28 เมษายน 2558

คำพยากรณ์ของดาเนียล

คำพยากรณ์ของดาเนียล โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์

หนังสือดาเนียลแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนหลักๆ บทที่ 1 ถึงบทที่ 6 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของดาเนียลและเพื่อนๆของเขา ขณะที่กำลังเป็นข้าราชการในบาบิโลน และเปอร์เซีย บทที่ 7 ถึงบทที่12 นั้นเกี่ยวนิมิตเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และเรื่องสิ้นยุค
ในแง่ของความก้าวหน้าด้านการรับการเปิดเผยสำแดงของบรรดาผู้เผยพวจนะชาวอิสราเอล ดาเนียลได้รับการสำแดงในระดับที่ล้ำหน้าที่สุด นิมิตซึ่งเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาเพื่อเตรียมหนทางสำหรับข่าวประเสริฐ นิมิตของเขาเกี่ยวกับสิ้นยุคนั้นเป็นเบื้องหลังและบริบทหลักของหนังสือวิวรณ์
บทที่ 7-12 ประกอบด้วย 4 นิมิตหลัก:
1. บทที่ 7 : ปีแรกของรัชกาลเบลชัสซาร์ - นิมิตถึงสัตว์ 4ชนิด และผู้ซึ่งเจริญด้วยวัยวุฒิ
2. บทที่ 8: ปีที่ 3 ของรัชกาลเบลชัสซาร์ – นิมิตเกี่ยวกับแกะผู้ (เปอร์เซีย/เมเดซ) และแพะผู้ (กรีก)
3. บทที่ 9: ปีแรกของรัชกาลดาริอัส - คำพยากรณ์เกี่ยวกับ 70 สัปดาห์ และพระเมสสิยาห์ (ผู้ที่ถูกเจิมไว้) ถูก "ตัดออก"
4. บทที่ 10-12 – ปีที่ 3 ของรัชกาลโคเรช (ไซรัส) - บทสรุปของสิ้นยุคโดย "บุรุษในเปลวเพลิง"
ความเข้าใจของดาเนียลต่อนิมิตของเขานั้นจำกัด เขาได้รับการเปิดเผยว่าความสมบูรณ์ของคำเผยเหล่านั้นจะสำเร็จในภายภาคหน้า และความหมายของคำเหล่านั้นจะถูกปิดผนึกจนกว่าวันนั้น (ดาเนียล 8:26, 12:4,9)
ซึ่งในคำเผยพระวจนหลักทั้งสี่นี้ล้วนอ้างอิงโดยตรงถึงเยชูวาห์(พระเยซูคริสต์ในภาษาฮีบรู) ในฐานะ “พระเมสสิยาห์” “องค์จอมโยธา (จอมของบริวาล)” “ทูตสวรรค์ของพระเจ้า” (ดาเนียล7:13-14; 8:11, 15, 25; 9:25-26; 10:5-6, 20-21).
คำเผยพระวจนะได้กล่าวถึงอำนาจซาตานสองขั้วที่แข็งแรงและเข้ามาทำสงครามฝ่ายวิญญาณต่อต้านอาณาจักรของพระเจ้า:คือ พาราส (เปอร์เซีย) และ ยาวาน (กรีก) เปอร์เซียนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกของอิสราเอล และกรีกนั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ มันไม่ยากที่จะเห็นว่าสิ้นยุคนั้นเชื่อมโยงกับปัจจุบันกาลของเรา กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงนั้นเกี่ยวข้องกับวิญญาณพาราส และกลุ่มมนุษยนิยมตะวันตกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้านั่นคือวิญญาณยาวาน
แต่ในขณะเดียวกันแม้อำนาจของวิญญาณพาราสและยาวานนั้นเป็นวิญญาณชั่ว แต่ผู้นำชนชาติในบริเวณที่ได้รับผลกระทบนั้นก็สามารถทำสิ่งดีได้เช่นกัน ทั้งดาริอัส และไซรัสนั้นก็ได้รับการยกย่องในพระคัมภีร์ และเช่นเดียวกับความรุ่งเรืองของอารยธรรมของอเล็กซานเดอร์มหาราชจากกรีก (ซึ่งที่จริงคือมาซิโดเนีย) ก็สามารถถูกมองในแง่ดีได้เช่นกัน  จะเห็นได้ว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า(เยชูวาห์) ได้ต่อสู้เพื่อกษัตริย์ดาริอัส (ดาเนียล 11:1) และไซรัสเองก็ถูกเรียกว่า “ผู้ได้รับการเจิม” (มาชิอัค) ของพระเจ้าเมื่อเขาเป็นผู้ลงนามประกาศการรื้อฟื้นเยรูซาเล็ม (อิสยาห์ 45:1)
การอธิษฐานวิงวอนกับการสำเร็จสมบูรณ์ของคำเผยพระวจนะ
ในบริบทเชิงประวัติศาสตร์ของเหล่าคำเผยพระวจนะสุดท้ายของดาเนียล สองอันแรกเกิดขึ้นในช่วงการครองราชของเบลชัสซาร์ผู้เป็นทายาดที่ชั่วร้ายของเนบูคัสเนสซาร์ เขาเป็นผู้ที่เป็นเหตุให้เกิด "ลายพระหัตถ์บนผนัง" (ดาเนียล 5) ดาเนียลได้ทำนายถึงการถูกทำให้ต่ำลงของเบลชัสซาร์ ซึ่งเกิดขึ้นทันทีหลังมีลายพระหัตถ์เกิดขึ้นบนผนังวัง คืออาณาจักรของเบลชัสซาร์ก็ถูกครอบครองโดยดาริอัส
ดาเนียลนั้นจึงได้เริ่มทำงานที่ยิ่งใหญ่ของเขาโดยการรับใช้ในฐานะอภิรัฐมนตรีในรัชกาลของดาริอัส และไซรัส (ดาเนียล 6:2) ดูเหมือนว่าการตัดสินใจที่จะช่วยเหลือให้ศิโศนกลับสู่สภาพดีนั้นมาจากผลทางการเมือง จากคำอธิษฐาน และจากคำเผยพระวจนะของดาเนียลในช่วงเวลาการครองราชของไซรัส
ดาเนียลศึกษาคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ และเยเรมีห์ และเริ่มอธิษฐานเพื่อให้คำเผยพระวจนะนั้นสำเร็จสมบูรณ์ในยุคสมัยของเขา อย่างเดียวกับที่เราถูกเรียกให้อ่านคำเผยพระวจนะในพระคำภีร์และอธิษฐานให้คำเผยพระวจนะทั้งหลายนั้นสำเร็จสมบูรณ์ในยุคสมัยของเราด้วย ขอให้เรารับการเจิมแบบเดียวกันนี้ที่จะมีความเข้าใจเช่นเดียวกับดาเนียล ในการอธิษฐาน อดอาหาร วิงวอนเผื่อผู้อื่น และกลับใจอย่างที่เขาได้ทำ และเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ผ่านความเชื่อ และคำเผยพระวจนะด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://reviveisrael.org/


