ทำความเข้าใจเรื่องการถวาย
การถวายเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงกำหนดให้มนุษย์ถวายพระองค์เพื่อเป็นการแสดงออกถึงหัวใจที่ยอมจำนนให้กับพระองค์และแสดงออกถึงการเชื่อฟังเป็นการกระทำ
แสดงว่า ใจที่เชื่อฟังยอม“จำนน”
มีความสำคัญมากกว่า “จำนวน”สิ่งที่นาถวาย
ตามหลักการพระคัมภีร์ให้มีการแบ่งการถวายเป็น
3 ส่วนคือ ของบริจาค(Contributions), ผลไม้รุ่นแรก(First
fruits) และ ทศางค์หรือสิบลด(Tithes)
สิ่งเหล่านี้เป็นการมอบถวายจากใจให้กับพระเจ้า
43 43 และเขาทั้งหลายได้ถวายเครื่องสัตวบูชาใหญ่โตในวันนั้น และเปรมปรีดิ์เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้เขาเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานใหญ่ยิ่ง พวกผู้หญิงและเด็กๆ ก็เปรมปรีดิ์ด้วย และความชื่นบานของเยรูซาเล็มก็ได้ยินไปไกล 44 ในวันนั้น เขาแต่งตั้งคนให้ดูแลห้องสำหรับพัสดุ ของบริจาค ผลไม้รุ่นแรก ทศางค์ ให้รวบรวมสิ่งซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายสำหรับปุโรหิตและคนเลวีเข้ามาไว้ในนั้น ตามไร่นาในหัวเมืองเหล่านั้น เพราะยูดาห์เปรมปรีดิ์ด้วยเรื่องบรรดาปุโรหิต และคนเลวีผู้ปรนนิบัติอยู่นั้น
1. ถวายผลแรก (Frist
fruits)
เป็นการแสดงถึงการให้ความสำคัญว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นความสำคัญแรกสุดก่อนสิ่งใด
แยกสิ่งที่ได้มาเพื่อถวายก่อน
2. ถวายสิบลด(Tithes) เป็นการแสดงถึงการให้ที่มาจาการเชื่อฟัง
นำหนึ่งส่วนชักออกมาจากสิบส่วนเพื่อนำมาถวาย
3. ถวายต่าง ๆ (Contributions) เป็นการแสดงถึงการให้ที่มาจากใจนการขอบพระคุณและเป็นพรไปสู่ผู้อื่น
การถวายมีตั้งแต่ก่อนยุคธรรมบัญญัติ
การถวายของคาอินและอาเบล ใน ปฐมกาล 4 :3-7
3 อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลจากผืนดินมาเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์
4 ส่วนอาเบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระยาห์เวห์พอพระทัยอาเบลและของถวายของเขา
5 แต่คาอินกับของถวายของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธยิ่งนัก ก้มหน้าลง
6 พระยาห์เวห์จึงตรัสถามคาอินว่า “ทำไมเจ้าโกรธ? ทำไมหน้าเจ้าบูดบึ้ง?
