31 มกราคม 2557

ชีวิตที่ส่งอิทธิพลดีไปสู่สังคม#3 “อยู่ในโลกเพื่อมีชัยต่อโลก”

สวัสดีครับผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมได้เขียนบทความในหัวเรื่อง "ชีวิตที่ส่งอิทธิพลดีไปสู่สังคม” ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะครับ

(ผู้อ่านทุกท่านสามารถกลับไปอ่านบทความได้ตามที่ link ไว้ให้ในนะครับ
ตอนที่ 1  อยู่ในโลกแต่ไม่ได้เป็นของโลก และ ตอนที่ 2  อยู่ในโลกเพื่อเป็นพรต่อโลกครับ)

บทความเรื่อง ชีวิตที่ส่งอิทธิพลดีไปสู่สังคม ในครั้งนี้ขอนำเรื่องราวจากพระธรรมเอสเธอร์  โดยเราจะเรียนรู้ที่จะ “อยู่ในโลกเพื่อมีชัยต่อโลก” จากชีวิตของรราชินีเอสเธอร์ 
 
"เอสเธอร์" หรือชื่อเดิมคือ "ฮาดาชาห์" เป็นลูกหลานชาวยิวที่ถูกจับไปเป็นเชลยตั้งแต่รุ่นสมัยบาบิโลน จนกระทั่งมาถึงยุคกษัตริย์อาหสุเอรัสซึ่งเป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย  เอสเธอร์เป็นผู้หญิงชาวยิวที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นลูกกำพร้าเพราะพ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก ดังนั้นโมรเดคัยจึงรับอุปการะเอสเธอร์
จากสตรีชาวยิวที่ตกเป็นเชลย แต่พระเจ้าได้เลือกเอสเธอร์มาเป็นราชินีของกษัตริย์เปอร์เซียที่เรืองอำนาจ เพื่อจะช่วยเหลือชนชาติยิวที่ถูกปองร้ายจากศัตรู คือ ฮามาน  พระนางเอสเธอร์ยืนหยัดและดำเนินชีวิตอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง ดังต่อไปนี้   

1.ยึดมั่นในหลักสิทธิอำนาจที่แท้จริง (อสธ. 2:5-7)
5 ยังมียิวคนหนึ่งในสุสาเมืองป้อมชื่อ โมรเดคัย บุตรยาอีร์ ผู้เป็นบุตรชิเมอี ผู้เป็นบุตรคีช คนเบนยามิน
6 ผู้ถูกกวาดต้อนจากเยรูซาเล็มในหมู่เชลยที่ถูกกวาดต้อนไปพร้อมกับเยโคนิยาห์พระราชาของยูดาห์ ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์พระราชาของบาบิโลนได้กวาดต้อนไปนั้น
7 ท่านได้เลี้ยงดู ฮาดาชาห์คือ เอสเธอร์ บุตรสาวลุงของท่าน เพราะเธอไม่มีพ่อแม่ สาวคนนี้รูปงามและน่าดู เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเลี้ยงเป็นบุตรี
 
โมรเดคัยมีสิทธิอำนาจต่อพระนางเอสเธอร์ในฐานะคุณพ่อบุญธรรม และเอสเธอร์เข้าใจดีถึงสิทธิอำนาจนี้ ไม่ว่าโมรเดคัยแนะนำสิ่งใด เธอก็จะทำตามสิ่งนั้น (2:10) 

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อทรราชตัวร้ายที่ชื่อว่า "ฮามาน" ต้องการอยากให้คนกราบหรือเคารพเพราะเห็นว่าเขาเป็นบุคคลที่สำคัญมาก แต่โมรเดคัย ซึ่งเป็นคนที่เคร่งครัดในหลักของพระเจ้า  ยึดมั่นในความจริงและความชอบธรรม ฉะนั้นกฎหมายที่กำหนดไม่สามารถมาล้มล้างกฎเกณฑ์ของพระเจ้าได้ เขาจึงไม่แสดงความเคารพ และบอกเหตุผลที่ชัดเจนมากคือ เขาเป็นยิว  ทำให้ฮามานโกรธและต้องการจะกำจัดคนยิวให้ตาย  ฉะนั้นเป็นไปได้ว่าท่าทีแบบนี้จะถ่ายทอดไปสู่พระนางเอสเธอร์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าเอสเธอร์มียึดมั่นในหลักการพระเจ้า (2:20)   พระนางเอสเธอร์เข้าใจเรื่องนี้ดี และเชื่อฟังสิทธิอำนาจ สิ่งนี้จึงเป็นลักษณะชีวิตที่ทำให้พระนางเอสเธอร์สามารถขึ้นสูง ไม่สามารถต่ำลงได้เลย(ฮบ.13:17)
โมรเดคัยทำหน้าที่เป็น "ป๋าดัน" ดันเอสเธอร์เข้าสู่วงการนางงาม ให้หญิงในวังแต่งตัวและเสริมความงาม จนเป็นที่พอพระทัยต่อกษัตริย์อาหสุเอรัส และพระองค์ทรงยกให้เป็นราชินี
ในกรณีนี้ผมไม่ได้ส่งเสริมว่าหากเราจะต้องการเป็นใหญ่มีตำแหน่งสูง เราต้องเอาตัวเข้าแลก โดยเฉพาะหญิงสาว แต่ในกรณีนี้เอสเธอร์ยินดีเสียสละทำเพื่อประเทศชาติของตน