21 เมษายน 2558

กุญแจสู่การปรับเปลี่ยน (The Key to Your Turnaround)

กุญแจสู่การปรับเปลี่ยน (The Key to Your Turnaround) 
เขียนโดย ไดแอน เลค (Diane Lake)


มีการป่าวประกาศเชิงเผยพระวจนะว่า ปี 2015 จะนำการ พลิกกลับและปรับเปลี่ยน (reversals and turnaround) ในปีที่น่าจะเรียกว่าเป็นปีแห่งลมหมุน(whirlwind year) จากคำเผยพระวจนะของสภาอัครทูตฯสำหรับปี 2015 มีส่วนที่บอกว่า ในท่ามกลางการเขย่าและการทดสอบ  การนมัสการจะเป็นกุญแจที่ทำให้เห็นการปลดปล่อย


Diane Lake
การนมัสการพระเจ้าไม่ได้ถูกระบุไว้อย่างแคบๆในตอนใดตอนหนึ่งของพระคัมภีร์  องค์ประกอบหลายอย่างถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกในการนมัสการ เช่น การสรรเสริญ การขอบพระคุณ เครื่องดนตรี การร้องเพลง การปรบมือ การโห่ร้อง และการเต้นรำ  โดยพื้นฐานแล้ว การนมัสการหมายถึงทุกสิ่งที่ออกมาจากความสนิทสนมแนบแน่นกับพระเจ้าซึ่งพาเราเข้าไปสู่การทรงสถิต ด้วยการถวายเกียรติและความยำเกรงแด่พระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยน 4.23,24)


และเพราะว่าการนมัสการเป็นกุญแจไขสู่การปลดปล่อยการเปลี่ยนแปลงของเราในฤดูกาลนี้  จึงเป็นความสำคัญที่เราต้องเข้าใจหลักการหลายอย่างที่เป็นแก่นแห่งการนมัสการ


1.การนมัสการเป็นเรื่องนิรันดร์และสถาปนาบรรยากาศแห่งสวรรค์
(Worship is eternal and establishes the atmosphere of heaven.)

ลูซิเฟอร์เป็นผู้พิทักษ์บัลลังก์ของพระเจ้า และเป็นผู้รับผิดชอบบรรยากาศของการนมัสการอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นรอบบัลลังก์นั้น  ตั้งแต่ที่มันถูกขับออกจากสวรรค์ มันก็พยายามล่อลวงชายหญิงทั้งหลายให้เข้ามานมัสการมันแทนพระเจ้า  เมื่อพระเยซูทรงถูกทดลองจากซาตานในถิ่นทุรกันดารให้มานมัสการมัน  พระองค์ทรงตอบมันว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า 'จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” (มธ 4.10)


