17 พฤษภาคม 2562

ของประทานไม่เกี่ยวกับศีลธรรม


เมื่อกล่าวถึงชีวิตที่บริสุทธิ์ บางท่านก็มักจะนึกถึงการมีลักษณะชีวิตที่ดีและไม่ทำบาป โดยอาจไม่ได้นึกถึงการดำเนินชีวิตในฤทธิ์เดช ทว่าตามภาษาฮีบรูแล้ว

คำว่า “บริสุทธิ์” ไม่ได้มีความหมายที่สื่อถึงความสะอาดหรือความขาวผ่อง แต่หมายถึงการแบ่งแยกหรือแตกต่าง เมื่อองค์เจ้านายทรงเรียกร้องให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ บางทีพระองค์อาจไม่เพียงแต่ต้องการให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตในศีลธรรมที่แตกต่างจากคนทั่วไปเท่านั้น แต่พระองค์ทรงปรารถนาให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตในฤทธิ์เดชที่แตกต่างจากคนทั่วไปด้วย องค์เจ้านายทรงปรารถนาให้ผู้เชื่อแตกต่างจากคนทั่วไปทั้งในแง่ของศีลธรรมและแง่ของฤทธิ์เดช บางทีคนทั่วไปก็ดำเนินชีวิตแบบคนทั่วไปโดยไม่ได้ขับเคลื่อนในฤทธิ์เดชที่เหนือธรรมชาติ แต่เมื่อผู้เชื่อขับเคลื่อนในฤทธิ์เดช ผู้เชื่อก็ก้าวเดินอย่างแตกต่างและบริสุทธิ์กว่าคนทั่วไป

เคล็ดลับสำคัญประการหนึ่งของการขับเคลื่อนในฤทธิ์เดชก็คือการใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณ และอุปสรรคประการหนึ่งที่ทำให้ผู้เชื่อไม่ได้ใช้ของประทานก็คือกรอบความคิดที่ว่า “ชีวิตต้องดีก่อนถึงจะใช้ของประทานได้” กรอบความคิดนี้แม้อาจจะดูดี แต่ก็เป็นกรอบความคิดที่ดูจะขัดกับพระคัมภีร์

ในจดหมายฝากของเปาโล คริสตจักรในโครินธ์เป็นคริสตจักรหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่า “ไม่ขาดในของประทาน” (ดู 1 โครินธ์ 1:7) แต่ด้านหนึ่งคริสตจักรนี้กลับมีปัญหาศีลธรรมที่ร้ายแรง มีทัั้งการเมาเหล้าขณะหักขนมปัง การฟ้องร้องกันในหมู่พี่น้อง และที่ดูจะเลวร้ายที่สุดก็อยู่ใน (1 โครินธ์ 5:1) เมื่อพิจารณาดูจากจดหมายฝากโครินธ์ ก็แสดงให้เห็นว่า การมีของประทานไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมีศีลธรรมที่ดี

คำว่า “ของประทาน” ในภาษากรีกใช้คำว่า Charisma ส่วนคำว่า “พระคุณ” ในภาษากรีกใช้คำว่า Charis สังเกตได้ว่ารากศัพท์ของคำว่า “ของประทาน” กับ “พระคุณ” มีความใกล้เคียงกันมากๆ (ต่างกันแค่เติม ma เท่านั้น) ด้านหนึ่งจึงกล่าวได้ว่า ของประทานนับเป็นพระคุณชนิดหนึ่ง และตามจดหมายฝากเอเฟซัส การรับพระคุณจากพระเจ้า ไม่ได้รับโดยการประพฤติหรือการมีศีลธรรมที่ดี แต่รับโดยความเชื่อ บางทีพระเจ้าได้มอบของประทานมากมายไว้แล้ว แต่มนุษย์กลับไม่ได้รับและใช้ของประทานเหล่านั้นเพราะมนุษย์รับของประทานผิดวิธี แทนที่จะรับของประทานโดยความเชื่อ กลับไปรับของประทานโดยการมีศีลธรรมที่ดี(อันเป็นวิธีการรับของประทานที่ไม่ถูกต้อง) การที่คนเราจะขับเคลื่อนในของประทานนั้น ไม่ได้เกิดจากการต้องมีศีลธรรมที่ดีก่อน แต่เกิดจากการมีความเชื่อ ความเชื่อเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ของประทานต่างๆ