 2.ไม่ยึดถือในค่านิยมของโลก (อสธ.2:8-10,15)
8 เมื่อรับสั่งของพระราชา และกฤษฎีกาของพระองค์ประกาศออกไป และเมื่อเขารวบรวมหญิงสาวทั้งหลายเข้ามาในสุสาเมืองป้อม เอสเธอร์ก็ถูกนำเข้ามาไว้ในราชสำนัก อยู่ในอารักขาของเฮกัยผู้ดูแลสตรี
9 หญิงนั้นเป็นที่พอใจเขาและเธอก็เป็นที่โปรดปรานแก่เขา เขาจึงรีบจัดหาเครื่องประเทืองผิว และส่วนอาหารของเธอให้เธอ พร้อมกับสาวใช้ที่คัดเลือกแล้วเจ็ดคนจากราชสำนัก แล้วก็เลื่อนเธอและสาวใช้ของเธอขึ้นไปยังสถานที่ที่ดีที่สุดในฮาเร็ม
10 เอสเธอร์มิได้บอกให้ทราบถึงชาติและญาติของเธอ เพราะโมรเดคัยกำชับเธอไม่ให้ใครรู้...


15 เมื่อถึงเวรของเอสเธอร์ บุตรสาวของอาบีฮาอิล ลุงของโมรเดคัยผู้ซึ่งรับเธอไว้เป็นบุตรีจะเข้าเฝ้าพระราชา เธอมิได้ขอสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เฮกัยขันทีของพระราชาผู้ดูแลผู้หญิงแนะนำ ฝ่ายเอสเธอร์เป็นที่ถูกตาทุกคนที่เห็นเธอ

พระนางเอสเธอร์เป็นที่ถูกตาทุกคน แต่เธอไม่อาจหลงในค่านิยมเหล่านี้ คือ โหยหาความสนใจ โหยหาความรัก โหยหาคำชม ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มองจุดด้อยของคนอื่น รู้สึกว่าตัวเองนั้นมีค่ามากเกิดกว่าที่ใครจะมาคู่ควร แต่พระนางเอสเธอร์ไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นถึงการหลงรักรูปลักษณ์ตัวเองเลย  เราต้องเข้าใจวิธีคิดแบบพระเจ้า คือไม่ได้มองที่รูปลักษณ์ภายนอกแต่พิจารณาที่ท่าทีภายในจิตใจมากกว่าสิ่งอื่น (1 ซมอ.16:7)

3.ไม่ยึดติดกับตำแหน่งที่ได้รับจากโลก

ในช่วงเริ่มแรกพระนางเอสเธอร์ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข แต่ต่อมาฮามานต้องการให้คนแสดงความเคารพโดยการกราบ (เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพ) แต่โมรเดคัยไม่ได้แสดงความเคารพทำให้ฮามานเดือดดาลโมรเดคัยมาก ต้องการกำจัดคนยิวทั้งหมด  เมื่อโมรเดคัยรู้ข่าวที่จะกำจัดชนชาติยิวทั้งหมด สิ่งที่โมรเดคัยทำก็คือฉีกเสื้อของตนออก และสวมเสื้อกระสอบแทน และเอาขี้เถ้าโรยที่ศีรษะ และไปนั่งอยู่ที่ทางเข้าประตูของพระราชา เรียกว่าเป็น "การอดอาหารแบบอารยะขัดขืน (Civil Disobedience )"  ซึ่งใครก็ตามที่สวมเสื้อกระสอบจะไม่สามารถไปนั่งอยู่ที่ทางเข้าพระราชาได้ จนกระทั่งขันทีเห็นจึงนำเรื่องราวไปบอกพระนางเอสเธอร์
 (อสธ.4:13-14)
13 โมรเดคัยจึงบอกเขาให้กลับไปทูลตอบพระนางเอสเธอร์ว่า "อย่าคิดว่าเธออยู่ในราชสำนักจะรอดพ้นได้ดีกว่าพวกยิวอื่นๆ
14 เพราะถ้าเธอเงียบอยู่ในเวลานี้ ความช่วยเหลือและการช่วยกู้จะมาถึงพวกยิวจากที่อื่น แต่เธอและครัวเรือนบิดาของเธอจะพินาศ ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้นะ ใครจะรู้"
15 แล้วเอสเธอร์ตรัสบอกเขาให้ไปบอกโมรเดคัยว่า
16 "ไปเถิด ให้รวบรวมพวกยิวทั้งสิ้นที่หาพบในสุสา และถืออดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทาน อย่าดื่มสามวันกลางคืนหรือกลางวัน ฉันและสาวใช้ของฉันจะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะเข้าเฝ้าพระราชาแม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ"
 

พระนางเอสเธอร์จึงให้คนไปตอบโมรเดคัย (4:16-17) พระนางเอสเธอร์ตอบสนองทันที ไม่ได้ต่อรอง และรับไว้ด้วยใจนอบน้อม ยอมให้ตำแหน่งที่มีเป็นผลในการช่วยกู้คนยิว  