เราสามารถเห็นบรรยากาศนิรันดร์ของการนมัสการได้ใน วว 4.8-11  ซึ่งพูดถึงสิ่งมีชีวิต 4 อย่างที่ยอพระเกียรติพระเจ้าตลอดวันตลอดคืน และผู้อาวุโส 24 คนที่ทรุดตัวลงนมัสการพระเจ้าหน้าพระบัลลัก์ตลอดไปเป็นนิตย์


ในพระคัมภีร์ เช่น สดด 22.3 เน้นย้ำว่าพระบัลลังก์พระเจ้าถูกสถาปนาขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแห่งการสรรเสริญจากคนของพระองค์  ที่ใดทีมีการนมัสการพระเจ้า ที่นั่นพระองค์ทรงสถิต


2. การสรรเสริญและนมัสการอย่างต่อเนื่องนำหน้าการรื้อฟื้นและการฟื้นฟู 
(Continuous praise and worship precedes restoration and revival)


ความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพลับพลาของโมเสสและของดาวิด (ซึ่งก็คือพระวิหารในท้ายที่สุด) ก็คือ ไม่มีม่านที่กั้นประชาชนจากหีบพันธสัญญาอันหมายถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  ภายในโครงสร้างนี้ ดาวิดได้ริเริ่มการนมัสการพระเจ้าด้วยการสรรเสริญอย่างต่อเนื่องอันเป็นเครื่องเผาบูชาฝ่ายวิญญาณ  การรื้อฟื้นพลับพลาของดาวิดนั้นเกี่ยวข้องกับการสรรเสริญและนมัสการอย่างต่อเนื่องในการทรงสถิตของพระเจ้าที่ไม่มีอะไรกั้นขวาง


พระเยซูก็ทรงยืนยันรูปแบบที่ให้การนมัสการมาเป็นอย่างแรก แล้วจึงตามมาด้วยการสำแดงอาณาจักรบนโลกนี้  เราทุกคนคงคุ้นเคยกับคำอธิษฐานของพระเยซูว่า


ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ (นมัสการ)
ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้นในแผ่นดินโลก (การสำแดงอาณาจักร)
(มธ 6.9,10)


ในส่วนตัวของแต่ละบุคคล การนมัสการอย่างต่อเนื่องนั้นสะท้อนออกมาด้วยท่าทีภายในจิตใจ - หมายถึงรูปแบบการใช้ชีวิตแห่งการนมัสการ  ก็ตามที่คำอธิษฐานของพระเยซูองค์เจ้านายได้บอกไว้ การนมัสการที่แท้จริงจะเกิดผลเป็นชีวิตที่สำแดงความจริงแห่งแผ่นดินของพระองค์


3. องค์เจ้านายมองหาผู้ที่นมัสการอย่างแท้จริง
(The Lord looks for true worshipers)


ดาวิดได้ให้ตัวอย่างของหลักการแห่งการนมัสการข้อนี้ด้วย  ในงานของการฟื้นฟูพลับพลา ดาวิดได้ป้องกันหีบพันธสัญญาขณะที่กำลังถูกนำกลับมาที่เยรูซาเล็ม  ณ ที่นั่น ดาวิดได้เต้นรำต่อหน้าพระเจ้าด้วยอาการที่กระตือรือร้นและไม่มีการสงวนท่าที ซึ่งทำให้ภรรยาของเขารู้สึกยุ่งยากใจและอับอายมาก


สิ่งนี้ได้แสดงถึงเสรีภาพในการแสดงออกถึงหัวใจแห่งการนมัสการ ด้วยการแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจน และนี่คือรูปร่างของวิญญาณแห่งการนมัสการที่แท้จริง  ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ดาวิด ผู้ที่ถูกเรียกว่าบุรุษผู้ติดตามหัวใจของพระเจ้า และผู้ที่ทำตามพระทัยของพระองค์ทั้งสิ้น เป็นผู้ที่จับแก่นแท้ของการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริงเอาไว้ได้


การนมัสการสามารถ “เปิดประตู” สู่การปรับเปลี่ยน 
(Worship Can “Unlock” The Turnaround)


กิจการฯ บทที่ 16 ได้กล่าวถึงเรื่องราวอันน่าตื่นเต้น ของเปาโลและสิลาสที่ได้อธิษฐานและสรรเสริญพระเจ้าอยู่ในคุกตอนประมาณเที่ยงคืน  ทันใดนั้นก็มีแผ่นดินไหว และประตูคุกก็เปิดหมดทุกบาน เครื่องจำจองก็หลุดออกจากนักโทษทุกคน


และใน 2 พงศาวดาร บทที่ 20 บันทึกไว้ว่า มี 3 กองทัพที่ตัดสินใจเข้าโจมตีคนของพระเจ้าในยุคที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทครองราชย์  พวกเขาได้แสวงหาพระเจ้าและรู้ว่าการรบนี้ไม่ใช่ของพวกเขาแต่เป็นของพระเจ้า  หลังจากการนมัสการและสรรเสริญ พระเจ้าให้เกิดกองซุ่มเข้าต่อสู้กับศัตรูของพวกเขาและถูกทำลายไปจนหมดสิ้น


