บทความครั้งนี้ขอแบ่งปันในเรื่องของความรักของพระบิดาในสวรรค์ที่เราสามารถเรียกพระองค์ได้อย่างสนิทสนม ว่า "อับบา" หรือ "พ่อจ๊ะ พ่อจ๋า" ในฐานะของเรา ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับฐานะในการเป็นบุตรของพระเจ้า
ยอห์น 1:12 แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า
ในภาษาฮีบรู คำว่า "อับบา"( אַבָּא -abba) โดยคำว่า อับ אַבָּ มาจากตัวอักษรตัวแรกคือ อาเลฟ (א) หมายถึง กำลัง เป็นอักษรภาพ คือ ภาพของวัว ตัวต่อมาคือตัวอักษรเบธ (ב) หมายถึง "บ้าน" ดังนั้นเมื่อรวมคำ พ่อจึงเป็นผู้ที่เป็นกำลังของบ้าน พ่อเป็นผู้ท่ี่สร้างบ้านในพระวจนะของพระเจ้าได้บรรยายถึงความรักของพระบิดา ในฐานะความเป็นพ่อของพระองค์ ได้ดังนี้
โรม 8: 15 เพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้นจะไม่ทรงให้ท่านเป็นทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)”
กาลาเทีย 4:6 และเพราะท่านทั้งหลายเป็นบุตรแล้วพระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเราร้องว่า “อับบา (พ่อ)”
เอเฟซัส 3:14-1714 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา 15 (คำว่า บิดา ของทุกตระกูลในสวรรค์ก็ดี บนแผ่นดินโลกก็ดี มาจากคำว่าพระบิดานี้) 16 ข้าพเจ้าทูลขอให้ประทานความเข้มแข็งภายในจิตใจด้วยฤทธานุภาพที่มาทางพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกท่าน ตามพระสิริอันอุดมของพระองค์
ดังนั้นคำว่า "อับบา" จึงหมายถึงบิดา หรือ พ่อ ผู้ให้กำเนิดเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทั้งปวง เราจึงมีฐานะความเป็นลูกที่ได้รับการดูแล การจัดสรรจัดเตรียมทุกสิ่งในความเป็นพระบิดาของพระองค์
พระบิดาทรงสำแดงความรักในการจัดเตรียมซึ่งเราสามารถเห็นได้จากตัวอย่างในพระคัมภีร์ ผ่านทางพระนามว่า "พระยาห์เวห์ ยิเรห์" ดังที่อับราฮัมได้รับประสบการณ์การจัดสรรจัดเตรียมจึงได้สร้างแท่นบูชา และเรียกพระนามนี้ ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 22:13-14
13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องบูชาแทนบุตรชาย
14 อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ยาห์เวห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “ทรงจัดไว้ให้บนภูเขาของพระยาห์เวห์”
"อับราฮัม" หรือชื่อเดิม คือ "อับราม" แปลว่า "บิดาที่คนยกย่อง" สิ่งสำคัญมากกว่าคนยกย่อง คือ คนที่พระเจ้ายกชู เพราะอับราฮัมได้ชื่อใหม่ที่พระเจ้าทรงตั้งให้ หมายถึง "บิดาแห่งประชาชาติ" เพราะพระองค์ทรงมีแผนการให้เขาเป็นบิดาแห่งความเชื่อของคนทั้งปวง พงศ์พันธุ์ของเขาจะมากมามายดั่งดวงดาวบนฟ้าและเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล(ปฐมกาล 15) แม้ว่าในฝ่ายกายภาพเขาเป็นคนชราและนางซาราห์ ภรรยาของเขาก็เป็นหมัน แต่พระเจ้าทรงประทานบุตรให้เขา ชื่อว่า "อิสอัค" หมายถึง "หัวเราะ" แม้ว่าภรรยาเขาจะไม่เชื่อเธอถึงหัวเราะ แต่พระองค์ทรงประทานความชื่นชมให้กับครอบครัวของเขา โดยพระเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของเขา โดยให้ฆ่าลูกชาย เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า !