ข้อคิดจากชีวิตของเอสเธอร์ นั้นคือ หลายครั้งตำแหน่งของเราจะมีโอกาสเป็นพรโดยไม่รู้ตัว ให้เราไวในการฟังเสียงพระเจ้า ตำแหน่งของเราอาจจะเป็นพรยิ่งใหญ่ต่อคนมากมาย   ตำแหน่งที่เราอยู่ในวันนี้พรุ่งนี้อาจจะมีคนมาทำแทนเราก็ได้  แต่ตำแหน่งที่แท้จริงของเราคือ เราเป็นลูกพระเจ้า และบทบาทนี้ไม่มีใครทำแทนเราได้ เราเป็นคนสำคัญต่อพระพักตร์พระเจ้า วันหนึ่งเราก็จากโลกนี้ไป ให้เรารู้ว่าอะไรคือบทบาทแท้จริงที่เราควรให้ความสำคัญ  

4.พึ่งพาพระเจ้าเพื่อประทานชัยชนะ (อสธ.4:16-17)
 
การที่ไปเข้าเฝ้าพระราชาโดยที่พระองค์ไม่ได้เรียกนั้นจะมีโทษถึงตายได้ และพระราชาไม่ได้เรียกพระนางเอสเธอร์เข้าพบ 30 วันแล้ว พระนางเอสเธอร์พร้อมแล้วที่จะนำชีวิตเข้าไปสู่แผนการของพระเจ้า   พระนางพึ่งพาพระเจ้า เพื่อทูลอธิษฐานเผื่อคนยิว “...ขอให้คนอธิษฐานเผื่อด้วยสามวันทั้งกลางคืนและกลางวัน ทั้งฉันและสาวใช้ของฉันก็จะอดอาหารอธิษฐานด้วย...

พระนางไม่ได้ขอให้คนอื่นอธิษฐานเผื่อพระนางเท่านั้น แต่ยินดีร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาด้วย เพราะพระนางมีความเชื่อว่าการพึ่งพาพระเจ้าคือคำตอบ พระนางไม่ได้คิดแบบมนุษย์ทั่วไปที่จะใช้วิธีการแบบมนุษย์ในการแก้ปัญหา และเมื่อพระนางให้เกียรติพระเจ้า พระเจ้าทรงให้เกียรติเธอ

ข้อคิดที่ได้รับคือ  เมื่อชีวิตของเราให้เกียรติพระเจ้า พระเจ้าจะให้เกียรติเรา เมื่อเราพึ่งพาพระเจ้าพระเจ้าจะอวยพรเรา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราเห็นถึงท่าทีพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อพระนางเอสเธอร์เข้าไปหาพระราชาจึงบอกและเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่ฮามานใส่ร้ายคนยิวให้พระองค์ฟัง เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าฮามานทรงใส่ร้ายคนยิว พระราชาทรงเดือดดาลฮามานเป็นอย่างมาก เหตุการณ์จึงพลิกกลับทันทีจากที่คนยิวจะต้องตายกลายเป็นฮามานต้องตายแทน เมื่อเขาทำตะแลงแกรงไว้ เพราะกะว่าตะแลงแกรงนี้จะใส่โมรเดคัยที่เขาไม่ชอบหน้า กลายเป็นตัวเขาเองจะต้องถูกแขวนแทน (อสธ.10:3)

นี่คือตัวอย่างจากชีวิตจริงของผู้ที่อยู่ในโลกและมีชัยต่อโลกเหนือคนอธรรม
 
ตามธรรมเนียมของยิวจะมีการเฉลิมฉลองเทศกาล "ปูริม"(Purim) ในเดือนอาดาร์   เดือนอาดาร์ (Adar - אֲדָר‎) เป็นเดือนที่ 12 ตามปฎิทินยิวแบบราชการ เดือนที่ตามปฏิทินยิวแบบศาสนา(Ecclesiastical Calendar) เดือนที่ 6 ตามปฎิทินยิวแบบราชการ(Civil Calendar) ในปี 2014 เป็นปีพิเศษ ปีอธิกสุรทิน (leap year) จะมีเดือนอาดาร์ 2 เดือน


(เดือนอาดาร์ที่ 1 หรือ อาดาร์ อาเลฟ (Adar א) มี 30 วัน ช่วง วันที่ 1 ก.พ.- 2 มี.ค.2014)
(เดือนอาดาร์ที่ 2 หรือ อาดาร์ เบท (Adar ב) มี 29 วัน ช่วง วันที่ 3 มี.ค.- 31มี.ค.2014)
สาเหตุที่มีเดือนอาดาร์ 2 หนในปีที่เป็นปีอธิกสุรทิน (leap year) ทั้งนี้เพราะปฏิทินฮีบรูเป็นการนับปฏิทินสุริยจันทรคติ จะมีการนับเดือนจันทรคติที่ 13 โดยการเพิ่ม 7ครั้ง ในทุก19ปีเข้าไปในเดือนจันทรคติ 12 เดือนในปีปกติสุรทินเพื่อให้ปีปฏิทินไม่คาดเคลื่อนจากฤดูกาลเร็วเกินไป

ใน ปี 2014 ช่วงวันที่ 15-16 มี.ค. ประเทศอิสราเอลมีการเฉลิมฉลองเทศกาล "ปูริม"(Purim) ต้นกำเนิดของเทศกาลปูริมอยู่ในหนังสือ เอสเธอร์ เป็นการฉลองที่น่าตื่นเต้นระลึกถึงสมัยพระราชาอาหสุเอรัสแห่งเปอร์เชียร์ที่ เอสเธอร์กับโมรเดคัยลูกพี่ลูกน้องของเธอช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากการถูกฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์ 