จากสถิติที่ผ่านมา มีพี่น้องที่มีชื่อเสียงมากๆบางท่านที่ใช้ของประทานได้อย่างโดดเด่น ทั้งการเผยพระวจนะและการรักษาโรค ทว่าเมื่อมีการตรวจสอบชีวิตอย่างลึกซึ้งแล้ว พี่น้องบางท่านที่ใช้ของประทานได้อย่างโดดเด่นกลับมีปัญหาศีลธรรมส่วนตัวที่แย่มากๆ มีนักประกาศและผู้เผยพระวจนะบางท่านที่แม้พันธกิจอาจดูเจริญรุ่งเรือง แต่ชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตครอบครัวกลับมีปัญหาอย่างร้ายแรง ทว่าขณะที่ผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นจะมีปัญหาอันร้ายแรงที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่พวกเขาก็ยังสามารถเผยพระวจนะได้อย่างแม่นยำ และสามารถรักษาโรคให้กับผู้คนได้มากมาย จึงสรุปได้ว่า การใช้ของประทานนั้นไม่จำเป็นต้องมีชีวิตที่ดีก่อน ขอแค่มีความเชื่อก็สามารถใช้ของประทานได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้ของประทานจะไม่เกี่ยวกับการมีศีลธรรมที่ดี แต่พระเจ้าก็ทรงปรารถนาให้ผู้เชื่อทุกคนมีศีลธรรมที่ดีกว่าคนทั่วไป มีคำกล่าวหนึ่งได้อธิบายว่า นกพิราบจะบินได้ก็ต้องอาศัยปีก 2 ปีกก็คือปีกซ้ายกับปีกขวา หากเปรียบเทียบนกพิราบเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว การก้าวเดินตามพระวิญญาณจะต้องมี “ปีกของการใช้ของประทาน” และ “ปีกของการมีลักษณะชีวิตที่ดี(ผลพระวิญญาณ)” เมื่อปีกทั้งสองนี้ได้โบยบินไปด้วยกัน ความบริสุทธิ์ก็เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน
Philip Kavilar นักวิชาการด้านฟิสิกส์ ผู้ศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานอดิเรก เป็นผู้ที่มีของประทานด้านวิชาการและการเผยพระวจนะผสมผสานกัน ท่านมีความปรารถนาที่จะเห็นการร่วมประสานกันระหว่างพี่น้องในสายวิชาการกับพี่น้องในสายฤทธิ์เดช และหนุนใจให้คริสตจักรขับเคลื่อนในการเผยพระวจนะและการแปลภาษาแปลกๆ

01 พฤษภาคม 2562

อับบา พระบิดาผู้จัดเตรียม

บทความครั้งนี้ขอแบ่งปันในเรื่องของความรักของพระบิดาในสวรรค์ที่เราสามารถเรียกพระองค์ได้อย่างสนิทสนม ว่า "อับบา" หรือ "พ่อจ๊ะ พ่อจ๋า" ในฐานะของเรา ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับฐานะในการเป็นบุตรของพระเจ้า

ยอห์น 1:12 แต่​ทุก​คน​ที่​ยอม​รับ​พระ​องค์ คือ​คน​ที่​เชื่อ​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​นั้น พระ​องค์​ก็​จะ​ประ​ทาน​สิทธิ​ให้เป็น​ลูก​ของ​พระเจ้า 