การนมัสการมีความสำคัญเพราะว่ามันเป็นดั่งเครื่องมือที่อยู่ในมือของเรา  ในสดุดี 144.1 ดาวิดสรรเสริญและสาธุการแด่พระเจ้าผู้ทรงประทานชัยชนะเหนือศัตรูของท่าน กล่าวว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ พระศิลาของข้าพระองค์ ผู้ทรงฝึกมือของข้าพระองค์ให้ทำสงครามและฝึกนิ้วมือของข้าพระองค์ให้ทำศึก” (ดูใน สดด 149.6, อสย 42.13)


ขณะที่ดาวิดสู้กับกองทัพในทางกายภาพ ผู้ที่มาต่อสู้กับชนชาติอิสราเอล  ผู้เชื่อในทุกวันนี้ก็สู้กับอำนาจแห่งความมืดฝ่ายวิญญาณที่เข้ามาต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า (อฟ 6.12)


เมื่อเราใช้เครื่องมือแห่งการนมัสการของเรา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเราจะเห็นการปรับเปลี่ยนที่มาจากพระเจ้า


แนวคิดบางประการเพื่อการประยุกต์ใช้(Some Thoughts for Application)

1.คิดอย่างสร้างสรรค์ (Think creatively)
การนมัสการส่วนบุคคลสามารถสร้างสรรค์และเป็นเอกลักษณ์ได้เท่าที่คุณเป็น วิธีการหนึ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบในการนมัสการ ก็คือ นั่งอยู่หน้าเปียโนและบรรเลงโดยไม่ต้องมีแผ่นโน้ต  บ่อยครั้งมากที่ข้าพเจ้าได้ยินท่วงทำนองที่ง่ายแต่ไพเราะในห้วงความคิดของข้าพเจ้าในระหว่างวัน และข้าพเจ้าก็ใช้ท่วงทำนองนั้นเป็นแนวทางในการนมัสการ  การเต้นรำ การร้องเพลง การวาดภาพ และการเล่นเครื่องดนตรี เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีการต่างๆที่คุณอาจจะถูกเร้าให้ใช้ในการนมัสการอย่างสร้างสรรค์


2. คิดอย่างเรียบง่าย (Think simply)
การนมัสการไม่จำเป็นต้องซับซ้อน  บางครั้งการนมัสการที่ลึกซึ้งของข้าพเจ้าก็เกิดขึ้นในสถานที่ซึ่งมีคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ  เมื่อเร็วๆนี้ สมาชิกในครอบครัวของข้าพเจ้าคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรง  เวลาอย่างนี้ได้กระตุ้นข้าพเจ้าให้นมัสการได้อย่างง่ายๆ เราอาจจะไม่เข้าใจในเหตุการณ์หรือสถานการณ์เหล่านั้น แต่เราก็สามารถรับรู้มันได้


พระเจ้าทรงดี


พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ


พระองค์ใส่พระทัยในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา และ


พระองค์ทรงสมควรได้รับคำสรรเสริญจากเรา (รม 8.31-39)


ข้อพระคัมภีร์เพื่อการศึกษา
1. อสย 14.12-17, อสค 28.11-19
2. 1พศด 9.33, 15 และ 16, อมส 9.11,12, กจ 15.16,17


3. 2ซมอ 6.14-22, ยน 4.23,24, กจ 13.22,36, 15.16

ข้อมูลจาก : http://www.generals.org/articles/single/the-key-to-your-turnaround/

ขอบคุณผู้แปล คุณเอกจิต จรุงพรสวัสดิ์

08 เมษายน 2558

การแช่ตัวในการทรงสถิต (Soaking in God's presence)

บทความในครั้งนี้ ขอพูดถึงเรื่องของการนมัสการและอธิษฐานแบบการแช่ตัว (Soaking)ในการทรงสถิต ของพระเจ้า ส่วนตัวผมใช้คำว่า "การซบนิ่ง" คือ การเข้าไปซบในพระทรวงของพระเจ้าและนิ่งสงบในการทรงสถิตเพื่อจะรับฟังเสียงของพระองค์ เป็นเวลาแห่งการผ่อนคลาย   