(คำว่า "ปุริม" มาจากภาษาฮีบรู แปลว่า "สลาก") เป็นการอ้างอิงถึงการทอดสลากของฮามาน เพื่อหาวันที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวผู้ใหญ่และเด็ก มักจะแต่งตัวสวยงาม และมีการละเล่นพื้นเมืองต่างๆที่เรียกกันว่า "ปูริมสปีล"และมีคุกกี้ชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า "ฮามานตาชิน" (อสธ.3:7;9:24-26)

"ปูริมสปีล"และ "ฮามานตาชิน"
 เอสเธอร์ 3:7 ในเดือนแรกซึ่งเป็นเดือนนิสานปีที่สิบสองแห่งรัชกาลกษัตริย์อาหสุเอรัส เขาพากันทอดเปอร์ คือสลาก ต่อหน้าฮามานเพื่อหาวัน และเขาทอดเปอร์เพื่อหาเดือน ได้วันที่สิบสามและเดือนที่สิบสอง คือเป็นเดือนอาดาร์


เอสเธอร์ 9:24-26 24 เพราะฮามานบุตรฮัมเมดาธาคนอากัก ศัตรูของพวกยิวทั้งปวง ได้ปองร้ายต่อพวกยิวเพื่อทำลายเขาได้ทอดเปอร์ คือสลาก เพื่อล้างผลาญและทำลายเขา...
26 เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกวันเหล่านี้ว่า ปูริม ตามคำเปอร์ ดังนั้น เพราะทุกอย่างที่เขียนไว้ในจดหมายนี้ และเพราะสิ่งที่พวกยิวต้องเผชิญในเรื่องนี้และสิ่งที่อุบัติแก่เขา
 
ทุกครั้งที่มีการเฉลิมฉลองเทศกาล "ปูริม"(Purim)คนยิวจะได้ระลึกถึงชีวิตของโมรเดคัยและราชินีเอสเธอร์ที่เป็นผู้ที่มีชีวิตที่ส่งอิทธิพลดีไปสู่สังคม โดย“อยู่ในโลกเพื่อมีชัยต่อโลก”

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ


27 มกราคม 2557

กุญแจ 3 ประการในการรักษาการฟื้นฟูของ Toronto Blessing

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ในช่วงวันที่ 20 ม.ค. 2014 ที่ผ่านมาถือเป็นการครบรอบ 20 ปีของการฟื้นฟูใหญ่ของการอวยพรแห่งโตรอนโต หรือ ที่เรารู้จักคือ "Toronto Blessing" สำหรับในความคิดของผม ผมคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ (phenomenal)ไม่ใช่แค่เพียงเหตุการณ์(event) เป็นปรากฏการณ์การฟื้นฟูครั้งที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการคริสเตียนเลยทีเดียว นับตั้งแต่เหตุกาณ์ปรากฏการณ์การเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ในพระธรรมกจ.2,ปรากฏการณ์ฟื้นฟูที่ถนนอาซูช่า (Azusa Street) รัฐ LA ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1906 และส่งผลไปทั่วโลกจนไปถึงปัจจุบัน
ผมได้อ่านบทความหนึ่งในนิตยสารคาริสม่า(charisma) บทความชื่อว่า 
"3 Keys to Sustaining Revival 20 Years After the Toronto Blessing"  (กุญแจ 3 ประการที่ทำให้สามารถรักษาการฟื้นฟูไว้ได้มาจนถึง20 ปีหลังจากงานฟื้นฟูการอวยพรแห่งโตรอนโต) เขียนโดยลาลลี่ สปาร์ค(Larry Sparks)
(http://www.charismanews.com/opinion/42478-3-keys-to-sustaining-revival-20-years-after-the-toronto-blessing)

Larry Sparks
ลาลลี่ สปาร์ค(Larry Sparks)  เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่องการทะลุทะลวงในความเชื่อและการเยียวยารักษา( Breakthrough Faith and Breakthrough Healing) และเป็นผู้ก่อตั้งศูนย์พันธกิจ Equip Culture Media



ท่านเป็นอีกบุคคลหนึ่งเช่นเดียวกับผม ที่ต้องทึ่งในการฟื้นฟูของToronto Blessing ที่ส่งผลต่อชีวิตคริสเตียนในปัจจุบัน แม้ผ่านไป 20 ปีแล้ว  นอกจากนี้ยังมีจอห์น อาร์น็อท(John Arnott),แรนดี้ คาล์ค(Randy Clark) หรือแม้แต่ เช อาห์น (Che Ahn) บุคคลเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลไปทั่วโลกเพราะท่านเหล่านี้อยู่ในปรากฏการณ์การฟื้นฟูครั้งนี้  ขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำการฟื้นฟูและฟื้นใจผม

ผมเคยเป็นคนหนึ่งทีเคยต่อต้านประสบการณ์พระวิญญาณฯ จนได้มีประสบการณ์กับตัวเอง ต้องกลับใจขอโทษที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณฯ 
บางครั้งเราต้องการการฟื้นฟูแต่เราไม่ต้องการมีอาการประหลาดๆ ซึ่งมันไม่สามารถแยกกันได้ เปรียบเทียบได้กับเมื่อฝนจะตก เราก็ต้องเปียกฝน ดังนั้นเมื่อฝนตกมา ผมจะไม่กลัวเปียก เมื่อพระวิญญาณเทลงมา มีอาการแปลกๆ เหมือนคนบ้าหรือเมา ก็เชิญ ผมคงไม่สนเพราะผมไม่ได้จดจ่อที่ผมจะเปียก แต่ผมสนุกกับความชื่นฉ่ำของพระวิญญาณ