7 ถ้าเจ้าทำดี เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้น”
การถวายแบบนี้เป็นการถวายผลแรก
อาแบลให้แกะหัวปีแด่พระยาห์เวห์แสดงถึงการให้ความสำคัญแด่พระองค์เป็นลำดับแรกของชีวิต
พระยาห์เวห์จึงพอพระทัยและรับของถวายของอาแบล
ฮีบรู 11:4 โดยความเชื่อ อาเบลจึงนำเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า โดยทางความเชื่อนั้นท่านได้รับการรับรองว่าเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทรงรับรองของถวายของท่าน แม้ว่าอาเบลตายไปแล้ว แต่โดยทางความเชื่อท่านจึงยังพูดอยู่
การถวายสิบลดในยุคก่อนธรรมบัญญัติ
การถวายสิบลดในยุคก่อนที่มีธรรมบัญญัติ
อับราม(อับราฮัม) ถวาย"หนึ่งในสิบ"
ของที่ยึดมาได้ ให้กับกษัตริย์เมลคีเซเดค ซึ่งป็นปุโรหิตเป็นผู้รับสิบลดและอวยพร
ปฐมกาล 14:18-20
18 เมลคีเซเดคผู้เป็นทั้งกษัตริย์ซาเลมและปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ก็นำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้
19 แล้วอวยพรท่าน กล่าวว่า “ขอให้อับรามรับพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
20 ขอพระเกียรติเป็นของพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในมือของท่าน” อับรามก็มอบหนึ่งในสิบจากข้าวของทั้งหมดนั้นถวายแก่กษัตริย์เมลคีเซเดค
การถวายในยุคธรรมบัญญัติ(พันธสัญญาเดิม)
เมื่อคนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์
(อพยพ
บทที่12 )เมื่ออยู่ในดินแดนถิ่นทุรกันดาร
พระยาห์เวห์จึงประทานธรรมบัญญัติให้กับคนของพระองค์ผ่านทางโมเสส ทำให้การถวายเป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและกำหนดให้คนอิสราเอลในสมัยนั้นต้องถวายต่าง
ๆ ทั้ง ผลไม้รุ่นแรก(First fruits) ,ทศางค์หรือสิบลด(Tithes) และของบริจาค(Contributions) ทั้งนี้เพราะมีชุมชนและระบบปุโรหิตเพื่อรับการถวายแล้ว
เลวีนิติ 23 :9-11
9 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
10 “จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อพวกเจ้ามาถึงแผ่นดินซึ่งเราให้เจ้า และเกี่ยวพืชผลของแผ่นดินนั้น พวกเจ้าจงเอาพืชผลส่วนหนึ่งที่เก็บเกี่ยวในรุ่นแรกนำไปให้ปุโรหิต
11 และปุโรหิตจะนำพืชผลส่วนนั้น ทำพิธีโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ เพื่อพวกเจ้าจะเป็นที่โปรดปราน
เลวีนิติ 27:30 “ทศางค์ทั้งสิ้นที่ได้จากแผ่นดินเป็นพืชที่ได้จากแผ่นดินก็ดี หรือผลจากต้นไม้ก็ดี เป็นของพระยาห์เวห์ เป็นของถวายที่บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์
การไม่ถวายสิบลดถือเป็นการฉ้อพระเจ้า แต่การถวายถือเป็นการรับพระพร
มาลาคี 3:8-10
8 “มนุษย์จะฉ้อโกงพระเจ้าหรือ? ที่จริงเจ้าทั้งหลายได้ฉ้อโกงเรา แต่เจ้ากล่าวว่า ‘พวกเราฉ้อโกงพระเจ้าอย่างไร?’ ก็ฉ้อโกงในเรื่องทศางค์และเครื่องบูชานั่นซี
9 เจ้าทั้งหลายต้องถูกสาปแช่งด้วยคำสาปแช่ง เพราะเจ้าฉ้อโกงเราทั้งชาติ
10 พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่
การถวายในยุคพระคุณ(พันธสัญญาใหม่)
พระเยซูคริสต์ไม่ได้มาลบล้างธรรมบัญญัติแต่ทำให้สมบูรณ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
มัทธิว 5:17 “อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ
พระเยซูคริสต์ตั้งพันธสัญญาใหม่
ไม่ใช่การปรับโทษแต่ประทานชีวิต
โรม 8:1-2
1 เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ท่านพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย
การถวายจึงเป็นการสมัครใจด้วยการสำนึกในพระคุณ
จึงเป็นการมอบถวายชีวิตให้กับพระเจ้า หมายถึง 100%
ไม่ใช่แค่ 10
%
เท่านั้น
โรม 12:1 ดังนั้น
พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน
เราทุกคนที่เชื่อเป็นดั่งปุโรหิต
มีส่วนในการถวายตัวรับใช้พระเจ้า
1 เปโตร 2:9 แต่พวกท่านเป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณของพระองค์
ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
การถวายจึงถวายมากกว่าแค่สิบลดและด้วยใจยินดีไม่ใช่เสียดาย
เพื่อเป็นพระพรต่อชุมชน(คริสตจักร)
2
โครินธ์ 9:6-8
6 นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย
คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก
7 แต่ละคนจงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ
ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย
ไม่ใช่ให้ด้วยความจำใจ
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี
8
และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างแก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น
เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ
ท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกอย่างด้วย
เมื่อพิจารณาหลักการถวายแล้วจึงมาตอบคำถามในเรื่อง เหตุใดชนชาติอิสราเอลรับมานาในถิ่นทุรกันดารแล้ว
ไม่ต้องแบ่งถวายเป็นสิบลด?
1. เพราะมานาเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ประทานให้ด้วยพระคุณพิเศษ
ไม่ใช่สิ่งที่คนอิสราเอลหาหรือทำงานเพื่อจะได้มา
เมื่อคนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ (อพยพ
บทที่12 )เมื่ออยู่ในดินแดนถิ่นทุรกันดาร พระยาห์เวห์ได้ประทานอาหารให้คนอิสราเอล
เป็นสิ่งที่ตกมาจากฟ้า
อพยพ 16:4-5
4 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ เราจะให้อาหารตกลงมาเหมือนฝนจากท้องฟ้าสำหรับพวกเจ้า และทุกๆ วันก็ให้ประชาชนออกไปเก็บแต่พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า พวกเขาจะดำเนินตามบัญญัติของเราหรือไม่?
5 ในวันที่หก เมื่อพวกเขาเตรียมมานาที่นำมา ก็ให้เก็บเพิ่มเป็นสองเท่าของที่พวกเขาเก็บในวันอื่นๆ”
มานาเป็นสิ่งที่พวกคนอิสราเอลได้รับจากพระเจ้าโดยตรง
ไม่ต้องทำงานด้วยการปลูกจากแผ่นดิน ดังนั้นจึงไม่ต้องถวายสิบลด
เพราะพระเจ้าให้เขาด้วยพระคุณ จะเห็นได้ว่ามานาเป็นสิ่งที่ให้ชั่วคราว เมื่อคนอิสราเอลปลูกพืชไร่นาแล้วพวกเขาจึงนำมาถวายผลแรกและสิบลด
(ลนต.23)
เมื่อคนอิสราเอลจะเข้าแผ่นดินคานาอัน
พระเจ้าไม่ได้ประทานมานาแล้ว เพราะเขาจะได้รับผลผลิตจากแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้
และพวกเขาจะต้องทำงานจึงจะได้รับมา
โยชูวา 5:10-12
10 ประชาชนอิสราเอลได้ตั้งค่ายที่กิลกาล
และถือเทศกาลปัสกาในวันที่สิบสี่เวลาเย็น ณ ที่ราบเมืองเยรีโค
11 วันรุ่งขึ้นหลังวันเทศกาลปัสกา
วันนั้นเองพวกเขาก็รับประทานผลจากแผ่นดิน
คือขนมไร้เชื้อและข้าวคั่ว
12 ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นมานาก็ขาดไป
คือเมื่อเขาได้รับประทานผลจากแผ่นดิน ประชาชนอิสราเอลไม่มีมานาอีกเลย
ในปีนั้นเขารับประทานผลจากแผ่นดิน
2. เพราะมานาเป็นสิ่งที่ได้รับก่อนจะมีธรรมบัญญัติ
จึงไม่ได้กำหนดให้มีการนำมาถวาย หลังจากมีธรรมบัญญัติแล้ว
คนอิสราเอลทำงานได้ผลผลิตจากพืชผลจึงได้นำมาถวายแด่พระยาห์เวห์
3. เพราะมานาเป็นสิ่งที่พระเจ้าให้เพื่อเขาจะไม่มีความโลภ
แต่ให้นับพระพรในการจัดเตรียมของพระยาห์เวห์
พระยาห์เวห์ทรงประทานมานาให้คนอิสราเอลทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
เพื่อไม่ให้เขามีความโลภ แต่ละวันคนอิสราเอลจะได้คนละเท่ากัน
และไม่สามารถเก็บได้เกินจากนี้เพราะมันจะเน่าเสียไป
อพยพ 16:16 นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้คือ ‘ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละสองลิตร ตามจำนวนคนที่พักอยู่ในเต็นท์ของตน’ ”
อพยพ 16:20 แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังโมเสส บางคนเหลือไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็มีหนอนขึ้น และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น
คนอิสราเอลมีการนับ
Omer(โอเมอร์) (เป็นหน่วยวัดการตวง 1
โอเมอร์ เท่ากับการเก็บมานากินได้ 1
วันเล็งถึงการจัดสรรของพระเจ้าในแต่ละวัน
อพยพ 16:32
..."พระเจ้ามีรับสั่งว่า 'จงตวงมานาโอเมอร์หนึ่ง
เก็บไว้ตลอดชั่วชาตพันธุ์ของเจ้า
เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์'