 ขอนำแนวทางการนมัสการและอธิษฐานแบบการแช่ตัว (Soaking)ที่ผมได้เรียบเรียงจากบทความเรื่อง Soaking in HisPresence โดย เจมส์ กอลล์  (James Goll) มาแบ่งปันดังนี้ครับ 
เราอาจเคยจะได้ยินเรื่องมากมายในคริสตจักรต่างๆเกี่ยวกับการนอนแช่ตัว(soaking) ในการทรงสถิต  บางคนอาจจะคัดค้านเพราะคำนี้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ (อันที่จริงแล้ว สิ่งต่างๆที่เราทำในคริสตจักรเป็นประจำก็ไม่ได้ระบุไว้โดยตรงในพระคัมภีร์ เช่นโรงเรียนพระคัมภีร์วันอาทิตย์ (Sunday school),การนมัสการด้วยการใช้กีต้าร์ไฟฟ้า  การใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆเพื่อใช้ประกอบการเทศนาหรือประกาศพระกิตติคุณ เราก็ยังใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เรื่องการนอนแช่ตัว(soaking) ในการทรงสถิตกลับต่อต้าน)
James Goll
การแช่ตัวในการทรงสถิต ไม่ใช่การนอนแน่แช่นิ่ง หรือ การนอนนิ่งๆให้หลับ แต่เป็นการซึมซับบรรยากาศการทรงสถิต การพักสงบและรับการสำแดง  คล้ายกับการแช่อิ่มของผลไม้ที่น้ำตาลค่อยซึมซับ(Osmosis) เข้าไปในเนื้อผลไม้จนได้รสชาติใหม่ที่กลมกล่อมกว่าเดิม

ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์จากพระคัมภีร์ซึ่งเราคุ้นเคยดี ในเรื่องของ “เสียงเรียกเจ้าพระเจ้าในยามหลับ” นั้นคือ เรื่องของซามูเอล ในพระธรรม 1 ซามูเอล บทที่ 3 ข้อ 1-10

1 ฝ่ายกุมารซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ต่อหน้าเอลี  ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระเจ้ามีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก
2 อยู่มาครั้งนั้นเอลีนอนอยู่ในที่นอนของตน (​ตาของท่านเริ่มมืดมัวมองอะไรไม่เห็น​)​
3 ตะเกียงของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ที่ที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น
 4 ​พระเจ้าทรงเรียกซามูเอลและซามูเอลทูลตอบว่าข้าพเจ้าอยู่นี่
5 เขาจึงวิ่งไปหาเอลีและว่าข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้าแต่เอลีตอบว่าเราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนอีกเขาก็ไปนอน
6 และพระเจ้าทรงเรียกขึ้นอีกว่าซามูเอลเอ๋ยและซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่าข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้าแต่เอลีตอบว่าลูกเอ๋ย เรามิได้เรียกเจ้า จงนอนอีก
7 ฝ่ายซามูเอลไม่เคยรู้จักพระเจ้า และยังไม่เคยทรงสำแดงพระดำรัสของพระเจ้าแก่เขา
8 และพระเจ้าทรงเรียกซามูเอลครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลี กล่าวว่าข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้าแล้วเอลีจึงหยั่งรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงเรียกเด็กนั้น
9 เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่าจงไปนอนเสียเถิด ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่าพระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่’ ” ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน
10 และพระเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่ ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆ ว่าซามูเอล ซามูเอลเอ๋ยและซามูเอลทูลตอบว่าขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่


ในช่วงเวลานั้น  ซามูเอล(Samuel) ยังเป็นเด็กและแม่ของซามูเอลคือ นางฮันนาห์ (Hannah) ได้นำซามูเอลมาฝากให้ปุโรหิตเอลี (Eli ดูแลเพื่อเรียนรู้ในเรื่องการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในพระวิหาร   พระคัมภีร์กล่าวในข้อที่ 1 ว่า ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระเจ้ามีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก” 
ดังนั้นซามูเอลยังเป็นเด็กจึงยังไม่เข้าใจในเรื่องเสียงของพระเจ้าและการสำแดงนิมิต เมื่อได้ยินเสียงพระองค์ตรัส จึงคิดว่าเป็นเสียงเรียกจากเอลี เมื่อซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ที่ที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น

เมื่อเสียงของพระเจ้ามาถึงซามูเอล  แต่ซามูเอลยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นเสียงของพระองค์ จึงไปถามปุโรหิตเอลี  เอลีจึงบอกว่าให้กลับไปนอนลงที่นั่นอีกครั้ง  และเมื่อซามูเอลได้ยินเสียงอีกครั้งหนึ่ง  เอลีจึงหยั่งรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงเรียกซามูเอล และบอกกับซามูเอลให้ทูลต่อพระเจ้าว่า

สาระสำคัญของเอลี ที่บอกกับซามูเอล คือ การเข้าไปนอนแช่ตัว (soaking)เพื่อดื่มด่ำในการทรงสถิต เพื่อที่ซามูเอลจะรู้จักเสียงของพระเจ้าเมื่อเขาได้ยินให้พร้อมที่จะฟังและกระทำตาม
สิ่งนี้เป็นคำแนะนำสำหรับเราเช่นเดียวกับซามูเอล  