มันเป็นอะไรที่บ้าสิ้นดี แต่ในพระเจ้าทรงมีแผนการดีแม้จะดูสิ้นคิด เพราะพระองค์มีสิ่งดีให้กับเขา อับราฮัมก็ทำตามโดยพาอิสอัคไปที่ภูเขาโมริยาห์เพื่อจะถวายเครื่องบูชา(ปฐมกาล 22:9-17)
9 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน
10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย...
12 ทูตสวรรค์ว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้น อย่าทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า และเจ้าไม่ได้หวงบุตรชายคือบุตรชายคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา”
13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องบูชาแทนบุตรชาย
14 อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ยาห์เวห์ยิเรห์ อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า “ทรงจัดไว้ให้บนภูเขาของพระยาห์เวห์”
นี่เป็นเหตุการณ์ที่อับราฮัมเข้าใจในเรื่องของ "อับบา พระบิดาผู้จัดเตรียม" เพราะพระองค์ได้เตรียมลูกแกะซ่อนไว้เพื่อถวายเครื่องบูชา และทรงย้ำในพระสัญญาให้กับเขาอีกครั้งหนึ่งว่า
15 ทูตของพระยาห์เวห์เรียกอับราฮัมครั้งที่สองมาจากฟ้าสวรรค์ว่า
16 “พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า
17 ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูทั้งหลายของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์
อับราฮัม ผู้เป็นบิดาแห่งความเชื่อของเราจึงได้เรียนรู้จากพระบิดาในเรื่องการจัดเตรียม และท่านเป็นพ่อที่ดีในการจัดเตรียมสิ่งดีให้ลูกของท่านคือ "อิสอัค"
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากการจัดเตรียมคือ การหาภรรยาให้อิสอัค (ปฐมกาล 24:1-66)
1ฝ่ายอับราฮัมก็ชราแล้ว มีอายุมากทีเดียว และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรอับราฮัมทุกประการ
2 อับราฮัมพูดกับคนใช้ของท่านที่อาวุโสที่สุดในบ้าน ผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่านว่า “เอามือเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของเรา
3 แล้วเราจะให้เจ้าสาบานโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และพระเจ้าแห่งแผ่นดินโลกว่า เจ้าจะไม่หาภรรยาให้บุตรชายของเราจากบุตรหญิงของคนคานาอัน ที่เราอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา
4 แต่จะไปยังดินแดนและหมู่ญาติของเราเพื่อหาภรรยาให้แก่อิสอัคบุตรชายของเรา”…
อับราฮัมเรียกคนใช้คือ "เอลีเอเซอร์" มาทำการสาบานและส่งไปหาเพื่อลูกสะใภ้ให้กับท่าน โดยมีการระบุคุณสมบัติไว้ว่าต้องไม่ใช่เป็นคนคานาอัน เพราะเป็นดินแดนของคนต่างชาติ แต่ต้องไปหาจากญาติที่เป็นคนฮีบรู และส่งคนใช้ไปพร้อมกับอูฐและของมีค่าเป็นสินสอด
10 คนใช้นำอูฐสิบตัวของนายมา แล้วออกเดินทางไป โดยนำของมีค่าต่างๆ จากนายติดมือไปด้วย เขาไปยังเมโสโปเตเมีย ไปเมืองของนาโฮร์
