลีเป็นที่ดูหมิ่น ชนชาติที่ดำเนินในความมืด เห็นความสว่างยิ่งใหญ่"
ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ศิริพร สุกัญจนสิริ (ใหญ่)