ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ก็เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้าย เรียกว่า
"โค้งสุดท้ายของการหาเสียง" แต่ละพรรคก็ได้งัดไม้เด็ด นโยบายต่างๆมาแถลงกัน เราจะต้องพิจารณาวิเคราะห์กันให้ดีก่อนตัดสินใจในการไปใช้สิทธิ์ในการเลือก 2 แบบ คือ การเลือกสส.เขตและเลือกพรรคในการบริหารประเทศ(Party list) นั่นคือ
การเลือกคนที่ "ใช่" และเลือกพรรคที่ "ชอบ"นั่นเอง
เราในฐานะที่เป็นคริสตชนและเป็นคนไทยที่มีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เราจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการมีส่วนในการเมืองการปกครองทั้งนี้เพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ใน โรม 13:1 ว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น”
ดังนั้นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยเรา ใช้วิธีการเลือกตั้งโดยประชาชนเลือกผู้แทนฯ เข้าไปในรัฐสภาเพื่อบริหารประเทศและออกกฏหมายเพื่อการปกครองประเทศ
หลายคนที่เป็นคริสเตียน เมื่อพูดถึงเรื่อง "การเมือง" ก็เริ่มเบื่อหน่าย และไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว
หนุนใจว่าอย่าเพิ่งเบื่อ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่ของคนใด คนหนึ่ง หรือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้เราไม่อยากจะยุ่งกับการเมือง แต่เรื่องการเมืองก็เกี่ยวข้องกับเรา เพราะเราไม่ได้อยู่ในป่าเขา แต่เรายังอยู่ในเมือง
พระเยซูคริสต์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่กระทำพระราชกิจในเมือง และไม่ได้ปลีกวิเวกบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าเขา นอกจากบางเวลาที่พระองค์ทรงปลีกพระองค์เข้าเฝ้าพระบิดา
เราต้องเข้าใจนะครับว่า... คำว่า "เมือง" มาจากคำภาษากรีกว่า "Polis" คำว่า "การเมือง" มาจากคำภาษาอังกฤษว่า "Politics"
ตราบใดที่เรายังอาศัยอยู่ในเมือง ตราบนั้นเราหนีไม่พ้น "การเมือง" (politics) เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น ภายในเมืองที่เราอยู่ ไม่ว่าดีหรือเลว ล้วนกระทบต่อวิถีชีวิตคริสเตียนของเรา! เราอยู่ในเมืองเราก็ต้องมีส่วนร่วมกับการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองจึงเป็นที่สำคัญที่คริสเตียนควรจะมีส่วนร่วมในระดับต่างๆ ดังนี้
1.ระดับการอธิษฐานเผื่อ
การอธิษฐานเผื่อเป็นการมีส่วนร่วมที่เราทุกคนสามารถทำได้ จึงขอหนุนใจให้เรามีส่วนในการอธิษฐานเผื่อการเลือกตั้งในครั้งนี้ (2พศด.7:14,1ทธ.2:1-2)
2พงศาวดาร 7:14 ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย
ผมเชื่อว่าในปีนี้จะเป็นเวลาของประเทศไทยที่พระเจ้าจะอวยพระพรนำแผ่นดินของพระเจ้ามาสู่ประเทศไทย
เราจะเห็นการอวยพระพรครั้งใหญ่ หลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้
คำอธิษฐานของเราจะมีผลในการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้!