11 เขาให้อูฐคุกเข่าลงที่ริมบ่อน้ำข้างนอกเมืองในเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้หญิงออกมาตักน้ำ
12ผู้รับใช้อธิษฐานว่า
"ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพเจ้าโปรดให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในวันนี้ และโปรดแสดงความรักมั่นคงต่ออับราฮัม
นายของข้าพเจ้าด้วยเถิด"
13ข้าพเจ้าจะยืนอยู่ข้างบ่อน้ำเมื่อบรรดาหญิงชาวเมืองออกมาตักน้ำ
14ข้าพเจ้าจะพูดกับหญิงคนหนึ่งว่า
"ขอให้ข้าพเจ้าดื่มน้ำในเหยือกของท่านบ้างเถิด" ถ้าหญิงนั้นตอบว่า
"เชิญซิคะ ดิฉันจะตักน้ำให้น้ำอูฐของท่านด้วย" หญิงนั้นแหละจะเป็นหญิงที่พระองค์ทรงเลือกไว้ให้อิสอัค
ผู้รับใช้ของพระองค์ และดังนี้ ข้าพเจ้าก็จะทราบว่า
พระองค์ทรงแสดงความรักมั่นคงต่อนายของข้าพเจ้า"
15เขาอธิษฐานยังไม่ทันจบ เรเบคาห์ก็แบกเหยือกน้ำมาถึงที่นั่น
นางเป็นบุตรสาวของเบธูเอล เบธูเอลเป็นบุตรชายของนางมิลคาห์ ภรรยาของนาโฮร์
น้องชายของอับราฮัม
16เรเบคาห์มีรูปร่างหน้าตางดงามมาก
เป็นสาวพรหมจารี ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใด นางไปที่บ่อน้ำ
ตักน้ำใส่เหยือกจนเต็มแล้วกลับขึ้นมา …
เอลีเอเซอร์ไปตามคำสั่งของเจ้านาย และทำการทดสอบผู้หญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของนาย ผู้ที่ได้รับเลือกคือ เรเบคาห์ สาวงามผู้ใจดี ผู้ที่ให้น้ำแก่ท่านและอูฐของท่าน นอกจากนี้ยังเป็นหลานของนาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม ท่านจึงรับตัวเรเบคาห์กลับมา เพื่อแต่งงานกับอิสอัคบุตรของเจ้านาย
63 เวลาเย็นอิสอัคออกไปที่ทุ่งนาเพื่อจะไตร่ตรองเรื่องต่างๆ พอเงยหน้าขึ้นมองไปเห็นมีฝูงอูฐเดินมา 64 เรเบคาห์เงยหน้าขึ้น เมื่อแลเห็นอิสอัค เธอก็ลงจากอูฐ 65 และพูดกับคนใช้นั้นว่า “ชายคนที่กำลังเดินผ่านทุ่งนามาหาเรานั้นคือใคร?” คนใช้นั้นตอบว่า “นายข้าพเจ้าเอง” เธอจึงหยิบผ้าคลุมหน้ามาคลุม 66 คนใช้บอกให้อิสอัคทราบทุกอย่างที่เขาได้ทำ 67 อิสอัคก็พาเธอเข้ามาในเต็นท์ของซาราห์มารดาของท่านและรับเรเบคาห์ไว้ เธอได้เป็นภรรยาของท่าน และท่านก็รักเธอ อิสอัคจึงได้รับการปลอบโยน หลังจากมารดาของท่านสิ้นชีวิต
อิสอัคได้รับการจัดเตรียมภรรยาที่ดีจากพ่อของเขา และได้รับการปลอบโยนในสิ่งที่ท่านสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ท่านยังเล็ก นั่นคือ การจัดเตรียมของพระบิดาที่ทรงประทานพันธสัญญาด้วยความรัก
ภาพของอับราฮัมที่จัดเตรียมเจ้าสาวให้ลูกชาย เป็นภาพเดียวกับพระบิดาที่ทรงจัดเตรียมเจ้าสาวให้กับพระบุตรคือพระเยซูคริสต์ เจ้าสาวของพระเยซูคริสต์ คือ คริสตจักร
งานสมรสของพระเมษโปดกในสวรรค์
พิธีแต่งงานของคนยิว รับบี(Rabbi)จะเป็นผู้ประกอบพิธี