(ผมได้เขียนอธิบายเรื่องประสบการณ์พระวิญญาณฯไว้ใน Blog สามารถเข้าไปอ่านได้ตาม link ต่อไปนี้ครับ ประสบการณ์พระวิญญาณ ,คนล้มอย่าห้าม (คนไม่ล้มอย่าผลักดัน) )

 
วันนี้หากพระองค์จะทำให้เกิดการฟื้นฟูนประเทศไทย ขอพระองค์ทรงกระทำเถิด
 
บทความนี้ผมได้แปลและสรุปเรียบเรียงให้อ่านกันนะครับ
(ขอขอบคุณ คุณเอกจิต จรุงพรสวัสดิ์ ผู้ช่วยแปลและเรียบเรียง)

กุญแจ 3 ประการที่ทำให้สามารถรักษาการฟื้นฟูไว้ได้มาจนถึง20 ปีหลังจากงานฟื้นฟู การอวยพรแห่งโตรอนโต(Toronto Blessing)
ในวันที่ 20 ม.ค. 2014 ที่ผ่านมาถือเป็นการครบรอบ 20 ปีของการฟื้นฟูใหญ่ของการอวยพรแห่งโตรอนโต หรือ ที่เรารู้จักคือ "Toronto Blessing"

การอวยพรแห่งโตรอนโต(Toronto Blessing)เป็นการปฏิสังขรณ์(renewal)ที่ทรงพลานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อโลกและกำลังสร้างผลผลิตฝ่ายวิญญาณที่คงอยู่มาจนทุกวันนี้แล้วอะไรคือเคล็ดลับ? มันเป็นไปได้ไหมที่การฟื้นฟูยังคงอยู่ต่อไปอีกสัก2-3 ปี หรือ สักหนึ่งกาลสมัย(season)หรือสักหนึ่งรุ่นถัดไปและส่งผลต่อไปยังอนาคตแบบมีพลังหรือผลกระทบที่มากขึ้น  ปรากฏการณ์โตรอนโตได้แสดงให้เห็นว่า"ใช่เลยมันเป็นไปได้จริงๆ"

มชอบอ่านเรื่องราวแห่งการฟื้นฟูเพราะเรื่องราวเหล่านั้นแสดงให้ผมเห็นว่าการฟื้นฟูนั้นยังคงมีอยู่เมืองโตรอนโตอะไรที่ดูพิเศษนัก เกี่ยวกับโตรอนโต
John-Carol Arnott
จอห์น อาร์น็อท (John Arnott) ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า"หลายคนได้ถามผมว่า อะไรที่นำไปสู่การเทลงมาของพระพรของพระบิดาเขาอยากรู้ว่าทำไมต้องโตรอนโต?ทำไมต้องเป็นเรา? ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมก็อยากรู้เหมือนกัน"
ปรากฏการณ์การอวยพรแห่งโตรอนโต  จอห์นละแคโรล อาร์น็อท เป็นศิษยาภิบาลที่หมดสภาพ หมดหวังที่จะได้รับการสัมผัสที่สดใหม่จากพระเจ้าเขาพยายามไปไกลเท่าที่ทำได้ด้วยกำลังของเขาเองเรื่องหลักๆที่พันธกิจของเขาเน้นคือการจัดการกับผีการเอาชนะความมืดและต่อสู้กับวิญญาณชั่ว
"แทนที่จะเป็นการรับเอาการทรงสถิตและฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มากขึ้น"
 
วิธีการนี้เป็นที่แพร่หลายในหมู่คริสตจักรที่เต็มด้วยพระวิญญาณ(Spirit-filled churches) ในทุกวันนี้ ซึ่งแทนที่จะจอจ่อที่พระเยซูให้มากขึ้นและโอบรับการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่เรากลับเอาแต่จัดการกับวิญญาณชั่วและสู้กับผีราวกับว่าเรากำลังต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ แต่ความจริงคือ เราสู้จากที่ที่ได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้วการยอมรับมุมมองนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างและเป็นหนึ่งในความจริงที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วอะไรล่ะที่ทำให้การอวยพรแห่งโตรอนโตมีความพิเศษ?  พระเจ้าทรงเลือกภูมิภาคที่จะอวยพรหรือจะไม่อวยพรหรือ? หรือว่ามันมีลักษณะสามัญที่ดึงดูดการบุกรุกจากสวรรค์? ลักษณะสามัญนั้นคือความหิวกระหาย John และCarolนั้นหิวมากพอที่จะเปิดตัวเองให้เผชิญหน้าต่อสิ่งที่พระเจ้ากำลังกระทำในที่อื่นๆในโลกนี้โดยผ่านคนอื่น พวกเขาไม่ได้กลายเป็นพวกเสพติดการสัมมนา พวกเขาสิ้นหวังที่จะได้รับแม้เพียงครั้งเดียวของสิ่งที่พวกเขาปรารถนาจะการอวยพรแห่งโตรอนโต 
ได้รับเป็นปกติในชีวิตในคริตจักรของเขาในเมืองของเขาซึ่งกิดขึ้นใน

สิ่งนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุด ด้วยการส่งผ่าน (impartation) ที่มีพลัง ที่พวกเขาได้รับจากเคลาดิโอ  เฟดซอน (Claudio Freidzon) ในประเทศอาร์เจนตินา มันเป็นการง่ายมากที่เราจะมองดูคนที่เหมือนกับเฟดซอน ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้อย่างมีฤทธิ์เดชในทวีปอเมริกาใต้เพื่อสถาปนาวัฒนธรรมแห่งการฟื้นฟู แล้วสรุปว่าบุคคลผู้นั้นเป็นเหมือนยักษ์ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ แต่ที่จริงมันสรุปแบบนั้นไม่ได้