ในภาษาฮีบรู คำว่า "อับบา"(  אַבָּא -abba)  โดยคำว่า อับ אַבָּ มาจากตัวอักษรตัวแรกคือ อาเลฟ (א) หมายถึง กำลัง เป็นอักษรภาพ คือ ภาพของวัว ตัวต่อมาคือตัวอักษรเบธ (ב) หมายถึง "บ้าน"  ดังนั้นเมื่อรวมคำ พ่อจึงเป็นผู้ที่เป็นกำลังของบ้าน พ่อเป็นผู้ท่ี่สร้างบ้านในพระวจนะของพระเจ้าได้บรรยายถึงความรักของพระบิดา ในฐานะความเป็นพ่อของพระองค์ ได้ดังนี้

โรม  8: 15 เพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้นจะไม่ทรงให้ท่านเป็นทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)” 

กาลาเทีย  4:6 และเพราะท่านทั้งหลายเป็นบุตรแล้วพระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเราร้องว่า “อับบา (พ่อ)” 

เอเฟซัส 3:14-1714 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา  15 (คำว่า บิดา ของทุกตระกูลในสวรรค์ก็ดี บนแผ่นดินโลกก็ดี มาจากคำว่าพระบิดานี้)  16 ข้าพเจ้าทูลขอให้ประทานความเข้มแข็งภายในจิตใจด้วยฤทธานุภาพที่มาทางพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกท่าน ตามพระสิริอันอุดมของพระองค์

ดังนั้นคำว่า "อับบา" จึงหมายถึงบิดา หรือ พ่อ ผู้ให้กำเนิดเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทั้งปวง  เราจึงมีฐานะความเป็นลูกที่ได้รับการดูแล การจัดสรรจัดเตรียมทุกสิ่งในความเป็นพระบิดาของพระองค์
พระบิดาทรงสำแดงความรักในการจัดเตรียมซึ่งเราสามารถเห็นได้จากตัวอย่างในพระคัมภีร์ ผ่านทางพระนามว่า "พระยาห์เวห์ ยิเรห์" ดังที่อับราฮัมได้รับประสบการณ์การจัดสรรจัดเตรียมจึงได้สร้างแท่นบูชา และเรียกพระนามนี้ ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 22:13-14
13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องบูชาแทนบุตรชาย
14 อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ยาห์เวห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “ทรงจัดไว้ให้บนภูเขาของพระยาห์เวห์”

"อับราฮัม" หรือชื่อเดิม คือ "อับราม" แปลว่า "บิดาที่คนยกย่อง" สิ่งสำคัญมากกว่าคนยกย่อง คือ คนที่พระเจ้ายกชู เพราะอับราฮัมได้ชื่อใหม่ที่พระเจ้าทรงตั้งให้ หมายถึง "บิดาแห่งประชาชาติ" เพราะพระองค์ทรงมีแผนการให้เขาเป็นบิดาแห่งความเชื่อของคนทั้งปวง พงศ์พันธุ์ของเขาจะมากมามายดั่งดวงดาวบนฟ้าและเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล(ปฐมกาล 15) แม้ว่าในฝ่ายกายภาพเขาเป็นคนชราและนางซาราห์ ภรรยาของเขาก็เป็นหมัน แต่พระเจ้าทรงประทานบุตรให้เขา ชื่อว่า "อิสอัค" หมายถึง "หัวเราะ" แม้ว่าภรรยาเขาจะไม่เชื่อเธอถึงหัวเราะ แต่พระองค์ทรงประทานความชื่นชมให้กับครอบครัวของเขา โดยพระเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของเขา  โดยให้ฆ่าลูกชาย เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า !
มันเป็นอะไรที่บ้าสิ้นดี แต่ในพระเจ้าทรงมีแผนการดีแม้จะดูสิ้นคิด  เพราะพระองค์มีสิ่งดีให้กับเขา อับราฮัมก็ทำตามโดยพาอิสอัคไปที่ภูเขาโมริยาห์เพื่อจะถวายเครื่องบูชา(ปฐมกาล 22:9-17)
9 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน
10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย...
12 ทูตสวรรค์ว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้น อย่าทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า และเจ้าไม่ได้หวงบุตรชายคือบุตรชายคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา”
13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องบูชาแทนบุตรชาย
14 อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ยาห์เวห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “ทรงจัดไว้ให้บนภูเขาของพระยาห์เวห์”