เราจำเป็นต้องใช้เวลาพักผ่อนในการทรงสถิตของพระเจ้า  ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับการตกหลุมรักพระเจ้า (falling in love with God)
เมื่อพบกับพระเจ้าชีวิตของเราจะเปลี่ยนไป  ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงแบบชั่วคราวแต่เป็นการเปลี่ยนไปแบบชั่วนิรัดร์  พระองค์จะนำเรากลับไปในประสบการณ์รักครั้งแรก( first love)  ของเราที่มีต่อพระองค์ หรือพระองค์จะพาเราไปค้นหาความรักครั้งแรก  ถ้าเราไม่เคยลิ้มรสมาก่อน
เราสามารถเรียนรู้ที่จะรู้จักเสียงของพระองค์และเราจะได้รับการฟื้นใจ(renewal)พบการฟื้นฟู การส่วนตัว (personal revival)  เสียงของพระองค์ทำให้เรามีประสบการณ์ เพื่อเราจะเชื่อฟังเสียงของพระองค์นำไปสู่การรับใช้พระองค์
ซ่อนตัวและเข้าไปแสวงหา (Hide and Seek)
เมื่อเราเข้าไปแสวงหาพระองค์  เราจะพบกับพระองค์  ลองนึกภาพตอนที่เราสามารถใช้เวลาทั้งวันกับพระเยซูเพียงลำพังกันสองคน   หากเราไม่มีเวลานานขนาดนั้นก็ลองจินตนาการว่าเราได้ใช้เวลากับพระเยซูเพียงลำพังกันสองคนในหนึ่ง  แม้เพียงแค่ชั่วโมงเดียวหรือเพียงแค่หนึ่งนาทีที่เราได้เข้าใกล้คนที่เป็นที่รักของจิตวิญญาณ(lover of your soul) ของเรา เพียงแค่นี้มันก็คุ้มแล้ว
จงทำต่อไปคือการนอนแช่ตัวในการทรงสถิต  จะให้ดีเราควรจะฟังแผ่นซีดีการนมัสการที่เงียบสงบ  เพื่อให้ความรู้สึกเป็นอิสระและผ่อนคลาย  ทำเช่นนั้นบ่อยๆ  
เราสามารถแสวงหาพระองค์ใน หลายสถานที่ได้  วิธีหนึ่งที่หลายคนชื่นชอบคือการไปพักผ่อนชมธรรมชาติ เช่น การเดินป่าคนเดียวในป่า เพื่อไปหาที่สงบพบกับพระองค์  เพื่อจะสามารถนั่งอ่านจดหมายรัก (พระคัมภีร์) ที่พระองค์เขียนให้เราอ่าน  เราสามารถเห็นพระองค์ในดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานและชื่นชมในธรรมชาติที่เป็นสิ่งทรงสร้างที่ส่งเสียงรอบตัวเรา สิ่งเหล่านี้จะนำเราเข้ามาใกล้พระองค์มากขึ้น

บางครั้งการนอนแช่ตัวโดยการใช้ดนตรีบำบัดโรค (healing  soaking music) สามารถทำให้มีชัยชนะเหนือโรคภัยต่างๆได้เช่น โรคมะเร็งได้ เพราะร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณเกี่ยวข้องกันถ้าจิตวิญญาณได้รับการเยียวยา ร่างกายก็จะได้รับการรักษาด้วยเช่นกัน

เราควรจะใช้เวลาเพียงลำพังในการแช่ตัวในการทรงสถิตของพระเจ้า  เหมือนดั่งเช่น ซามูเอล  ท่านได้เข้าไปนอนพักสงบอยู่รอบๆหีบพันธสัญญา (Ark)  เช่น ใช้บทเพลงสรรเสริญท่วงทำนอง "เซลาห์""Selah"  โดยการหยุดจากวุ่นวายของชีวิต แล้วก็ ... รอ ... นอนหลับ ... เมื่อได้รับสิ่งใดก็สะท้อนสิ่งที่เราได้รับจากพระเจ้าให้กับคนที่เรารัก

วิธีการแช่ตัวในการทรงสถิต (Soaking in His Presence)

มีขั้นตอน 3 ขั้นง่ายนั่นคือ  นมัสการ,ฟังและตอบสนอง (Worship, Listen, Respond) เพื่อเราจะเข้าไปแสวงหาพระเจ้า 
การเข้าไปมีจุดประสงค์ดังนี้ 

1. เข้าไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์เพื่อที่จะสนทนากับพระองค์  (Get still before Him in order to commune with Him) 
สดุดี 46:10จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางบรรดาประชาชาติ... 
2 ซามูเอล 7:18 จากนั้นกษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จเข้าไปประทับนั่งต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและทูลว่า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า วงศ์ตระกูลของข้าพระองค์เป็นใครหนอ พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาถึงเพียงนี้? 

วิวรณ์ 3:20  นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา

ฮาบากุก 2:20 แต่​พระ‍ยาห์‌เวห์​สถิต​ใน​พระ‍วิหาร​บริ‌สุทธิ์​ของ​พระ‍องค์  จง​ให้​ทั่ว​ทั้ง​แผ่น‍ดิน​โลก​สงบ​นิ่ง​ต่อ‍พระ‍พักตร์​พระ‍องค์​เถิด

2.เข้าไปใกล้หัวใจของพระองค์ (Draw near to His heart) 

ยากอบ 4:8 พวก‍ท่าน​จง​เข้า​ใกล้​พระ‍เจ้า แล้ว​พระ‍องค์​จะ​เสด็จ​เข้า‍มา​ใกล้​ท่าน พวก​คน‍บาป​เอ๋ย จง​ชำระ​มือ​ให้​สะอาด ...