ลองอ่านหนังสือของเขา ที่ชื่อ Holy Spirit, I Hunger For You แล้วคุณจะค้นพบได้อย่างรวดเร็วว่า Freidzon (เช่นเดียวกับ John และ Carol) เป็นผู้หิวโหยฝ่ายวิญญาณอีกคนหนึ่ง ที่เกาะติดการทรงสถิตและฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าต้นทุนจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม  

สวรรค์เปิดออก
จอห์นและ แครอล์ ได้ไปเชิญ แรนดี้ คลาค (Randy Clark) ให้จัดการประชุมขึ้นจำนวนหนึ่งในโตรอนโต ในเวลานั้น แรนดี้ คลาค กำลังดูแลกลุ่ม Vineyard Christian Fellowship ในรัฐ St. Louis  ครอบครัว Arnott ทราบมาว่า คริสตจักรของ แรนดี้ คลาค กำลังมีประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวอย่างมีพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้คนก็ได้รับการสัมผัสอย่างมีฤทธิ์เดชโดยพระเจ้าในขณะที่เขารับใช้อยู่ที่นั่น
ก็น่าขันนะ ที่ จอห์น อาร์น็อท บอกว่า "แรนดี้ และ ผมกลัวและสั่นมาก ที่หวังว่าพระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า พวกเราไม่ได้มีความเชื่อเต็มเปี่ยม แต่ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ทรงสัตย์ซื่อ"

สิ่งนี้กำลังบอกผมว่าพระเจ้าทรงตอบสนองต่อความรู้สึกสิ้นหวังและหิวกระหายของเรา ถึงแม้ว่าในส่วนของเรา เราจะมีความไม่แน่ใจและการขาดความเชื่อก็ตาม  พระองค์ทรงยินดีล้นพ้นเพราะหัวใจที่ถ่อมที่เพียงต้องการพระองค์อย่างง่ายๆ มันทำให้ผมคิดขึ้นมาในทันทีว่าพระเยซูทรงสอนเรื่องบุคคลผู้มีความสุข (Beatitudes) ไว้ว่า "บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา" คนเหล่านั้นที่มีหัวใจที่ถ่อมและหิวกระหายได้ถูกกำหนดไว้ว่าจะได้รับฤทธิ์เดชแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

ผลลัพธ์นั้นเป็นจริงในประวัติศาสตร์แล้ว ในวันที่ 20 .. 1994 ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้เทลงบนคน 120 คนที่รวมตัวกันในการประชุมในคืนวันพฤหัสบดีในคริสตจักร Toronto Airport  ผลที่ตามมาทันทีนั้นแทบไม่น่าเชื่อ  มีบันทึกไว้ว่า ช่วงปลายของปี 1995 นั้น คน 600,000 คนได้หลั่งไหลเข้ามาที่ Toronto จากเกือบทุกชาติในโลก และ "มีผู้เชื่อใหม่มากกว่า 900 คนในปีแรกของการฟื้นฟู"  ซึ่ง เอช. วิลสัน ไซแนน (H. Vinson Synan) เขียนไว้ใน The Holiness Pentecostal Tradition
ในขณะที่สิ่งนี้ช่างน่าตื่นเต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องย้ำเตือนว่าการฟื้นฟูกำลังดำเนินต่อไปและยิ่งเพิ่มทวีขึ้นทั่วทั้งโลก  คริสตจักรและกลุ่มพันธกิจต่างๆทั่วโลกมีรากฐานแห่งการฟื้นฟู (renewal) จาก Toronto Blessing เช่น Holy Trinity Brompton ใน สหราชอาณาจักร  คริสตจักร Bethel ในเมือง Redding รัฐ California  อีกทั้ง ไฮดิ  และ โรแลนด์ แบคเคอร์(Heidi- Rolland Baker) แห่งพันธกิจ Iris
แล้วทำไม Toronto ยังคงสืบต่อเนื่องหลังจาก 20 ปี และทำไมผมจึงเชื่อว่ามันจะเป็นสายธารที่มีชีวิตในการฟื้นฟูที่ไม่มีวันสิ้นสุด?
กุญแจ 3 ดอกที่จะรักษาการฟื้นฟูเอาไว้

1) การฟื้นฟูไม่ใช่เป็นการผลักดันในส่วนบุคคล แต่เป็นการให้ความสำคัญไปที่พระเจ้า (Revival is not personality-driven; it is God-focused. )
ปรากฏการณ์การอวยพรแห่งโตรอนโต ไม่เกี่ยวกับ แรนดี้ คลาค หรือ ครอบครัวอาร์น็อทและมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ที่เทศนาบนธรรมาสน์  แต่มันคือความหิวกระหายพระเจ้าร่วมกันอย่างที่สุด ที่ช่วยเปลี่ยนคริสตจักรเล็กๆในประเทศแคนาดา เป็นศูนย์กลางสำหรับการเทลงมาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ เราหิวกระหายพระเจ้าหรือเปล่า? ไม่ใช่เพื่อการทะลุทะลวง ไม่ใช่เพื่อพระพร ไม่ใช่เพื่อการพัฒนาชีวิต ไม่ใช่แม้แต่เพื่อการสำแดงการฟื้นฟู  เรามีความต้องการที่จะรู้จักและมีประสบการณ์ในพระเจ้าและเห็นพระเยซูได้รับเกียรติทั้งหมด มากแค่ไหน?