นี่เป็นเหตุการณ์ที่อับราฮัมเข้าใจในเรื่องของ "อับบา พระบิดาผู้จัดเตรียม" เพราะพระองค์ได้เตรียมลูกแกะซ่อนไว้เพื่อถวายเครื่องบูชา และทรงย้ำในพระสัญญาให้กับเขาอีกครั้งหนึ่งว่า  
 15 ทูตของพระยาห์เวห์เรียกอับราฮัมครั้งที่สองมาจากฟ้าสวรรค์ว่า
16 พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า
17 ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูทั้งหลายของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ 

อับราฮัม ผู้เป็นบิดาแห่งความเชื่อของเราจึงได้เรียนรู้จากพระบิดาในเรื่องการจัดเตรียม และท่านเป็นพ่อที่ดีในการจัดเตรียมสิ่งดีให้ลูกของท่านคือ "อิสอัค" 
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากการจัดเตรียมคือ การหาภรรยาให้อิสอัค (ปฐมกาล 24:1-66)
1ฝ่ายอับราฮัมก็ชราแล้ว มีอายุมากทีเดียว และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรอับราฮัมทุกประการ
2 อับราฮัมพูดกับคนใช้ของท่านที่อาวุโสที่สุดในบ้าน ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่านว่า “เอามือเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของเรา
3 แล้วเราจะให้เจ้าสาบานโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และพระเจ้าแห่งแผ่นดินโลกว่า เจ้าจะไม่หาภรรยาให้บุตรชายของเราจากบุตรหญิงของคนคานาอัน ที่เราอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา
4 แต่จะไปยังดินแดนและหมู่ญาติของเราเพื่อหาภรรยาให้แก่อิสอัคบุตรชายของเรา”

อับราฮัมเรียกคนใช้คือ "​เอ​ลี​เอ​เซอร์​" มาทำการสาบานและส่งไปหาเพื่อลูกสะใภ้ให้กับท่าน โดยมีการระบุคุณสมบัติไว้ว่าต้องไม่ใช่เป็นคนคานาอัน เพราะเป็นดินแดนของคนต่างชาติ แต่ต้องไปหาจากญาติที่เป็นคนฮีบรู และส่งคนใช้ไปพร้อมกับอูฐและของมีค่าเป็นสินสอด 
10 คนใช้นำอูฐสิบตัวของนายมา แล้วออกเดินทางไป โดยนำของมีค่าต่างๆ จากนายติดมือไปด้วย เขาไปยังเมโสโปเตเมีย ไปเมืองของนาโฮร์
11 เขาให้อูฐคุกเข่าลงที่ริมบ่อน้ำข้างนอกเมืองในเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้หญิงออกมาตักน้ำ
12ผู้รับใช้อธิษฐานว่า "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพเจ้าโปรดให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในวันนี้ และโปรดแสดงความรักมั่นคงต่ออับราฮัม นายของข้าพเจ้าด้วยเถิด"  
13ข้าพเจ้าจะยืนอยู่ข้างบ่อน้ำเมื่อบรรดาหญิงชาวเมืองออกมาตักน้ำ  
14ข้าพเจ้าจะพูดกับหญิงคนหนึ่งว่า "ขอให้ข้าพเจ้าดื่มน้ำในเหยือกของท่านบ้างเถิด" ถ้าหญิงนั้นตอบว่า "เชิญซิคะ ดิฉันจะตักน้ำให้น้ำอูฐของท่านด้วย"  หญิงนั้นแหละจะเป็นหญิงที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้อิสอัค ผู้รับใช้ของพระองค์ และดังนี้ ข้าพเจ้าก็จะทราบว่า พระองค์ทรงแสดงความรักมั่นคงต่อนายของข้าพเจ้า"
15เขาอธิษฐานยังไม่ทันจบ เรเบคาห์ก็แบกเหยือกน้ำมาถึงที่นั่น นางเป็นบุตรสาวของเบธูเอล เบธูเอลเป็นบุตรชายของนางมิลคาห์ ภรรยาของนาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม  
16เรเบคาห์มีรูปร่างหน้าตางดงามมาก เป็นสาวพรหมจารี ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใด นางไปที่บ่อน้ำ ตักน้ำใส่เหยือกจนเต็มแล้วกลับขึ้นมา 