2.ระดับการการมีส่วนร่วม
พระเยซูกล่าวถึงผู้เชื่อว่า พระองค์ได้ตั้งให้เป็นดังเกลือและแสงสว่างของสังคม เพื่อให้เรามีส่วนยับยั้งความชั่วร้ายในสังคม และนำความสว่างไปยังที่ซึ่งมีความมืด (มธ.5:13-16) บางครั้งมาตรฐานทางศีลธรรมของสังคมตกต่ำลง เป็นเพราะคริสเตียนไม่ได้เอาใจใส่หรือท้วงติงมากพอ จึงเป็นความรับผิดชอบของคริสเตียนที่ควรมีส่วนส่งเสริมหรือสนับสนุนให้สถาบันต่างๆ ที่พระเจ้า ตั้งไว้ให้ทำหน้าที่ในการปกครองดูแลสมาชิกในสังคม ได้ทำหน้าที่ด้วยความสัตย์ซื่ออย่างที่ควรจะเป็น
การมีส่วนร่วมตามระบบประชาธิปไตย ที่รัฐธรรมนูธกำหนดไว้ ฉบับแก้ไขล่าสุด ปี 2011 มีบทบัญญัติที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ไว้หลายประการด้วยกัน เช่น (1) สิทธิการออกเสียงประชามติ /การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง(มาตรา 105)
(2) สิทธิการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น (มาตรา 287)
(3) สิทธิการเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (มาตรา 304)
(4) สิทธิการเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น (มาตรา 286)
(5) สิทธิการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย (มาตรา 170)
(6) สิทธิการมีส่วนร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (มาตรา 59)
เนื่องจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองทั้ง 6 ประการนี้ เป็นการออกแบบใหม่ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการปฏิรูปการเมืองให้เป็นการเมืองแบบ มีส่วนร่วม (participative politics) โดยนำหลักการถอดถอน(recall) หลักการริเริ่มเสนอแนะ (initiatives) หลักการประชาพิจารณ์ (public hearings) และหลักการแสดงประชามติ (referendum) มากำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ในวันที่ 3 ก.ค.นี้ เราสามารถมีส่วนในการเลือกตั้งเลือกผู้ที่มีคุณธรรม ปกครองบ้านเมือง
3.ระดับการการเข้าไปมีอิทธิพล
ในระดับนี้คือการเข้าไปมีส่วนเข้าไปพัฒนาสังคมที่เราอาศัยอยู่พระเจ้าปรารถนาให้คริสเตียนมีส่วนพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีเลิศ นอกจาก
พระองค์จะนำข่าวประเสริฐมายังมนุษย์แล้ว พระองค์ยังได้นำหลักการดำเนินชีวิตที่ทำให้คนได้พบสันติสุขที่แท้ และค่านิยมที่ทำให้คนประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในการดำเนินชีวิต
พระองค์มิได้เพิกเฉยต่อปัญหาสังคมในท้องถิ่นที่พระองค์เติบโตมาและในพื้นที่ซึ่งพระองค์เสด็จไปทำพันธกิจ ตรงกันข้ามพระองค์ได้มุ่งแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นเหมือนรากแก้วของปัญหาในชีวิตมนุษย์ นั่นคือ ความบาป (มก.2:5-6) นอกจากนั้น พระองค์ยังได้ช่วยเหลือในปัญหาหลายอย่างด้วย เช่น ความเจ็บป่วย (มก.5:22-29) ช่วยคนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของผีร้าย (ลก.9:38-42) การนับถือศาสนาแต่เปลือกนอก (มธ.23:27-28) ขจัดการแบ่งชั้นวรรณะในสังคม (ยน.4:5-9) เป็นต้น
สังคมในปัจจุบันเต็มไปด้วยปัญหามากมายและมีความซับซ้อน คริสเตียนแต่ละคนควรมีส่วนเข้า
ไปช่วยเหลือพัฒนาสังคมให้อยู่ในสภาพที่ดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า
ตัวอย่างเช่น โยเซฟเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคมในยุคสมัยของท่าน งานของท่านคือการ
ดูแลเรื่องปากท้องของประชาชน ท่านได้ทำงานนี้อย่างต่อเนื่อง งานที่ท่านทำยังช่วยชีวิตคนทั้งในและ
ต่างประเทศจำนวนมหาศาลให้รอดตายจากการกันดารอาหาร(ปฐก.41:48-49,54-57
การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนมิได้เกิดจากการทำแบบฉาบฉวย แต่เกิดจากการให้เวลาและทำด้วยความอุตสาหะพากเพียร การทำดีอาจจะได้ผลช้าแต่ยั่งยืน แม้เวลาผ่านไปคุณความดีก็ยังปรากฎอยู่
การที่คริสเตียนจะเป็นเกลือและแสงสว่างที่ช่วยพัฒนาสังคมได้อย่างมีประสิทธิผลนั้นจำเป็นต้องทำอย่าง
จริงจังและต่อเนื่อง เราต้องช่วยกันออกไปทำการดีของพระเจ้า การพัฒนาสังคมเป็นเรื่องส่วนรวมที่เราต้องเสียสละเวลาส่วนตัวเข้าไปมีส่วนร่วม ร่วมด้วยช่วยกันพัฒนา สิ่งที่ดีจะเกิดขึ้นได้
ในวันนี้เราที่เป็นเกลือของโลก อย่าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในขวด แต่ต้องเขย่าเกลือออกจากขวดได้แล้ว!
มัทธิว 5:13-16
13 "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ
14 "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
(ลงข่าวคริสตชน วันที่ 28 มิ.ย.2011),(ลงในweb.คริสตจักรวังธรรม จ.เชียงราย)