โดยจะให้คู่บ่าวสาวทำกล่าวคำพันธสัญญาต่อกันที่ซุ้มประตูแห่งพันธสัญญา หรือ
ฆุปปะห์ (חוּפָּה -chuppah) ความหมายว่า บัดนี้ทั้ง 2 คนอยู่ในท้องฟ้าเดียวกันแล้ว
และท้ายสุดของพิธีการ
จะให้เจ้าบ่าว "เหยียบแก้วให้แตก" ซึ่งพิธีนี้มีความหมายในหลายนัยยะ คือ
เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์กรุงเยรูซาเล็มแตก
พระวิหารถูกทำลายในประวัติศาสตร์
ความหมายในชีวิตแต่งงานหมายถึง
ชีวิตครอบครัวนั้นเปราะบาง ต้องทะนุถนอม ดังนั้นจงทำให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข
ภาพนี้เป็นภาพเงาที่สะท้อนความรักของพระยาห์เวห์ที่มีต่อประชากรของพระองค์คือ
คนอิสราเอล
ภูเขาซีนาย
พระองค์ประทานพระบัญญัติให้กับพวกเขาผ่านโมเสส เป็นภาพเหมือนการแต่งงาน
โดยมีข้อพระบัญญัติเปรียบเสมือนคำสัญญาการแต่งงาน หรือ เคทุบาห์
หลังจากที่โมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนาย
พวกคนยิวไปกราบไหว้รูปวัวทองคำ เมื่อโมเสสกลับมา
จึงขว้างแผ่นศิลาพระบัญญัติแตกด้วยความโกรธ(อพยพ 32:19)
การไปกราบไหว้รูปเคารพ
หมายถึงการมีชู้ผิดคำสัญญาในการแต่งงาน ถึงกระนั้นพระยาห์เวห์ทรงรื้อฟื้นคำสัญญานี้ใหม่
โดยให้โมเสสเขียนขึ้นมาใหม่ แต่กระนั้นคนอิสราเอลก็ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พระยาห์เวห์ทรงรักและให้อภัยพวกเขาเสมอ
แม้ว่าคนอิสราเอล พวกเขามีความสัมพันธ์กับพระองค์แต่พวกเขาไม่ต้องการ
พวกเขาต้องการกฏบัญญัติทั้งที่พวกเขาไม่สามารถจะรักษาไว้ได้
พระยาห์เวห์ได้ทำพันธสัญญาแห่งรักให้กับคนของพระองค์ใหม่
ไม่ใช่กฏแต่เป็นพระวิญญาณแห่งความรัก ที่อยู่ในใจของพวกเขา
2 โครินธ์ 3:3 ...แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ไม่ได้เขียนบนแผ่นศิลา แต่เขียนบนแผ่นดวงใจมนุษย์
พระบิดาทรงเตรียมซุ้มประตูแห่งพันธสัญญาในงานแต่งงาน
หรือ ฆุปปะห์ (חוּפָּה -chuppah) เพื่องานสมรสของพระองค์กับเจ้าสาว คือ คริสตจักร
ยอห์น 14:2-20
2 ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย
ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว
เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้(chuppah)สำหรับพวกท่าน
18 “เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน
19 อีกหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่เห็นเรา แต่พวกท่านจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย
20 ในวันนั้นท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน
สิ่งที่ผู้เชื่อจะต้องทำคือ การเตรียมชีวิตให้บริสุทธิ์
เป็นเจ้าสาวที่ปราศจากมลทิน
และเตรียมชีวิตเหมือนดังคำอุปมาหญิงพรมจารย์ที่มีสติปัญญา(มัทธิว 25)
ภาพของเทศกาลอยู่เพิง( סוכות - Sukkot) เป็นหมายสำคัญที่เราจะฉลองใหญ่อีกครั้งในแผ่นดินสวรรค์!