​เอ​ลี​เอ​เซอร์​ไปตามคำสั่งของเจ้านาย และทำการทดสอบผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของนาย ผู้ที่ได้รับเลือกคือ เรเบคาห์ สาวงามผู้ใจดี ผู้ที่ให้น้ำแก่ท่านและอูฐของท่าน นอกจากนี้ยังเป็นหลานของนาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม ท่านจึงรับตัวเรเบคาห์กลับมา เพื่อแต่งงานกับอิสอัคบุตรของเจ้านาย
63 เวลาเย็นอิสอัคออกไปที่ทุ่งนาเพื่อจะไตร่ตรองเรื่องต่างๆ พอเงยหน้าขึ้นมองไปเห็นมีฝูงอูฐเดินมา  64 เรเบคาห์เงยหน้าขึ้น เมื่อแลเห็นอิสอัค เธอก็ลงจากอูฐ 65 และพูดกับคนใช้นั้นว่า “ชายคนที่กำลังเดินผ่านทุ่งนามาหาเรานั้นคือใคร?” คนใช้นั้นตอบว่า “นายข้าพเจ้าเอง” เธอจึงหยิบผ้าคลุมหน้ามาคลุม 66 คนใช้บอกให้อิสอัคทราบทุกอย่างที่เขาได้ทำ 67 อิสอัคก็พาเธอเข้ามาในเต็นท์ของซาราห์มารดาของท่านและรับเรเบคาห์ไว้ เธอได้เป็นภรรยาของท่าน และท่านก็รักเธอ อิสอัคจึงได้รับการปลอบโยน หลังจากมารดาของท่านสิ้นชีวิต 
อิสอัคได้รับการจัดเตรียมภรรยาที่ดีจากพ่อของเขา และได้รับการปลอบโยนในสิ่งที่ท่านสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ท่านยังเล็ก นั่นคือ การจัดเตรียมของพระบิดาที่ทรงประทานพันธสัญญาด้วยความรัก
ภาพของอับราฮัมที่จัดเตรียมเจ้าสาวให้ลูกชาย  เป็นภาพเดียวกับพระบิดาที่ทรงจัดเตรียมเจ้าสาวให้กับพระบุตรคือพระเยซูคริสต์  เจ้าสาวของพระเยซูคริสต์ คือ คริสตจักร 

