เนื่องในวันที่ 31 ตุลาคม ขอกล่าวคำว่า "สุขสันต์วันสาธุการพระนามของพระเจ้า"(Hallowed be Thy name) ทั้งนี้เพราะการสาธุการแด่พระเจ้า ดีกว่าการไปยกย่องสรรเสริญพวกผีใน "วันฮาโลวีน" (Halloween day)
ประวัติ"วันฮาโลวีน" (Halloween day) โดยสังเขปมีดังนี้
(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org)
วันฮาโลวีน ( Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น(jack-o'-lantern)
เดิมฮาโลวีนมีรากฐานมาจากเทศกาลของเซลติคที่ชื่อว่า Samhain และวันศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสเตียนในการระลึกถึงนักบุญออนเซ็นต์ ในวันนี้มีการเฉลิมฉลองทางโลก แต่อีกนัยหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับศาสนาด้วย ซึ่งชาวไอริชที่ประสบปัญหาข้าวยากหมากแพงในประเทศของตน ได้อพยพย้ายถิ่นเข้ามาที่ทวีปอเมริกาเหนือช่วงทศวรรษที่ 1840 เป็นผู้นำประเพณีนี้เข้ามาเผยแพร่
ความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ โดยเชื่อว่าทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรก (โดยเชื่อกันว่าจะถูกเปิดขึ้นมาใน 6 โมงเย็น 6 นาที 6 วินาที ซึ่งถึงแม้จะเป็นแค่วินาทีเดียวแต่ประตูนรกจะใหญ่เท่ากับ 1 เมือง) บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์ ซึ่งวิธีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ "การปลอมตัว" ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด จึงทำให้คนจะต้องหาทางแก้ไขด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวง ให้บ้านมืดมิด ร่วมกับอากาศที่หนาวซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาของบรรดาผีร้าย อีกทั้งยังมีบางส่วนจะแต่งตัวเป็นผีต่างๆ เพื่อกลบเกลือนวิญญาณว่าไม่ใช่คนเป็นนั้นเอง
สำหรับประเพณี "ทริกออร์ทรีต" (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน 'All Souls' พวกเขาจะเดินร้องขอ 'ขนมสำหรับวิญญาณ' (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น โดยเทศกาลทริกออร์ทรีต ยังส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนา
ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (Hallow + Eve = Halloween) คำว่า Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen
ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำว่า Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่าๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ) คำว่า Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ ดังนั้น All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์
สำหรับเราแล้วใน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ปี ค.ศ.1517 เป็นวันที่สำคัญของชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestant หมายถึง ผู้คัดค้าน) เพราะเป็นวันที่มาร์ติน ลูเธอร์( Martin Luther) ได้คัดค้านคำสอนที่ผิดของพวกโรมันคาธอลิก(Catholic) เกี่ยวกับเรื่องการขายใบยกโทษบาปและการกระทำทางพิธีกรรมที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความสัมพันธ์กับพระเจ้า โดยต้องมีผู้กลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าคือ นักบวช และท่านได้ไปติด ข้อคัดค้าน 95 ข้อ (95 Theses)ที่ประตูวิหารเมืองวิตเทนเบิร์ก(Wittenberg) จึงเป็น "วันแห่งการปฏิรูปของศาสนา" ทำให้เกิดการกลับสู่หลักข้อเชื่อที่สำคัญ ที่ว่า เราทั้งหลายรอดโดยพระคุณเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ(Justify by faith) ไม่ใช่เพราะการกระทำผ่านทางพิธีกรรมทางศาสนา เราสามารถเข้ามาแสวงหาพระเจ้าโดยไม่ต้องผ่านผู้กลาง เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เราแล้วบนไม้กางเขน
เอเฟซัส 2:8-9
8 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้
ฮีบรู 4:14 -16
14 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์เข้าไปถึงพระเจ้าแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา
15 เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป
16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ
ผลงานของท่านลูเทอร์นี้ได้สร้างคุณประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือละตินได้มีโอกาสเข้าใจแก่นแท้ของศาสนาได้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของลูเธอร์ที่ต้องการให้บุคคลสามารถ รับผิดชอบในความเชื่อของตน โดยไม่ต้องอาศัยบุคคลที่ 3 เช่น นักบวช กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในศาสนาเป็นเพียงสิ่งเปลือกนอกที่ไม่สำคัญเท่ากับการที่บุคคลนั้นได้เผชิญหน้าต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยตนเอง
อาเมน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น