 2) การฟื้นฟูจะคงอยู่ต่อไปมื่อเกิดวัฒนธรรมแห่งการเป็นพยาน (Revival is sustained in a culture of testimony.)

เมื่อเราตระหนักว่า เพราะพระเจ้าให้เราเปล่าๆ เราจึงถูกเรียกให้เราให้กับโลกนี้เปล่าๆเช่นกัน เราจะกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) ที่จะพาการฟื้นฟูไปด้วย  อะไรที่เราได้รับมาเปล่าๆ? เรื่องราวของเรา คำพยานของเรา ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่ประสบการณ์ความรอดของเรา ไปจนถึง การเยียวยา การช่วยกู้ ครอบครัวที่ได้รับการรื้อฟื้น ชัยชนะเหนือยาเสพติด การเผชิญหน้าในการทรงสถิตย์ของพระเจ้า และอื่นๆในทำนองนี้
คำพยานของเราคือสิ่งที่เราให้กับโลก เมื่อเราเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อเรา ถ้อยคำของเราได้ปลดปล่อยทางเลือกใหม่ให้กับผู้คนที่กำลังฟัง  เขาอาจไม่เคยได้ยินว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่รักเขา  เขาอาจไม่เคยรู้ว่าพระเยซูยังทรงทำกิจแห่งการรักษาอยู่ในวันนี้  มีโอกาสที่ดีที่เขาไม่เคยถูกแนะนำให้รู้จักพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งโดยพระโลหิตได้ชดใช้แทนบาปทั้งสิ้นของเขาอย่างสมบูรณ์  โดยการแบ่งปันคำพยานของคุณนั่นเอง คุณได้แนะนำทางเลือกใหม่ให้กับคนอื่น และความเชื่อได้ถูกปลดปล่อยไปพร้อมๆกับทางเลือกเหล่านั้น
 
คำพยานนั้นป่าวประกาศว่า พระเจ้าองค์เดียวกันที่ได้เคลื่อนไหวเพื่อคุณสามารถเคลื่อนไหวเพื่อคนอื่นด้วย เพราะพระเจ้าไม่ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง นี่คือสิ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ให้กำเนิดปรากฏการณ์การอวยพรแห่งโตรอนโต  เพราะฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเริ่มถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อ แรนดี้ คลาค แบ่งปันคำพยานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างอัศจรรย์
จากเหตุการณ์นั้นจนถึงวันนี้ คำพยานคือส่วนสำคัญต่อ ปรากฏการณ์การอวยพรแห่งโตรอนโต   เมื่อคนลุกขึ้นเป็นพยาน ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะแตะต้องเขาอย่างทรงพลังและเทลงสู่ทั้งที่ประชุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เมื่อคำพยานถูกบอกต่อจากรุ่นสู่รุ่น ผู้คนก็จะเล่าและฟังเรื่องราวมหกิจของพระเจ้าต่อไปเรื่อยๆ สิ่งนี้ย้ำเตือนเราว่าพระเยซูยังทรงพระชนม์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ประสงค์จะปลดปล่อยฤทธิ์เดชของพระองค์ต่อไปในวันนี้ ผ่านพวกเรา

3) การฟื้นฟูจะคงอยู่ต่อไปเมื่อเรากลับใจจริงและนำไปปฎิบัติจริง (Revival is sustained when people practice true repentance.)
การฟื้นฟูจะตายหากไม่มีการกลับใจ  นี่ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  การกลับใจเป็นกุญแจที่จะดำเนินอยู่ในการเทลงมาในฝ่ายวิญญาณที่ไม่มีขาดและมีผลยาวนาน
มี 2 มิติของการกลับใจ มิติที่หนึ่งคือ เราต้องเผชิญหน้ากับช่องว่างแห่งบาปของเรา  การเผชิญหน้านี้จะทำให้เกิดความเสียใจที่แท้จริงแบบพระเจ้า ก็เมื่อเราตระหนักถึงระดับของความแตกต่างกันระหว่างชีวิตของเรากับสิ่งที่พระเจ้าอนุญาต แต่คนมากมายสอนเรื่องการกลับใจที่อยู่ในความเสียใจแบบพระเจ้า แต่ไม่เคยออกมาจากที่นั่น  ถ้าเราไม่เคยไปไกลกว่าความเสียใจ เราจะไม่ได้รับผลของการกลับใจนั้น
ความเสียใจต่อบาปไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างผู้เชื่อที่ฟ้องผิดและหดหู่ใจ  มันช่วยปลุกเราให้เผชิญหน้ากับช่องว่างแห่งบาปที่อยู่ระหว่างสิ่งที่เรามีประสบการณ์ต่อพระเจ้าในปัจจุบัน และ สิ่งที่พระองค์อนุญาตจริงๆ  ช่องว่างแห่งบาปนั้นเป็นเหตุให้เราสารภาพและกลับใจจากบาปของเราและติดตามพระเจ้าด้วยความปรารถนาที่มากยิ่งขึ้น  ผลก็คือ เราเริ่มที่จะรับประสบการณ์ในแม่น้ำของพระเจ้า  หมายสำคัญและการอัศจรรย์เริ่มที่จะปะทุออกมา การเยียวยา (ทั้งกายภาพและด้านอารมณ์) ไหลในระดับที่เข้มข้น
 