ในงานสมรสของพระเมษโปดก
วิวรณ์ 19:9
...“จงเขียนลงไปว่า
ความสุขมีแก่คนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก”
เราต้องเตรียมชีวิตเพื่อจะผ่านซุ้มประตูพันธสัญญา เราควรมีความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์อย่างใกล้ชิด
รักษาถ้อยคำพันธสัญญา
เตรียมชีวิตให้พร้อมเพื่อเป็นดั่งเจ้าสาวของพระเมษโปดกในวาระสุดท้าย
นี่คือภาพแรกที่เราเห็นได้ว่า อับบา พระบิดาผู้จัดเตรียม "พันธสัญญาด้วยความรัก"
การจัดเตรียมสิ่งที่ 2 คือ "มรดก(ตามพินัยกรรม)ในความโปรดปราน"
ผมขอย้อนกลับไปภาพลูกแกะที่ถูกเตรียมให้กับอับราฮัม ภาพนี้ให้ภาพของพ่อจะฆ่าลูกตัวเองเพืื่อถวายบูชาแด่พระเจ้า
ภาพของอับบา พระบิดาผู้จัดเตรียมก็เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะสิ่งที่พ่อต้องการจะมอบให้กับลูกคือมรดกตามพินัยกรรม
คำว่า "พินัยกรรม" ในภาษากรีก คือ διαθήκη -ดีอาเธเก้ ให้ความหมายเดียวกับคำว่า "พันธสัญญา" "Testament "
คำว่า "พินัยกรรม" เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะคำนี้หมายถึง หนังสือที่เจ้าของมรดกได้ทำขึ้นไว้ เพื่อแสดงเจตนาว่าเมื่อตนตายไปแล้วต้องการให้ทรัพย์สินต่างๆ ตกเป็นของใคร โดยพินัยกรรมจะมีผลก็ต่อเมื่อเจ้าของมรดกได้ตายไปแล้ว ทั้งนี้กฎหมายได้กำหนดให้พินัยกรรมต้องทำตามแบบ หากไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดพินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะหรือโมฆียะ
โมฆะ คือ นิติกรรมที่ตกเป็นอันเสียเปล่า ใช้บังคับไม่ได้ไม่เกิดผลในทางกฎหมายตั้งแต่เริ่มต้น
โมฆียะคือ นิติกรรมที่เมื่อทำขึ้นแล้วมีผลผูกพันกันได้ตามกฎหมาย แต่ก็อาจถูกบอกล้างได้ในภายหลัง
ด้วยเหตุนี้เอง พระเยซูคริสต์ทรงมาตายเพื่อเราจะได้รับชีวิต เพื่อทำให้กฏบัญญัติแห่งความตายเป็นโมฆะ ความเชื่อในพระราชกิจแห่งการไถ่นี้เองเป็นเงือนไขที่ทำให้เราได้รับมรดกนี้พระคัมภีร์จึงเป็นดั่งพินัยกรรมบอกถึงคำสัญญาที่พระเจ้าทรงเขียนให้เราได้ทราบถึงมรดกที่เราจะได้รับ เราเป็นทายาทที่จะรับมรดกของพระเจ้า
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม(Old Testament)เป็นเงาที่เล็งถึงพินัยกรรมใหม่ที่พระเยซูคริสต์ทรงทำพันธสัญญาใหม่(New Testament)
อิสยาห์ 28:18 แล้วพันธสัญญาของเจ้ากับความตายเป็นโมฆะ และข้อตกลงของเจ้ากับแดนคนตายจะไม่ดำรง เมื่อภัยพิบัติอันท่วมท้นผ่านไป เจ้าจะถูกเหยียบย่ำลงด้วยโทษนั้น
เอเฟซัส 2:15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
ดังนั้นหากเราจะได้มรดกนั้นต้องมาการตาย โดยพระเยซูคริสต์จึงเป็นแกะตัวนั้นที่พระบิดาทรงจัดเตรียมไว้ดังสมัยอับราฮัม เวลานั้นพ่อจะฆ่าลูกเพื่อจะได้รับพระสัญญาเป็นบิดาแห่งประชาชาติ แค่แกะน้อยตัวเดียวก็เพียงพอ แต่ครั้งนี้พระบิดาทรงเล่นบทบาทนี้เอง โดยให้พระเยซูคริสต์เป็นแกะที่ถูกฆ่าจริงๆในเทศกาลปัสกา เพื่อให้เราหลุดพ้นจากบาปและไถ่เรากลับมาสู่ความเป็นลูก
ในเทศกาลปัสกา แกะที่ถูกจัดเตรียมไว้ คือ
พระบุตรที่ถูกฆ่าแทนบุตรพระเจ้าทุกคน
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่เพื่อเราจะได้รับการจัดเตรียมคือ "มรดก(ตามพินัยกรรม)ในความโปรดปราน"
ขอบคุณสำหรับ อับบา พระบิดาผู้จัดเตรียมเพื่อลูกของพระองค์