(สดุดี 42:1-2; อิสยาห์ 55: 1-3,6,สดุดี 65: 4; สดุดี 73:28 สดุดี 84: 1-4,10 และฮีบรู10 :22)

3.  เข้าไปแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์  แสวงหาพระเจ้าเพื่อรับประโยชน์จากพระองค์ (Seek His face. Seek God for God's sake)  
การที่เราจะเป็นนักอธิษฐานวิงวอนที่มีประสิทธิภาพ (an effective intercessor) ขอหนุนใจว่าเราต้องเข้านำตัวของเราเข้าไปมีส่วนร่วมกับพระเจ้า (engage yourself with the Lord)   ทำให้พระเจ้าเข้ามาเป็นหุ้นส่วนของเราในการทำงาน ในการอธิษฐาน 
 (มัทธิว 7: 7-8,สดุดี 27:4,8;สดุดี 63:1-8; ฮีบรู 11: 6 และเยเรมีย์ 29: 11-14)
สดุดี 27:4 ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหาเสมอ คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดวันเวลาชั่วชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระเจ้า และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์

ใช้เวลาอยู่ในการทรงสถิต (Just spend time in His presence)    
ศึกษาในพระธรรมอพยพบทที่ 33 เกาะติดกับพระเจ้าเหมือนโมเสส  อพยพ 33:14-15 
14 ฝ่ายพระองค์ตรัสว่าเราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก
15 ฝ่ายโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่าถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ก็ขออย่านำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย
(สดุดี 16:11,สดุดี 89:15; อิสยาห์ 29:13; อิสยาห์ 63: 9; บทเพลงคร่ำครวญ 2:19 และ  ยูดา ข้อ24-25)
เติมน้ำมันให้เต็ม (Have Plenty of Oil
เราจะต้องรักษาน้ำมันในตะเกียงให้เต็มอยู่เสมอ ดั่งคำอุปมาเรื่องหญิงพรมจรรย์ที่มีปัญญา(มธ.25;1-13)
ทำความรู้จักกับพระเจ้า ในพระลักษณะที่สะท้อนออกมาให้เราเรารู้จักในพระนามต่างๆ ที่อยู่เราสามารถจะไปศึกษาค้นคว้าได้าเป็นร้อยๆ พระนามในพระวจนะของพระองค์  บางครั้งหนึ่งในพระนามของพระองค์ทรงจับหัวใจของเราไว้ ในช่วงที่เราได้ไปพักสงบในพระองค์ 


มัทธิว 11:29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะยึดครองหัวใจของเราและเปิดใจของเราออกเพื่อเราจะรู้จักพระเจ้าและเราสามารถที่จะรับใช้ในการทรงสถิตของพระองค์ต่อคนอื่น ๆ เมื่อเราอยู่กับพระองค์ โดยพระนามต่างๆ และเราจะรู้จักกับพระองค์ผ่านทางพระวจนะของพระองค์   
ถ้าเรานับทุกสิ่งที่เป็นความสูญเสียไปแต่เมื่อเปรียบเทียบกับการรู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเติมน้ำมันในตะเกียงของเรา 
ฟิลิปที่ 3:7-8
7  แต่​ว่า​อะไร​ที่​เคย​เป็น​กำไร​ของ​ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า​ได้​ถือ​ว่า​สิ่ง​นั้น​เป็น​การ​ขาดทุน​แล้ว​เพราะ​เหตุ​พระ​คริสต์​  
8 ​ยิ่ง​กว่า​นั้น​ข้าพเจ้า​ถือ​ว่า​ทุก​สิ่ง​เป็น​การ​ขาดทุน เพราะ​เหตุ​คุณค่า​อัน​สูง​ยิ่ง​ของ​การ​ได้​รู้จัก​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้าพเจ้า เพราะ​เหตุ​พระ​องค์​ข้าพเจ้า​ยอม​ขาดทุน​ทุก​อย่าง และ​ถือ​ว่า​สิ่ง​เหล่า​นั้น​เป็น​เหมือน​เศษ​ขยะ​เพื่อ​ว่า​ข้าพเจ้า​จะ​ได้​พระ​คริสต์​เป็น​กำไร

​ 1 พงศาวดาร 21:23 และ 2 ซามูเอล 24:24)  
อนุญาตให้ตัวเองได้รับการท่วมท้น (overwhelmed) กับพระเจ้าผู้ที่ทำให้เราประหลาดใจที่ทรงสนทนากับเรา  เรากำลังพูดคุยกับพระองค์ ไม่เพียงที่เราจะอยู่ใกล้กับพระองค์แต่พระองค์จะตรัสกับเราด้วย   พระเจ้าแห่งจักรวาลทรงชอบที่จะได้ยินเสียงของเรา 
โรม 5: 5 ...เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว

(สดุดี 143: 8-10; อิสยาห์ 54:10; บทเพลงคร่ำครวญ 3:22-25; ยอห์น 17: 23 และโรม 8:35-39)
4.รวบรวมความแกร่งกล้าฟันฝ่าเข้าไปในตาของพายุ  (Gather Strength in the Eye of the Storm)
หากเราจะเป็นนักอธิษฐานวิงวอนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น   เมื่อเรารักษาชีวิตส่วนตัวของเรา ด้วยการ"เฝ้าดูและรอคอย"  ใช้เวลากับพระเจ้า  เรามีตะเกียงอยู่ในมือของเราแล้วพระเจ้ามอบมันให้กับคุณเมื่อเราได้รับความรอดเมื่อต้อนรับพระองค์  ตอนนี้ถึงเวลาที่จะรวบรวมน้ำมันให้เต็มตะเกียงและรักษาไฟให้ลุกโชนเสมอ
เหมือนดั่งเช่นเมื่อเราอยู่ในของพายุเฮอริเคน (hurricane)  เมื่อเรารวบรวมความกล้าฟันฝ่าเข้าไปในตาของพายุ   เราจะมีความแข็งแรงด้วยพระองค์  นั่งพับสงบพักผ่อนและนอนหลับอยู่ที่พระบาทของพระองค์  รวบรวมความแกร่งกล้าฟันฝ่าเข้าไปในการทรงสถิตของพระองค์
ขอให้น้ำมันแห่งการทรงสถิตไหลมาเพื่อบรรเทาแผลและปวดกล้ามเนื้อของเรา เพื่อจะหล่อลื่นข้อต่อของเราและยืดเส้นยืดสายกระบวนการทางจิตขอเรา   น้ำมันจะเข้าไปบำรุงหัวใจของเราให้ชุ่มชื้น
แสวงหาพระองค์  แช่ตัวในการทรงสถิตของพระองค์  ให้พระองค์จัดเตรียมความพร้อมทุกอย่าง เพื่อเราจะรู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไป
อธิษฐานปิดท้าย (Closing Prayer)
"พระบิดา ลูกขอนำตัวของลูกเข้ามาต่อพระองค์ ในพระนามที่ยิ่งใหญ่คคือพระเยซู  ลูกเข้ามาอธิษฐานวิงวอนต่อพระองค์ในเวลานี้ เพื่อลูกจะรู้จักพระองค์มากขึ้นกว่าเดิม  ขอให้ถ้อยคำของลูกเป็นที่พอพระทัย  ขอทรงปลุกจิตใจและจิตวิญญาณภายในลูก ที่จะได้ยินเสียงของพระองค์  ลูกรักพระองค์และลูกต้องการจะรักพระองค์มากขึ้น
ลูกต้องการที่จะเป็นเหมือนซามูเอลน้อยที่เรียนรู้ที่จะพักสงบอยู่รอบๆหีบพันธสัญญา ลูกต้องการที่จะแช่ตัวในการทรงถิตของพระองค์  นำให้ลูกเข้าใกล้พระองค์  ให้ลูกได้ยินเสียงจังหวะเต้นของพระทัยพระองค์   นำให้ลูกเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของพระทัยพระองค์  ลูกต้องการที่จะได้ยินเสียงของพระองค์และสำแดงหนทางของพระองค์ให้ลูกเดินตาม     ลูกเลือกที่จะเดินมนทางของพระองค์มากกว่าเดินตามใจลูกเอง
ขอพระบิดาทรงเติมน้ำมันในตะเกียงของลูก  และประทานพระคุณ ให้ ลูกมีสติปัญญาในการดำเนินตามหนทางในชีวิต ลูกเข้ามาหาพระองค์ด้วยความคาดหวังและความสุข ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน!"
(บทความนี้ตัดตอนมาจากบทที่ 6  พายุการอธิษฐาน (Prayer Storm)  จากหนังสือเรื่อง หีบพันธสัญญาแห่งการทรงสถิตที่หายไป The Lost Art of Practicing His Presence )
ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการแช่ตัวในการทรงสถิต ในแบบส่วนตัว
1.จัดเตรียมสถานที่ให้เหมาะสม หามุมโปรดของเรา จัดเตรียมอุปกรณ์ในการนอนเช่นหมอน ผ้าห่ม เพื่อพักสงบให้สบาย
2.เตรียมเครื่องเล่น CD หรือใช้หูฟังเพื่อไม่รบกวนผู้อื่น 
3.เลือกเพลงนมัสการที่เหมาะสมในการแช่ตัวในการทรงสถิต
4.เตรียมสมุดและปากกา เพื่อบันทึกสิ่งที่ได้รับจากพระเจ้า และนำไปใคร่ครวญอธิษฐานต่อไป


ขอพระเจ้าอวยพระพรนะครับ