คนได้รับการสัมผัสอย่างรุนแรงโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  เราฉลองและยินดีกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  แน่นอนปรากฏการณ์การอวยพรแห่งโตรอนโต เจอแบบนี้มาแล้ว  อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ทำไมปรากฏการณ์การอวยพรแห่งโตรอนโต
จึงยังคงอยู่ในทุกวันนี้ แต่ขยายเป็นระดับโลกก็เพราะคนเหล่านั้นที่ได้ไปที่นั่นยอมรับมิติแห่งการกลับใจที่สอง  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้นำที่ยอมรับ "ถุงหนังองุ่นใหม่"
เมื่ออ่านคำพยานเหล่านี้ และคุณจะเห็นคนมีประสบการณ์กับการเสียใจต่อบาปแบบพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ "น้ำองุ่นใหม่" ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ถูกปลดปล่อยออกมา ผู้นำได้เอียงหูของเขาเข้าหาสวรรค์ และถามพระเจ้าด้วยใจถ่อมว่า "พระองค์อยากให้พวกเราเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตและในวิธีที่เราดำเนินคริสตจักรด้วยเหตุแห่งการเทลงมานี้?" นี่เป็นรากฐานที่แน่นอน ถ้าเราต้องการจะเห็นการฟื้นฟูสืบต่อไปทั้งรุ่น ภาคส่วน หรือกลุ่มคน เราต้องมีใจปรารถนาที่จะกลับใจจากการกอดรัดระบบหรือโครงสร้างเหนือพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่ไม่ใช่การเรียกให้มาที่ช่องว่างแห่งบาป แต่มันคือการกลับมาสู่ธรรมชาติความเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ซึ่งหมายถึง แทนที่เราจะรับเอาทุกอย่างทุกขั้นตอนมาจากกลเม็ดที่ดีที่สุดอันล่าสุด หรือ กลยุทธ์ด้านการเจริญเติบโตของคริสตจักร (ซึ่งหลายอย่างมันก็ดี) เราควรมองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างไรแล้วถามพระองค์ว่า "เราจะยังคงต้อนรับการสำแดงการทรงสถิตย์ของพระองค์ท่ามกลางเราต่อไปได้อย่างไร?"

เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้ตีพิมพ์บทความหนึ่งโดยขึ้นคำถามว่า "มันผิดไหมที่จะอธิษฐานขอการฟื้นฟู?"  คำตอบช่างหลากหลายและน่าสนใจ มีหนึ่งคำตอบที่ทำให้ผมมึนไปเลย เพราะผู้ตอบดูเหมือนหลงเชื่อว่าการฟื้นฟูจะไม่คงอยู่สืบไป  มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณมองมันอย่างไร  ครอบครัวอาร์น็อท ไม่ได้ร้องขอบางสิ่งจากพระเจ้า ราวกับว่าพระองค์เป็นพระบิดาในสวรรค์ที่เคร่งครัด และทำให้ลูกๆของพระองค์รู้สึกอึดอัด  ไม่จริงเลย

ครอบครัวอาร์น็อทไม่ได้แสวงหาสิ่งใดใหม่ที่จะมาจากสวรรค์  อันที่จริงเขามองดูสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเคลื่อนไหวอยู่แล้ว และสรุปว่าถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งได้เคลื่อนไหวอย่างเต็มฤทธิ์เเดชผ่าน แคธารีน คูลแมน(Kathryn Kuhlman) และ เคลาดิโอ เฟดซอน(Claudio Freidzon) ก็อยู่ภายในพวกเขาด้วย พระองค์ก็ทรงสามารถปลดปล่อยการเทลงมาในระดับเดียวกันกับที่โตรอนโต ด้วย  ความคิดเช่นนี้ทำให้เกิดความหิวกระหายอย่างถึงที่สุดภายในพวกเขา เพื่อจะกลับสู่สภาพใหม่แห่งความเป็นคริสตชน บางสิ่งมันเก่าเกินไปแล้ว เราต้องพินิจในสิ่ง "ใหม่"
การฟื้นฟูทำให้เราเปิดสู่สภาพที่ดูเหมือนมาจากมุมมองของพระเจ้า การเทลงมา ที่เราเรียกว่า "การฟื้นฟู" ไม่ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยความหิวฝ่ายวิญญาณหรือจากเอกสิทธิ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ก็น่าตื่นเต้นและเป็นหมายเรียกสำหรับเราที่จะไปปรับตั้งความเป็นคริสตชนให้ตรงกันกับมาตรฐานของพระเจ้า
ปรากฏการณ์การอวยพรแห่งโตรอนโตเป็นตัวอย่างที่มีพลังของความหิวกระหาย  คนที่ไม่สมบูรณ์ผู้ที่โน้มหัวใจและหูของเขาเข้าหาสวรรค์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ เขามีสิ่งที่เหนือธรรมดาอย่างแท้จริงที่จะเฉลิมฉลองได้ในอีก 20 ปีต่อมา  ไม่ใช่เป็นแค่อนุสรณ์เพื่อจดจำ "วันวานอันแสนสุข" แต่เป็นคำพยานที่มีฤทธิ์เดชต่อสิ่งที่ได้เริ่มในปี 1994 และยังคงสืบเนื่องมาจนวันนี้ โดยไม่มีสัญญาณการลดลงเลย
..........................