งานสมรสของพระเมษโปดกในสวรรค์

พิธีแต่งงานของคนยิว รับบี(Rabbi)จะเป็นผู้ประกอบพิธี โดยจะให้คู่บ่าวสาวทำกล่าวคำพันธสัญญาต่อกันที่ซุ้มประตูแห่งพันธสัญญา หรือ ฆุปปะห์ (חוּפָּה -chuppah) ความหมายว่า บัดนี้ทั้ง 2 คนอยู่ในท้องฟ้าเดียวกันแล้ว 
และท้ายสุดของพิธีการ จะให้เจ้าบ่าว "เหยียบแก้วให้แตก" ซึ่งพิธีนี้มีความหมายในหลายนัยยะ คือ
เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์กรุงเยรูซาเล็มแตก พระวิหารถูกทำลายในประวัติศาสตร์
ความหมายในชีวิตแต่งงานหมายถึง ชีวิตครอบครัวนั้นเปราะบาง ต้องทะนุถนอม ดังนั้นจงทำให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข
ภาพนี้เป็นภาพเงาที่สะท้อนความรักของพระยาห์เวห์ที่มีต่อประชากรของพระองค์คือ คนอิสราเอล
ภูเขาซีนาย พระองค์ประทานพระบัญญัติให้กับพวกเขาผ่านโมเสส เป็นภาพเหมือนการแต่งงาน โดยมีข้อพระบัญญัติเปรียบเสมือนคำสัญญาการแต่งงาน หรือ เคทุบาห์ 
หลังจากที่โมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนาย พวกคนยิวไปกราบไหว้รูปวัวทองคำ เมื่อโมเสสกลับมา จึงขว้างแผ่นศิลาพระบัญญัติแตกด้วยความโกรธ(อพยพ 32:19)
การไปกราบไหว้รูปเคารพ หมายถึงการมีชู้ผิดคำสัญญาในการแต่งงาน ถึงกระนั้นพระยาห์เวห์ทรงรื้อฟื้นคำสัญญานี้ใหม่ โดยให้โมเสสเขียนขึ้นมาใหม่ แต่กระนั้นคนอิสราเอลก็ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พระยาห์เวห์ทรงรักและให้อภัยพวกเขาเสมอ แม้ว่าคนอิสราเอล พวกเขามีความสัมพันธ์กับพระองค์แต่พวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาต้องการกฏบัญญัติทั้งที่พวกเขาไม่สามารถจะรักษาไว้ได้
พระยาห์เวห์ได้ทำพันธสัญญาแห่งรักให้กับคนของพระองค์ใหม่ ไม่ใช่กฏแต่เป็นพระวิญญาณแห่งความรัก ที่อยู่ในใจของพวกเขา
2 โครินธ์ 3:3 ...แต่​ด้วย​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระเจ้า​ผู้​ทรง​พระ​ชนม์ ไม่​ได้​เขียน​บน​แผ่น​ศิลา แต่​เขียน​บน​แผ่น​ดวง​ใจ​มนุษย์
พระบิดาทรงเตรียมซุ้มประตูแห่งพันธสัญญาในงานแต่งงาน หรือ ฆุปปะห์ (חוּפָּה -chuppah) เพื่องานสมรสของพระองค์กับเจ้าสาว คือ คริสตจักร
ยอห์น 14:2-20 
2 ใน​พระ​นิ​เวศ​ของ​พระ​บิดา​เรา​มี​ที่​อยู่​มาก​มาย ถ้า​ไม่​มี​เรา​คง​บอก​ท่าน​แล้ว เพราะ​เรา​ไป​จัด​เตรียม​ที่​ไว้(chuppah)สำ​หรับ​พวก​ท่าน
18 เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน
19 อีกหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่เห็นเรา แต่พวกท่านจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย
20 ในวันนั้นท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน
สิ่งที่ผู้เชื่อจะต้องทำคือ การเตรียมชีวิตให้บริสุทธิ์ เป็นเจ้าสาวที่ปราศจากมลทิน และเตรียมชีวิตเหมือนดังคำอุปมาหญิงพรมจารย์ที่มีสติปัญญา(มัทธิว 25)
ภาพของเทศกาลอยู่เพิง( סוכות - Sukkot) เป็นหมายสำคัญที่เราจะฉลองใหญ่อีกครั้งในแผ่นดินสวรรค์! ในงานสมรสของพระเมษโปดก
วิวรณ์ 19:9 ...“จง​เขียน​ลง​ไป​ว่า ความ​สุข​มี​แก่​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​ได้​รับ​เชิญ​มา​ใน​งาน​เลี้ยง​อภิ​เษก​สม​รส​ของ​พระ​เมษ​โป​ดก”
เราต้องเตรียมชีวิตเพื่อจะผ่านซุ้มประตูพันธสัญญา เราควรมีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์อย่างใกล้ชิด รักษาถ้อยคำพันธสัญญา เตรียมชีวิตให้พร้อมเพื่อเป็นดั่งเจ้าสาวของพระเมษโปดกในวาระสุดท้าย
นี่คือภาพแรกที่เราเห็นได้ว่า อับบา พระบิดาผู้จัดเตรียม "พันธสัญญาด้วยความรัก"
การจัดเตรียมสิ่งที่ 2 คือ "มรดก(ตามพินัยกรรม)ในความโปรดปราน"