คนอิสราเอลเก็บโถทองคำใส่มานาไว้ในหีบพันธสัญญาเพื่อนับพระพรในการจัดเตรียมของพระยาห์เวห์
ตลอดช่วงเวลาในถิ่นทุรกันดาร
ฮีบรู 9:4
มีแท่นทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม
และมีหีบหุ้มด้วยทองคำทุกด้านสำหรับบรรจุพันธสัญญา ภายในหีบนั้นมีโถทองคำใส่มานา
และมีไม้เท้าของอาโรนที่ออกดอกตูม และมีศิลาสองแผ่นจารึกพันธสัญญา
การเก็บโถทองคำใส่มานา และมีไม้เท้าของอาโรนที่ออกดอกตูม
และมีศิลาสองแผ่นจารึกพันธสัญญา 3 สิ่งคือ การจัดสรร
สิทธิอำนาจและพระคำของพระยาห์เวห์
เมื่อคนอิสราเอลมีการทำไร่ สวนจากแผ่นดินแล้ว
จะมีบางคนทำได้มากและบางคนทำได้น้อย ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงให้มีการถวายสิบลด
เพื่อให้คนที่มีมากนำมาถวายมากและคนมีน้อยนำมาถวายตามสัดส่วน เพื่อไม่เกิดความโลภ
และสิ่งที่ได้ถวายมาก็นำมาเพื่อประโยชน์ต่อชุมชน
4. เพราะมานาเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ประทานให้คนอิสราเอลโดยพระองค์ทดสอบการเชื่อฟังจากการทำตามผ่านทางคำสั่งโมเสส
พระยาห์เวห์ไม่ได้ทดสอบการเชื่อฟังของคนอิสราเอลด้วยการให้นำมานามาถวายสิบลด
แต่ทดสอบการเชื่อฟังด้วยการให้เก็บพอแต่ละวันและวันที่ 6 จะได้รับสองเท่า
วันที่ 7 ไม่ต้องไปเก็บเพราะเป็นวันสะบาโต
อพยพ 16:19-22
19 โมเสสสั่งพวกเขาว่า “อย่าให้ใครเหลือไว้จนรุ่งเช้า”
20 แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังโมเสส บางคนเหลือไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็มีหนอนขึ้น และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น
21 พวกเขาเก็บกันทุกๆ เช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานได้ แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป
22 เมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสี่ลิตร ผู้นำทั้งหมดของชุมนุมชนจึงเข้ามารายงานโมเสส
23 โมเสสบอกพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงบัญชาว่า ‘พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพัก เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมด จงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น’ ”
5. เพราะมานาเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ประทานให้คนอิสราเอลก่อนที่จะมีระบบปุโรหิตและไม่ได้นำมาเก็บไว้ในคลังเพื่อแจกจ่ายออกไป
พระยาห์เวห์จึงประทานธรรมบัญญัติให้กับคนของพระองค์ผ่านทางโมเสส
ทำให้การถวายเป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและกำหนดให้คนอิสราเอลในสมัยนั้นต้องถวายต่าง ๆ ทั้ง
ผลไม้รุ่นแรก(First fruits) ,ทศางค์หรือสิบลด(Tithes) และของบริจาค(Contributions)
ทั้งนี้เพราะมีชุมชนและระบบปุโรหิตเพื่อรับการถวายแล้ว
ของถวายต่าง
ๆ จึงนำมาเก็บไว้ในคลังเพื่อแจกจ่ายและดูแลผู้รับใช้พระเจ้าเผ่าเลวี แต่สำหรับมานานั้นทุกคนได้รับเท่าเทียมกัน
จึงไม่ได้นำมาถวายในคลังของชุมชนเพื่อนำมาเป็นประโยชน์ต่อชุมชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น