ผมขอย้อนกลับไปภาพลูกแกะที่ถูกเตรียมให้กับอับราฮัม ภาพนี้ให้ภาพของพ่อจะฆ่าลูกตัวเองเพืื่อถวายบูชาแด่พระเจ้า
ภาพของอับบา พระบิดาผู้จัดเตรียมก็เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะสิ่งที่พ่อต้องการจะมอบให้กับลูกคือมรดกตามพินัยกรรม 
คำว่า "พินัยกรรม" ในภาษากรีก คือ διαθήκη -ดีอาเธเก้  ให้ความหมายเดียวกับคำว่า "พันธสัญญา" "Testament " 
คำว่า "พินัยกรรม" เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะคำนี้หมายถึง หนังสือที่เจ้าของมรดกได้ทำขึ้นไว้ เพื่อแสดงเจตนาว่าเมื่อตนตายไปแล้วต้องการให้ทรัพย์สินต่างๆ ตกเป็นของใคร โดยพินัยกรรมจะมีผลก็ต่อเมื่อเจ้าของมรดกได้ตายไปแล้ว ทั้งนี้กฎหมายได้กำหนดให้พินัยกรรมต้องทำตามแบบ หากไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดพินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะหรือโมฆียะ 
โมฆะ คือ นิติกรรมที่ตกเป็นอันเสียเปล่า ใช้บังคับไม่ได้ไม่เกิดผลในทางกฎหมายตั้งแต่เริ่มต้น
โมฆียะคือ นิติกรรมที่เมื่อทำขึ้นแล้วมีผลผูกพันกันได้ตามกฎหมาย แต่ก็อาจถูกบอกล้างได้ในภายหลัง




ด้วยเหตุนี้เอง พระเยซูคริสต์ทรงมาตายเพื่อเราจะได้รับชีวิต เพื่อทำให้กฏบัญญัติแห่งความตายเป็นโมฆะ ความเชื่อในพระราชกิจแห่งการไถ่นี้เองเป็นเงือนไขที่ทำให้เราได้รับมรดกนี้พระคัมภีร์จึงเป็นดั่งพินัยกรรมบอกถึงคำสัญญาที่พระเจ้าทรงเขียนให้เราได้ทราบถึงมรดกที่เราจะได้รับ เราเป็นทายาทที่จะรับมรดกของพระเจ้า
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม(Old Testament)เป็นเงาที่เล็งถึงพินัยกรรมใหม่ที่พระเยซูคริสต์ทรงทำพันธสัญญาใหม่(New Testament)

อิสยาห์ 28:18 แล้วพันธสัญญาของเจ้ากับความตายเป็นโมฆะ และข้อตกลงของเจ้ากับแดนคนตายจะไม่ดำรง เมื่อภัยพิบัติอันท่วมท้นผ่านไป เจ้าจะถูกเหยียบย่ำลงด้วยโทษนั้น

เอเฟซัส 2:15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข


ดังนั้นหากเราจะได้มรดกนั้นต้องมาการตาย โดยพระเยซูคริสต์จึงเป็นแกะตัวนั้นที่พระบิดาทรงจัดเตรียมไว้ดังสมัยอับราฮัม เวลานั้นพ่อจะฆ่าลูกเพื่อจะได้รับพระสัญญาเป็นบิดาแห่งประชาชาติ แค่แกะน้อยตัวเดียวก็เพียงพอ แต่ครั้งนี้พระบิดาทรงเล่นบทบาทนี้เอง โดยให้พระเยซูคริสต์เป็นแกะที่ถูกฆ่าจริงๆในเทศกาลปัสกา เพื่อให้เราหลุดพ้นจากบาปและไถ่เรากลับมาสู่ความเป็นลูก
ในเทศกาลปัสกา แกะที่ถูกจัดเตรียมไว้ คือ พระบุตรที่ถูกฆ่าแทนบุตรพระเจ้าทุกคน

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่เพื่อเราจะได้รับการจัดเตรียมคือ  "มรดก(ตามพินัยกรรม)ในความโปรดปราน"

ขอบคุณสำหรับ อับบา พระบิดาผู้จัดเตรียมเพื่อลูกของพระองค์